บทที่ 134 หวังซื่อ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังหันไปมองบิดา

อวี้เหวินเองเห็นชัดว่าก็ตระหนักได้ถึงปัญหานี้แล้วเช่นกัน

เขาหันมายิ้มเจื่อนให้บุตรสาว “ท่านเสิ่นช่างเป็นคนรักษาสัจจะโดยแท้!”

หากเป็นผู้อื่นเจอปัญหาเช่นนี้คงล้มเลิกไปแล้ว แต่เสิ่นซ่านเหยียนกลับคิดหาทุกวิถีทางเพื่อจะช่วยพวกเขานำต้นอ่อนต้นซาจี๋กลับมาให้ได้

บุญคุณเหล่านี้ทำได้เพียงจดจำไว้ในใจ แล้วค่อยทดแทนให้อย่างช้าๆ

อวี้ถังครุ่นคิดแล้วเอ่ยกับบิดาว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นก็รีบให้อาเสาพาหวังซื่อกลับไปที่บ้านเก่าเถอะเจ้าค่ะ! ต้นไม้พวกนี้เดินทางรอนแรมมาเกือบสองเดือน ตอนนี้ยิ่งไม่ใช่ฤดูที่เหมาะในการเคลื่อนย้ายต้นไม้ ถ้าเกิด…” ตายขึ้นมา มิใช่ว่าทำลายความพยายามของทุกคนหมดหรือ

อวี้เหวินก็คิดไม่ต่างกัน รีบตะโกนเรียกอาเสาเข้ามา แล้วสั่งการลงไปทันที

อวี้ถังบอกป้าเฉินให้เตรียมของกินจำนวนหนึ่งไว้อย่างใส่ใจ บอกหวังซื่อกินให้อิ่มหนำแล้วค่อยออกเดินทาง

ตลอดทางหวังซื่อได้กินแต่อาหารแห้ง บางช่วงที่ต้องประหยัด วันๆ หนึ่งกัดแป้งทอดไปไม่กี่คำเพื่อประทังท้องหิว บัดนี้ต้นอ่อนมาส่งถึงจุดหมายแล้ว ทั้งยังได้กินอาหารพร้อมน้ำแกง ในใจไม่รู้ว่าซาบซึ้งเพียงใด คนไม่ทันหย่อนก้นบนเก้าอี้ด้วยซ้ำ ก็ยองๆ นั่งอยู่ข้างเตาก่อไฟแล้วสวาปามอาหารลงท้องอย่างตะกละตะกลาม ทำเอาซวงเถาที่เข้าไปตักน้ำให้คนสกุลเฉินที่ห้องครัวเหลือกตามองพร้อมอ้าปากค้าง

หวังซื่อเห็นหญิงสาวงดงามจดจ้องมาที่เขา ดวงหน้าพลันร้อนแดงจนแทบไหม้ รีบอธิบายเป็นพัลวันว่า “ข้า ข้าเดินทางมาที่นี่ นายจ้างให้เงินมาเพียงสองตำลึงเท่านั้น ข้าต้องใช้อย่างกระเหม็ดกระเเหม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายท่านทางนี้จะยังรับข้าไว้อยู่หรือไม่”

หากว่าต้นไม้ตายเกลี้ยง นายท่านทางนี้จะยังต้องการเขาไว้ทำอะไรอีก?

ได้ยินว่า พื้นดินแถบเจียงหนานมีน้อย พวกเขาส่วนใหญ่มักจะเล่าเรียนเขียนอ่าน หรือว่าออกไปทำมาค้าขาย ไม่ก็ไปเป็นศิษย์ตามร้านค้า แล้วหาทางไต่เต้าเป็นเถ้าแก่ แต่อย่างเขาที่ไม่รู้หนังสือ ได้แต่ขายแรงแลกเงิน ไม่เพียงทำให้ผู้คนมองอย่างดูถูก อีกทั้งยังยากจะหางานทำอีกด้วย

ซวงเถาเห็นว่าเขามองสกุลอวี้เช่นนี้ ก็ไม่ค่อยจะพอใจนัก จึงรีบแก้ต่างแทนสกุลอวี้ว่า “เจ้านายข้ามิใช่คนเช่นนั้น หากเจ้าไม่ต้องการรั้งตัวอยู่ต่อ เงินค่าเดินทางกลับนั้นเจ้านายข้าย่อมให้เจ้าอย่างไม่ขาดตกแน่”

หวังซื่อมองแล้วคล้ายคนซื่อสัตย์พูดไม่เป็น แต่ความจริงมีไหวพริบนัก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ตอบรับงานนี้ ได้ยินซวงเถาพูดเช่นนั้น เขารู้ทันทีว่าตนพูดจาผิดไป จึงกุลีกุจอตอบว่า “ข้ารู้ว่านายท่านเป็นคนดี ข้าเพียงนึกกลัวว่าข้าไม่อาจทำงานให้นายท่านพอใจได้ก็เท่านั้น”

นี่นับว่ารู้จักพูดจาขึ้นมาหน่อยแล้ว

ซวงเถาพยักหน้าอย่างพึงใจ “เจ้าแค่ตั้งใจทำงานก็พอ นายท่านแต่ไรก็ไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่นอยู่แล้ว!”

หวังซื่อคล้ายจะยิ้มอย่างตื้นตัน ในใจกลับคิดว่า เอาเปรียบหรือไม่นั้น ต้องลองทำสักระยะถึงจะตอบได้ ทว่าสาวใช้ผู้นี้ช่วยพูดจาแทนนายท่านของตน เห็นได้ว่าต่อให้สกุลนี้ย่ำแย่จริงๆ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นเลวร้าย ต้องดูว่าเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่อย่างมั่นคงได้หรือไม่แล้ว

เขาไม่กล้าชักช้า พอกินข้าวเสร็จอย่างลวกๆ ก็มุ่งหน้าไปยังบ้านเก่าสกุลอวี้พร้อมกับอาเสาทันที

อวี้ถังทางนี้เมื่อส่งต้นอ่อนจากไปแล้ว ก็คล้องแขนบิดาเดินกลับเข้าเรือน “การค้าที่ซูโจวทางนั้นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

อวี้เหวินหน้าบานเป็นกระด้ง “ข้ากับท่านลุงอู๋ของเจ้าตกลงกันแล้วว่า พรุ่งนี้เช้าจะออกเดินทาง” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ร้อง “ไอหยา” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทได้อย่างไร พรุ่งนี้ข้าต้องไปเมืองซูโจว บ้านเก่าทางนั้น…”

ก็แค่ปลูกต้นไม้มิใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องให้บิดานางไปดูด้วยตนเองกระมัง

อวี้ถังเอ่ยยิ้มๆ “ท่านพี่ก็ตามท่านพ่อไปเมืองซูโจวด้วยใช่ไหมเจ้าคะ? เรื่องทางนั้นของท่านสำคัญกว่า พรุ่งนี้ข้ากลับไปคนเดียวก็พอแล้ว พอปลูกต้นไม้เสร็จ ข้าจะคุยกับหวังซื่อผู้นั้น ดูว่าเขาเป็นคนอย่างไร หากว่าจะรั้งตัวเอาไว้ ก็ต้องดูว่าเขาทำอะไรอย่างอื่นได้บ้าง”

ก่อนหน้านี้พวกเขาได้จ้างคนมาเฝ้าสวนแล้ว หากว่าสองคนต้องทำงานอย่างเดียวกัน วัดจากกำไรสวนป่าของพวกเขา คงเก็บคนไว้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

อวี้เหวินนึกถึงร่างบึกบึนกำยำของหวังซื่อแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าว่า สวนป่าทางนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ถึงสองคน ให้หวังซื่อมาวิ่งงานจิปาถะที่เรือนเราเถอะ ข้าฟังมาว่า ชีวิตทางแถบตะวันตกไม่ง่ายดาย เขารอนแรมมาเป็นพันลี้ หากให้เขาอยู่ที่นี่ต่อได้ก็รั้งเขาไว้เสีย บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนข้าวปลาสำหรับคนอีกหนึ่งท้อง พอเวลานานเข้า ไม่แน่อาจหางานอื่นในเมืองหลินอันให้เขาทำก็ได้ พวกเราถือว่าทำบุญทำทานไปเสีย”

อวี้ถังรู้อยู่แล้วว่าต้องจบเช่นนี้

บิดาและมารดาของนางล้วนมีจิตใจดีงามทั้งคู่

ทว่า พวกเขาได้ลาภลอยมาจากการขายแผนที่ หากว่าสามารถใช้มันช่วยเหลือผู้ตกยากได้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง

“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” อวี้ถังยิ้มแฉ่งตอบรับเขา

อวี้เหวินพึงใจต่อท่าทางของบุตรสาวมาก “ญาติผู้พี่เจ้าพรุ่งนี้ก็จะไปเมืองซูโจวกับพวกข้าด้วย อาเสาอยู่ที่เรือน เจ้ามีเรื่องอะไรก็สั่งเขาแล้วกัน”

หากว่ารั้งตัวหวังซื่อไว้ หากบิดาเดินทางไปที่ใด ในเรือนก็ยังมีคนวิ่งงานและแบกหามอะไรได้

อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก คิดว่าขอเพียงหวังซื่อเป็นคนซื่อสัตย์ยินดีทำงาน นางย่อมรั้งคนไว้อย่างแน่นอน

วันถัดมา หลังจากที่ไปส่งอวี้เหวินและอวี้หย่วนแล้ว นางก็กลับไปที่บ้านเก่า

หวังซื่อเอาต้นไม้ปลูกลงดินตลอดทั้งคืน อีกอย่างช่วงกลางคืนก็อยู่ด้วยกันกับคนดูแลสวนที่สกุลอวี้จ้างมา ทว่าสีหน้าผู้ดูแลสวนไม่ใคร่จะสู้ดีนัก เห็นชัดว่าการมาเยือนของหวังซื่อทำให้เขารับรู้ถึงบรรยากาศที่ล่อแหลม

อวี้ถังไม่ชอบคิดอุบายซับซ้อน นางเอ่ยกับผู้ดูแลสวนไปตรงๆ ว่า “ข้าจ้างหวังซื่อให้มาปลูกต้นซาจี๋เป็นพิเศษ เรื่องอื่นๆ ในสวน ยังคงเป็นหน้าที่เจ้าต้องรับผิดชอบ เจ้าเองก็ต้องช่วยหวังซื่อคิดหาวิธีให้ต้นซาจี๋อยู่รอด ไม่อย่างนั้น สวนป่าแห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนมาคอยดูแลแล้ว”

ก่อนหน้านี้นั้น ผู้ดูแลสวนไม่ทันคิดถึงความเชื่อมโยงของเรื่องราว พอได้ยินอวี้ถังพูดก็รีบเปลี่ยนความคิดในทันใด แล้วรับปากกับอวี้ถังว่า “ข้าจะต้องช่วยหวังซื่อปลูกต้นไม้ให้รอดแน่ขอรับ”

หากว่าต้นซาจี๋เติบโตต่อไปได้ สวนป่าแห่งนี้ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสวนซาจี๋ทั้งหมด สวนป่ามีพื้นที่สี่ห้าสิบหมู่ หากเป็นเช่นนั้น ภายในสามปีห้าปีพวกเขาคงไม่มีเวลาอยู่ว่างๆ แน่ รอกระทั่งต้นซาจี๋ออกผล สกุลอวี้ยังต้องมีคนช่วยเก็บผลมันอีก นับว่ามีงานให้ทำต่อเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาเพียงสองคนคงทำไม่ไหว ไม่แน่อาจต้องจ้างคนมาเพิ่ม ทว่าหากต้นไม้นี้ตายจนหมด เขากับหวังซื่อก็ไม่ต้องหวังจะได้ทำงานแล้ว

อวี้ถังเห็นว่าเขาคิดจนกระจ่างแล้วก็ไม่พูดมากอีก นางหันไปถามเรื่องปลูกต้นไม้กับหวังซื่อ หวังซื่อตอบทุกคำถามได้ครบถ้วน ฟังแล้วนับว่าเข้าท่ามีเหตุผล อีกอย่างฟังจากความหมายของหวังซื่อ เขายังปลูกพืชผลและผลไม้อื่นๆ เป็นอีกด้วย แต่ทางนั้นที่ปลูกมีเพียงข้าวบาเล่ย์กับข้าวสาลี เมืองหลินอันทางนี้ก็ปลูกข้าวนาน้ำเป็นส่วนใหญ่ อวี้ถังกลับคิดว่า ขอเพียงแยกแยะให้ออกว่าอย่างไหนคือข้าวเจ้าอย่างไหนคือข้าวสาลี หากมีใจแน่วแน่ ไม่ว่าปลูกอะไรล้วนแต่เรียนรู้ได้สำเร็จทั้งสิ้น

นางจึงเอ่ยกับหวังซื่อไปว่า “เจ้าเห็นนาน้ำผืนใหญ่ทางโน้นหรือไม่? นั่นก็เป็นของสกุลอวี้เช่นกัน หากว่างานในสวนไม่มีอะไร เจ้าก็ลองไปดูที่นาทางนั้นบ้าง เรียนรู้วิธีการปลูกข้าวนาน้ำกับพวกเขาไว้ก็ดี”

หวังซื่อรับคำอย่างนอบน้อม

อวี้ถังไปบอกกับปู่ห้าเอาไว้ด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าเรือนเก่าของบรรพบุรุษก็ดี หรือว่าเรื่องในเรือกสวนไร่นาก็ดี ปู่ห้าเพียงช่วยเฝ้าไว้เท่านั้น แต่ไม่ได้จัดการดูแลอะไร หวังซื่อจะเรียนรู้วิธีปลูกข้าวนาน้ำหรือไม่นั้น สำหรับเขาแล้วนับว่าไม่ส่งผลกระทบใดๆ นัก ทว่าหากคนในหมู่บ้านถามถึง เขาจะได้ช่วยตอบไปสักคำ บอกว่าเป็นความต้องการของสกุลอวี้ก็พอแล้ว ซึ่งเขาเองก็มิได้ปฏิเสธว่ากระไร

อวี้ถังกำชับหวังซื่อว่า “ท่านปู่ห้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ตอนเจ้าว่างก็แวะมาดูเขาบ้าง ช่วยเขาเก็บฟืนไม่ก็หาบน้ำ ต่อไปเจ้าอยู่ในหมู่บ้านพบปัญหาอะไรเข้า ก็ยังพอมีคนช่วยเหลือ”

หวังซื่อคาดไม่ถึงอย่างมาก เขาไม่คิดว่าอวี้ถังจะเป็นคนเอื้ออารีย์ สิ่งที่บอกกับเขาก็คือการสร้างเนื้อสร้างตัวทั้งสิ้น เขาจึงบอกขอบคุณนางไม่หยุด ความหวังที่จะฝากตัวไว้กับสกุลอวี้จึงเพิ่มขึ้นหลายส่วน

อวี้ถังเดินทางกลับเรือนในวันเดียวกัน

คนสกุลหวังไม่รู้มาถึงเมื่อไร กำลังวุ่นวายงานในโกดังสินค้าอยู่กับคนสกุลเฉิน

อวี้ถังเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ตอนที่ชำระกายอยู่ยังถามป้าเฉินว่า “ท่านแม่กับป้าสะใภ้ทำอะไรกันหรือ? อากาศร้อนขนาดนี้”

แม้จะเรียกว่าโกดังสินค้า แต่ความจริงเป็นห้องเล็กๆ ที่อยู่ด้านในเรือนในของคนสกุลเฉิน กระทั่งหน้าต่างสักบานยังไม่มี อากาศที่ร้อนอ้าวเพียงนี้ มีแต่จะทำให้คนเป็นไข้แดดเอาได้

ป้าเฉินเปิดปากหัวเราะ “ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ รอให้นายหญิงออกมาท่านลองถามนายหญิงดูสิเจ้าคะ”

อวี้ถังคิดว่านางตั้งใจแอบทำอะไรบางอย่าง จึงไม่ได้ถามซอกแซก นางเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ แล้วดื่มน้ำต้มถั่วเขียวไปสองชามติดๆ กัน คนพลันรู้สึกสบายไปทั่วร่าง จากนั้นก็เข้าไปเอ่ยทักทายป้าสะใภ้

คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินออกมาจากโกดังสินค้าแล้ว ตอนนี้กำลังยืนสนทนาอยู่ใต้ชายคาเรือน เห็นว่าอวี้ถังเดินมาหา ไม่เพียงยิ้มตาหยีเดินเข้ามาทักอวี้ถังก่อน ซ้ำยังถามถึงเรื่องสวนป่าอีกด้วย

อวี้ถังทางหนึ่งก็ตอบคำถามของป้าสะใภ้ ทางหนึ่งก็พิจารณาห่อผ้าที่อยู่ในอ้อมแขนของคนสกุลหวังด้วยความใคร่รู้

คนสกุลเฉินอธิบายขึ้นมาว่า “ป้าสะใภ้เจ้ามาเอาผ้านิดหน่อยน่ะ”

มีผ้าชนิดใดที่ต้องมายืมที่เรือนพวกนางรึ?

อวี้ถังคิดจะถาม แต่ป้าสะใภ้ก็เอ่ยบอกลาเสียก่อน

นางไม่สะดวกซักไซ้ เดินไปส่งป้าสะใภ้เป็นเพื่อนมารดา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ป้าสะใภ้ต้องการผ้าชนิดใดหรือเจ้าคะ?”

คนสกุลเฉินตอบอย่างคลุมเครือว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็คือผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดไม่กี่ฉื่อเท่านั้น”

ฤดูกาลเช่นนี้ สวมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดเป็นเสื้อป้ายตัวในทั้งซักทำความสะอาดง่ายและเย็นสบายอีกด้วย

หรือป้าสะใภ้คิดจะทำเสื้อป้ายตัวในรึ?

อวี้ถังไม่ได้ถามต่อ แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่บิดาเดินทางไปข้างนอก โยนบทแทรกเมื่อครู่ทิ้งไปในทันที

อวี้เหวินกับอวี้หย่วนกลับมาหลังจากผ่านไปห้าวัน

สองคนหน้าตาชื่นมื่น แสดงว่าเรื่องราวเดินหน้าไปอย่างราบรื่น

เพราะเรื่องนี้เอง นายท่านอู๋จึงสนิทสนมกับสกุลอวี้มาก ช่วงเทศกาลสารทจีน นายหญิงอู๋ยังมาเยือนถึงหน้าประตูเพื่อชวนคนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปปล่อยโคมดอกบัวที่แม่น้ำด้วยกัน ทั้งกระตือรือร้นจะช่วยหาคู่ครองที่ดีสักคนให้อวี้ถัง แต่ก็เหมือนที่อวี้เหวินคาดการณ์เอาไว้แต่แรก คนที่ยินดีจะแต่งเข้าเป็นเขยสกุลอื่น หากมิใช่ว่าขาดตกบกพร่องสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็คงรูปโฉมขี้ริ้วไม่งดงาม คนสกุลเฉินยังไปดูด้วยตนเองถึงสองรอบ ทว่าก็ยังไม่สำเร็จ

ยังดีที่อวี้ถังเองไม่รีบร้อน ทำให้คนสกุลเฉินไม่ต้องรู้สึกกระวนกระวายใจตามไปด้วย

กระทั่งผ่านวันงานเลี้ยงครบเดือนของจางฉิง หลังจากที่อวี้ถังส่งถั่วลิสงไปให้เผยเยี่ยนรอบหนึ่งแล้ว ดอกกุ้ยฮวาก็เริ่มเบ่งบาน ทุกบ้านทุกครัวเรือนต่างก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว

อวี้ถังปรึกษากับคนสกุลเฉินไว้วว่า จะส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปให้จวนสกุลเผย “นอกจากขนมไหว้พระจันทร์เปลือกบางแล้ว ยังทำขนมไหว้พระจันทร์แบบอื่นได้หรือไม่เจ้าคะ?”

ชาติก่อน ตอนอยู่สกุลหลี่นางเคยได้กินขนมไหว้พระจันทร์ที่มาจากเมืองหลวง เปลือกด้านนอกคล้ายขนมแป้งทอด ด้านในห่อด้วยไส้ถั่วชนิดต่างๆ

ไม่รู้ว่ามารดาของนางจะทำเป็นหรือไม่?

คนสกุลเฉินเอ่ยยิ้มๆ “ขนมไหว้พระจันทร์หากไม่กินแบบเปลือกบางแล้วจะกินแบบใดเล่า หรือยังมีขนมแบบอื่นด้วยรึ?”

อวี้ถังไม่สะดวกจะเล่าให้ฟัง ยังคิดว่าจะไปเมืองหังโจวสักครั้งแล้วซื้อขนมไหว้พระจันทร์แบบเมืองหลวงกลับมาให้มารดาลองชิมดีหรือไม่? จากนั้นก็ค่อยๆ หัดทำ

ขณะใช้ความคิดนั้นเอง อวี้หย่วนก็มาส่งขนมไหว้พระจันทร์พอดี เขาบอกว่าคนสกุลเซียงให้คนส่งมาจากฟู่หยางมอบเป็นของขวัญในเทศกาลไหว้พระจันทร์ หนึ่งส่วนในนั้นได้ฝากให้อวี้เหวินด้วย

อวี้ถังเปิดกล่องออกดู คิดว่าต้องการสิ่งใดสิ่งนั้นก็โผล่มาได้จังหวะจริงเชียว นี่ก็คือกล่องขนมไหว้พระจันทร์จากเมืองกว่างโจว

ขนมไหว้พระจันทร์ของกว่างโจวกับเมืองหลวงทางนั้นคล้ายคลึงกัน เปลือกทำด้วยแป้งนุ่ม แต่จะต่างกันที่ไส้ด้านใน หากเป็นขนมไหว้พระจันทร์ของกว่างโจวมักนิยมทำเป็นไส้เม็ดบัวหรือไม่ก็ไข่แดง

นางพูดกับคนสกุลเฉินว่า “ท่านดูนี่สิ มิใช่มีขนมไหว้พระจันทร์แบบอื่นนอกจากแบบเปลืองบางอยู่หรือ?”

คนสกุลเฉินกลับไม่เห็นพ้อง “ไม่ใช่แบบเปลือกบางแล้วจะเป็นขนมไหว้พระจันทร์ได้อย่างไร? กินขนมไหว้พระจันทร์ ก็ต้องกินแบบเปลือกบางสิ!”