อวี้ถังได้แต่กุมขมับ รอจนบิดากลับมาก็ลากเขามาแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ที่อวี้หย่วนส่งมาให้
เมืองหลินอันกินขนมไหว้พระจันทร์แบบเปลือกบาง ไม่ค่อยจะได้เห็นขนมไหว้พระจันทร์แบบกว่างโจวสักเท่าไร นับว่าเป็นของแปลกใหม่หายาก เช่นครอบครัวอย่างพวกนางนี้ ปกติมักจะไม่เก็บไว้กินเอง แต่จะมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นต่อ ทว่าอวี้เหวินรักใคร่ตามใจเด็กๆ คิดว่าเมื่อเป็นของดีหายาก พวกเด็กๆ อยากจะลองชิม เช่นนั้นก็ต้องให้เด็กๆ ได้กินก่อน
เขาได้ยินดังนั้นก็สั่งอาเสาให้ไปหยิบมีดมา ทั้งเอ่ยว่า “เรียกพวกป้าเฉินไม่กี่คนมาด้วย ทุกคนล้วนลองชิมกัน ดูว่ารสชาติจะต่างกับขนมไหว้พระจันทร์ที่พวกเรากินปกติหรือไม่”
ถึงกับมีส่วนแบ่งของพวกเขาด้วยหรือนี่!
อาเสาพบเรื่องยินดีอย่างคาดไม่ถึง รีบวิ่งไปเรียกพวกป้าเฉินทันที
พอป้าเฉินรู้เรื่องก็ยิ้มตาหยีเฉกคนดีอกดีใจ นางถือมีดไปด้วยตนเอง ขนมไหว้พระจันทร์สี่ชิ้นถูกหั่นแบ่งเป็นสิบหกส่วน ทุกคนต่างได้ลิ้มลองรสชาติ
“อร่อยนัก!” คนแรกที่ส่งเสียงชื่นชมคือป้าเฉิน นางอายุมากแล้ว ชอบกินของที่อ่อนนุ่ม “ขนมไหว้พระจันทร์ของพวกเขาทำอย่างไรรึ ทั้งหวานทั้งนุ่ม วันนี้นับว่าอาศัยบารมีของคุณหนูกับนายหญิงแล้ว ข้าถึงได้มีโอกาสกินขนมไหว้พระจันทร์ที่เลิศรสเช่นนี้”
ซวงเถา อาเสาต่างก็พยักหน้าตามๆ กัน
คนสกุลเฉินก็รู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเลย แต่นางคิดว่าด้านในที่เป็นไส้งาดำกับน้ำตาลกรวด จะยิ่งเลิศรสมากขึ้นหากกัดเต็มๆ คำจากขนมไหว้พระจันทร์แบบเปลือกบาง ทว่านางมักจะเอาใจเด็กๆ เสมอ ในเมื่ออวี้ถังคิดว่าขนมไหว้พระจันทร์แบบกว่างโจวอร่อยกว่า นางก็จะลองทำขนมไหว้พระจันทร์แบบนั้นดู
“เช่นนั้นขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ข้าจะทำเป็นไส้เม็ดบัวและไข่แดงให้เจ้าเป็นพิเศษดีหรือไม่?” นางถามอวี้ถัง
เอ๊ะ?
คำพูดของมารดาสะกิดใจนางพอดี
เผยเยี่ยนก็เติบโตที่เมืองหลินอัน ไม่แน่เขาอาจจะเหมือนมารดาของนาง ที่ปักใจต่อขนมไหว้พระจันทร์แบบเปลือกบางก็เป็นได้ หากต้องทำขนมไหว้พระจันทร์ที่แป้งต่างกันสี่แบบ มิสู้ทำขนมไว้พระจันทร์เปลือกบางที่มีหลากหลายไส้จะดีกว่า
อวี้ถังหัวเราะแล้วพยักหน้า บอกกับมารดาว่า “ดีเลยเจ้าค่ะ พวกเรายังสามารถทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ถั่วธัญพืช ไส้พุทราจีน แล้วยังมีไส้ถั่วแดง…”
คนสกุลเฉินลูบศีรษะบุตรสาวแล้วเอ่ยว่า “ทำให้เจ้าทั้งหมดนั่นแหละ ขอเพียงเจ้าคิดออกมาได้ มารดาก็จะทำให้เจ้ากิน”
ดวงตากลมโตเฉกเมล็ดซิ่งของอวี้ถังยิ้มโค้งจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
คนสกุลเฉินกับป้าเฉินจึงวุ่นวายขึ้นมาทันที ไหนจะต้มถั่วแดง ซื้อไข่เค็ม นึ่งพุทราจีน ในเรือนมีกลิ่นหอมหวานลอยอบอวลไม่ซ้ำกันแต่ละวัน
เพียงแต่ไม่รอให้พวกนางส่งขนมไหว้พระจันทร์ให้สกุลเผย ของขวัญวันไหว้พระจันทร์ของสกุลเผยก็ส่งมาถึงแล้ว
ผ้าสีเขียวปักดิ้นทองหนึ่งผืนสำหรับอวี้ถัง ลูกประคำสิบแปดไม้ประดู่แดงหนึ่งเส้นสำหรับคนสกุลเฉิน และกระดาษเฉิงซินหนึ่งพับพร้อมพู่กันหูโจวหนึ่งชุดสำหรับอวี้เหวิน
ทั้งยังให้พ่อบ้านสามหูซิ่งมาส่งด้วยตนเอง
มอบของขวัญให้แก่ลุงป้าน้าอาก็คงไม่พ้นของขวัญประมาณนี้
อวี้เหวินรับรายการของขวัญมาแล้วรู้สึกว่ามีหน้ามีตาขึ้นหลายเท่า
คนสกุลเฉินกลับรู้สึกกดดันหนัก คิดว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่ส่งไปสกุลเผยอย่างไรก็ต้องให้เผยเยี่ยนเหลือบตามองสักครั้ง หากว่าเขากินลงไปสักสองชิ้น ยิ่งจะดีที่สุด
นางมาปรึกษากับอวี้เหวินว่า “หรือไม่ท่านไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์แบบเมืองหลวงกับกว่างโจวจากด้านนอกมาเถอะ แป้งแบบนั้นแม้ข้าทำไม่เป็น แต่พวกเราสามารถลองใช้เปลือกแบบบางห่อแทนได้ ไม่แน่อาจจะถูกปากนายท่านสาม”
อวี้เหวินเห็นใจภรรยา คิดว่าเช่นนั้นยุ่งยากเกินไป จึงรีบบอกไปว่า “สุขภาพของเจ้าเพิ่งจะกระเตื้องขึ้นมาไม่ทันไร เจ้าก็ไม่ต้องทรมานตัวเองนักหรอก ข้าว่า มิสู้มอบของสะสมโบราณอะไรไปให้เขาจะดีกว่า”
คนสกุลเฉินไม่เห็นด้วย “วันไหว้พระจันทร์มอบของโบราณให้ แล้วตอนปีใหม่ก็มอบของสะสมโบราณให้อีกรึ? สกุลเรามิใช่ครอบครัวร่ำรวยสูงศักดิ์ มิจำเป็นต้องทำหน้าใหญ่ปานนั้น ลงมือทำของเล็กน้อยด้วยตนเองกลับแสดงความจริงใจออกมาได้มากกว่า”
อวี้เหวินเกาศีรษะแกรกๆ
ไม่รู้ว่าคนมากน้อยเท่าไรได้รับความเมตตาของสกุลเผย ทุกช่วงสิ้นปีล้วนเค้นสมองมองหาสิ่งของที่แสดงถึงความจริงใจไปมอบให้สกุลเผย สกุลเขานั้นต่อให้มอบของขวัญดิบดีเพียงใดก็คงไม่อาจทำให้สกุลเผยรู้สึกหวงแหนได้ แต่ความตั้งใจแน่วแน่ของภรรยานี้ เขาก็ไม่อาจสาดน้ำเย็นเข้าใส่เช่นกัน จึงเอ่ยเพียงว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะให้คนไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์จากด้านนอกกลับมา”
คนสกุลเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วไปคิดค้นวิธีกับป้าเฉินว่าจะทำอย่างไรให้ไส้ถั่วแดงในขนมไหว้พระจันทร์ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไปนัก ซ้ำยังพูดอีกว่า “นายท่านสามมีปลามีเนื้อกินทุกวัน แน่นอนว่าคงไม่ชอบอาหารมันเยิ้มหรือหวานมากจนเกินไปแน่ พวกเราควรทำรสชาติให้อ่อนลงมาหน่อย”
อวี้ถังได้ยินก็เม้มปาก “ท่านแม่ นายท่านสามยังไว้ทุกข์อยู่ ครั้งก่อนตอนที่ข้าเจอเขา เขายังใส่ชุดผ้าสีเรียบอยู่เลยเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินได้ยินก็ตะลึงไป “คนที่รักษาจารีตเช่นเขานี้นับวันยิ่งเห็นน้อยลงทุกทีแล้ว”
แม้จะบอกว่าออกจากไว้ทุกข์เมื่อครบยี่สิบเจ็ดเดือน แต่คนที่จะสวมเสื้อผ้าสีหม่นกินอาหารเรียบง่ายระหว่างช่วงที่ไว้ทุกข์อย่างจริงจังมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พอครบปี แต่ละคนก็เริ่มจะคลายความเข้มงวดลงไม่มากก็น้อยแล้ว
อวี้ถังได้ยินก็ใจลอย ไม่รู้ว่าหลังจากออกไว้ทุกข์แล้วเผยเยี่ยนจะแต่งกายเช่นไร
คนสกุลเฉินกับป้าเฉินลองลงมือทำไปแล้วหลายวิธี กระทั่งข้าวปลาอาหารของสกุลอวี้ในหลายวันนี้ก็เรียบง่ายขึ้นไปด้วย
อวี้เหวินกินข้าวไปก็รู้สึกคับข้องหมองใจ พยายามเตือนคนสกุลเฉินอย่างอ้อมๆ ว่า “ใกล้จะมีปูมาขายที่ตลาดแล้ว พวกเรารีบสั่งมากินก่อนดีหรือไม่?”
แต่ก่อนสุขภาพของคนสกุลเฉินไม่ค่อยแข็งแรง ในเรือนน้อยครั้งมากที่จะได้กินเนื้อปูกัน
คนสกุลเฉินได้ฟังก็รู้สึกผิด เอ่ยกับอวี้เหวินคล้ายขอโทษว่า “ต้องสั่งล่วงหน้าไว้ก่อนสิ ข้าจำได้ว่าตอนเด็กๆ อวี้ถังชอบกินปูมาก หลายปีมานี้ก็ไม่เคยได้ซื้อเลยสักครั้ง”
อวี้เหวินอ้าปากพะงาบๆ หลายครั้ง
เขาก็อดทนอย่างยากลำบากเช่นกันมิใช่หรือ ทว่าภรรยาเอาแต่คิดถึงอวี้ถังอยู่คนเดียว งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ที่เรือนปีนี้อย่างไรเขาก็ต้องจัดปูให้เต็มโต๊ะเพื่อดับความอยากให้จงได้
สองคนกำลังสนทนากันอยู่ นายท่านอู๋ก็หิ้วตะกร้าปูเข้ามาเยี่ยมอวี้เหวินพอดี
อวี้เหวินทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้นยินดี เขาออกไปรับนายท่านอู๋เข้ามาดื่มชาด้วยตนเอง ทั้งยังให้คนสกุลเฉินกับอวี้ถังมาทักทายนายท่านอู๋ด้วย
นี่นับเป็นการไปมาหาสู่อย่างคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว
อวี้ถังกับคนสกุลเฉินต่างเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนนายท่านอู๋ที่โถงรับรอง
หัวข้อสนทนาเริ่มจากดอกกุ้ยฮวา จากนั้นก็ไม่รู้เปลี่ยนเป็นเรื่องเรือกสวนไร่นาของสกุลได้อย่างไร
นายท่านอู๋กดเสียงต่ำพูดกับอวี้เหวินว่า “เจ้าได้ยินบ้างแล้วหรือไม่ สกุลหลี่ ครอบครัวของหลี่ตวนนั่นน่ะ ต้องการจะขายที่ห้าสิบหมู่”
อวี้ถังพลันหูตั้งตะแคงรอฟังทันที
ที่นาเป็นสมบัติของสกุลที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ครอบครอบของคนธรรมดาทั่วๆ หากไม่เข้าตาจนจริงๆ ย่อมไม่มีทางขายออกไปง่ายๆ แน่ สกุลใดหากว่าต้องการขายที่ นั่นก็หมายความว่าต้องล่มสลายอย่างแท้จริงแล้ว
ชาติก่อน สกุลหลี่มีแต่จะซื้อที่นาเท่านั้น ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ต้องขายที่มาก่อน!
คนสกุลเฉินได้ฟังก็ตกใจจนตัวโยน มือบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างตึงเครียดทันที
อวี้เหวินกลับไม่ปิดบังความแตกตื่นของตนเองสักนิด “นายท่านอู๋ไปได้ยินมาจากไหน? ใต้เท้าหลี่มิใช่เพิ่งรับราชการที่เมืองหลวงรึ? เหตุใดจะขายที่นาเสียเล่า?”
นายท่านอู๋เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าก็รู้อยู่ สกุลข้าพอมีเงินสำรองอยู่บ้าง หลายวันก่อนมีคนกลางแอบมาหาข้าเงียบๆ ถามว่าข้าจะซื้อไว้ไหม ยังบอกไม่ให้ข้าส่งเสียงเอะอะอีก เจ้าเองก็คงรู้ หลายปีนี้สกุลหลี่ทำแต่เรื่องงามหน้า ต่อให้สกุลของหลี่ตวนกับบ้านสายหลักตัดขาดกัน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเขียนอักษร ‘หลี่’ ให้แยกเป็นสองตัวได้ พวกเขาต้องการขายที่นา สกุลหลี่สายหลักย่อมเป็นฝ่ายที่ต้องการซื้อเก็บไว้มากที่สุด เหตุใดข้าต้องเอาตัวไปยุ่งกับน้ำขุ่นคลั่กนี้ด้วยเล่า แต่ที่นาผืนนั้นของพวกเขานับว่าประเสริฐจริงๆ เป็นผืนที่ปลูกข้าวปี้จิง[1]อย่างไรเล่า ข้านั่งคิดอยู่ที่เรือนหลายวัน ในใจก็ยังปล่อยวางไม่ได้ เห็นว่าน้องชายเจ้ามิใช่คนอื่นคนไกล เจ้ามีเรื่องดีๆ ยังคิดถึงข้า เมื่อข้าเจอเรื่องดีๆ จะลืมเจ้าได้เช่นไร วันนี้ถึงตั้งใจมาถามเจ้าเป็นพิเศษ หากว่าเจ้าต้องการ พวกเราสองสกุลก็แบ่งที่ผืนนั้นเสีย เจ้าคิดอ่านเป็นอย่างไร?”
อวี้ถังฟังแล้วก็เข้าใจทุกอย่างในทันที
เพราะว่าร่วมลงหุ้นกับเรือของเจียงเฉาด้วยกัน นายท่านอู๋กับบิดานางยิ่งกระชับความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าเก่า สองคนที่เดิมสนิทกันอยู่แล้วบัดนี้กลายมาเป็นเพื่อนที่รู้ใจ สกุลหลี่มีที่นาชั้นดีสองร้อยหมู่ ทั้งหมดใช้เพาะปลูกข้าวปี้จิง และข้าวปี้จิงมีรสชาติดีกว่าของข้าวบรรณาการเดือนหกด้วยซ้ำ สกุลหลี่แค่อาศัยที่นาสองร้อยหมู่นี้ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างคนชนชั้นสูงระดับกลางได้แล้ว เพียงแต่ที่นาสองร้อยหมู่นั้น เมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็อยู่ในมือคนของสกุลหลี่แล้ว ภายหลังเมื่อแยกสกุลก็ตกมาอยู่ในมือของครอบครัวหลี่ตวน จากฐานะของครอบครัวหลี่ตวน ไม่ว่าอย่างไรคงไม่มีวันขายที่นาสองร้อยหมู่ออกไปแน่ ทั้งจึงไม่มีใครคิดหมายจะครอบครอง
บัดนี้สกุลหลี่กลับคิดจะขายที่อย่างนั้นรึ!
ทั้งยังเป็นที่นาชั้นยอดที่สามารถปลูกข้าวปี้จิงได้อีกด้วย!
หากว่าผู้อื่นรู้เข้า ราคาย่อมพุ่งพรวด คิดหาทางคว้าที่นาห้าสิบหมู่มาอยู่ในมือให้จงได้
เทียบกับเรื่องขายที่นาแล้ว อวี้ถังอยากรู้มากกว่าว่าเหตุใดสกุลหลี่ต้องขายที่นาห้าสิบหมู่ผืนนี้?
อวี้เหวินใจสั่นทันใด เขาถามว่า “ราคาเปิดเท่าไรล่ะ?”
นายท่านอู๋ชูนิ้วมือขึ้นมาสี่นิ้วอย่างปวดใจ
อวี้เหวินชะงักกึก ถามหยั่งเชิงว่า “สี่สิบตำลึงหนึ่งหมู่?”
นายท่านอู๋ผงกศีรษะ ถอนหายใจเอ่ยต่อว่า “ราคาเปิดสูงเทียมฟ้าจริงๆ”
อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่น
ราคาที่ดินในเมืองหลินอัน ที่นาชั้นดีอย่างมากก็หมู่ละแปดตำลึง บางครั้งหากเป็นสถานการณ์พิเศษหน่อย ก็อาจขายได้ถึงหมู่ละสิบหรือสิบสองตำลึง ขนาดหมู่ละสิบห้าตำลึงยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
สี่สิบตำลึงหนึ่งหมู่ คงมีแต่พวกเศรษฐีใหม่จ่ายเงินซื้อที่นาส่วนตัวปลอดภาษีแล้ว
มิน่าถึงส่งคนมาหานายท่านอู๋
คนสามัญธรรมดาใช่ว่าจะมีเงินซื้อไหว
แน่นอนว่า เขาในตอนนี้ก็มีเงินพอให้ควักจ่าย แต่จ่ายเงินก้อนโตเพียงนั้นกลับซื้อที่นาได้เพียงห้าสิบหมู่ สิ่งที่ต้องคิดให้มากก็คือ ที่นาสองร้อยหมู่ของสกุลหลี่เชื่อมเป็นผืนเดียวกัน ที่นาห้าสิบหมู่ที่ขายออกก็จะอยู่ติดกับที่นาของสกุลหลี่ หากว่ามีปัญหาเรื่องน้ำหรือแมลงจนทะเลาะกันขึ้นมา คงอธิบายให้กระจ่างไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้ออกจะจัดการยากอยู่บ้าง
อวี้เหวินถามนายท่านอู๋ว่า “ความเห็นของท่านคือ?”
นายท่านอู๋ตอบว่า “ข้าคิดว่าสี่สิบตำลึงหนึ่งหมู่สูงเกินไป คงลองไปเจรจาดูก่อนว่าลดเป็นสามสิบตำลึงหนึ่งหมู่ได้หรือไม่ ข้าถือไว้สี่สิบหมู่ เจ้าถือไว้สิบหมู่ เจ้ากับข้าก็ไม่ต้องลำบากลำบนมากนัก ถึงเวลานั้นก็ช่วยดูแลกันและกันได้”
ประเด็นหลักอยู่ที่ช่วยดูแลกันและกันได้กระมัง?
อวี้ถังลอบคิด หัวใจก็เต้นแรงเพราะอยากจะลองดูสักตั้ง
ใจหนึ่งอยากได้ที่นาด้วยต้องการแก้แค้น แต่ใจหนึ่งรู้สึกว่าหากครอบครองมันแล้วคงต้องเข้าไปพัวพันกับสกุลหลี่ไม่หยุดหย่อน มีแต่จะวุ่นวายใจกว่าเดิม
สิ่งสำคัญก็คือ ไม่ว่าจะบิดานางก็ดีหรือนายท่านอู๋ก็ดี ที่กล้าซื้อที่นาผืนนั้นเพราะพวกเขาคิดว่าเงินทุนที่ลงไปกับเจียงเฉาจะคืนกำไรก้อนโต ถึงเวลานั้นย่อมมีทั้งทรัพย์สินและหน้าตา นายท่านอู๋มีพี่เขยรับราชการ อวี้เหวินตัวเขาเองก็เป็นถึงซิ่วไฉ ต่อให้บ้านสายหลักสกุลหลี่คิดสร้างความลำบากให้พวกเขา หรือว่าหากสกุลหลี่ตวนมานึกเสียใจภายหลัง พวกเขาก็ยังมีกำลังทรัพย์พอต่อกรกับสกุลหลี่ได้
อวี้เหวินกับนายท่านอู๋คิดเช่นนั้นอยู่จริงๆ แต่อวี้เหวินเป็นคนขี้ขลาด เขาเอ่ยอย่างละล้าละลังว่า “ราคาระดับนี้ คนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึงแน่ พวกเราควรรอสักหน่อยหรือไม่? สืบถามให้ชัดเจนเสียก่อนจะดีกว่าว่าเหตุใดสกุลหลี่ถึงต้องการจะขายที่นาผืนนั้น?”
เขาประเมินอย่างมั่นใจแล้วว่าเพื่อศักดิ์ศรีของสกุลหลี่ พวกเขาไม่มีทางไปขอร้องสกุลเผยแน่
นายท่านอู๋ตอบอย่างจนใจ “เหตุใดข้าจะไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ แต่ข้าสืบถามจากคนที่พอจะถามได้จนทั่วแล้ว ต่างไม่มีใครรู้สักนิดว่าเหตุใดสกุลหลี่ต้องขายที่นาห้าสิบหมู่นั่น”
อวี้เหวินอย่างไรก็มีตำแหน่งชื่อเสียง ข่าวบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องในสกุลของเหล่าบัณฑิตเอง หากว่าต้องการสืบรู้ ย่อมง่ายดายกว่านายท่านอู๋เสียอีก
บางทีนี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมนายท่านอู๋ต้องยุยงให้อวี้เหวินซื้อที่นาผืนนั้นด้วย
อวี้เหวินพยักหน้าหงึกๆ
สองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
ในเสียงหัวเราะคล้ายมีความนัยว่าต่างฝ่ายต่างรู้และเข้าใจกันดี
ทว่าในสายตาของอวี้ถัง นี่เป็นการสมคบคิดของพวกคนชั่วโดยแท้
แต่การสมคบคิดของพวกคนชั่วนั้น นางเองก็ชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ
อวี้ถังลุกยืนขึ้นแล้วสั่งการซวงเถาเป็นพิเศษว่า “อากาศอบอ้าวเช่นนี้ รีบไปยกน้ำต้มถั่วเขียวที่แช่น้ำแข็งไว้เข้ามาเร็วเข้า”
ซวงเถารับคำแล้วจากไป
นายท่านอู๋ยิ้มสรวลแล้วหันไปพูดกับอวี้เหวินว่า “บุตรสาวบ้านเจ้าก้าวหน้าขึ้นทุกวัน น่าเสียดายที่เจ้าหนุ่มบ้านข้ากับลูกสาวเจ้าอายุไม่ไล่เลี่ยกันเลย”
อวี้เหวินยิ้มแล้วปัดมือไปมา กำลังจะเอ่ยคำถ่อมตัวสักหลายประโยค พลันเห็นพ่อบ้านของนายท่านอู๋วิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าขาวเผือด แล้วตะโกนเสียงหลงว่า “นายท่าน นายท่านอวี้ แย่แล้วขอรับ นายท่านเจียงทางนั้นเกิดเรื่องแล้ว!”
————————————————————-
[1]ข้าวปี้จิง เป็นข้าวคุณภาพสูงสายพันธุ์หนึ่ง มีถิ่นกำเนิดแถบมณฑลเหอเป่ย นับเป็นสินค้าบรรณาการในราชวงศ์ชิง ข้าวมีลักษณะเป็นเมล็ดยาวเรียว มีสีเขียวเล็กน้อย ลักษณะเด่นของข้าวปี้จิงคือจะมีกลิ่นหอมกรุ่นเมื่อปรุงสุกแล้ว