เวลาเดียวกัน ณ วังโฟอิรัค

แคทเธอรีนกับคาอิลรัสซึ่งรับหน้าที่ดูแลรับใช้เฟเรสต่างก็ได้แต่ลอบแลกเปลี่ยนสายตากันโดยไม่พูดอะไร

ในตอนที่ทุกคนกินอาหารกลางวันเสร็จและกำลังรู้สึกเกียจคร้านกันอยู่

เฟเรสกำลังอ่านหนังสือไม่ต่างอะไรจากทุกวันที่เคยทำ แต่บรรยากาศกลับต่างไปจากทุกครั้ง

คาอิลรัสมองเฟเรสที่รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความเป็นห่วง

หากจะถามว่าเฟเรสที่ภายนอกมีใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เหมือนเช่นทุกวัน มองจากตรงไหนถึงบอกว่าตื่นเต้นแล้วละก็

เฟเรสเหม่อมองหน้ากระดาษหนังสือโดยไม่ขยับมือเปลี่ยนหน้ามาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว

แคทเธอรีนมองภาพนั้นอยู่เงียบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยพูด

“เจ้าชาย หากอึดอัดใจมากถึงเพียงนั้น ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่หนึ่งเป็นเช่นไรเพคะ กว่าจะถึงยามอาทิตย์ตกดินที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นก็ยังเหลือเวลาอีกมากเพคะ”

คาอิลรัสช่วยพูดเสริมอีกคน

“หรือให้กระหม่อมจัดคุกกี้ช็อกโกแลตที่พระองค์ชอบขึ้นโต๊ะเสวยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ตุบ

สุดท้ายเฟเรสก็ปิดหนังสือเล่มหนาที่ถือเอาไว้จนส่งเสียงดังหนักหน่วง

“ชัดมากเลยหรือว่าข้า…ตื่นเต้นน่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เฮ้อ”

เฟเรสลูบมุมหนังสือ ‘คู่มือการฟันดาบแบบบราวน์’ ไปพลางถอนหายใจแผ่วเบา

“สมควรแล้วที่จะตื่นเต้นพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็เป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการครั้งแรก…”

คาอิลรัสเอ่ยปลอบเฟเรส

เฟเรสอาจจะเป็นคนที่มีความรู้สึกไม่สมกับเป็นเด็กอายุสิบสามปี แต่วันอย่างวันนี้นั้นเป็นวันที่ไม่ว่าใครก็สมควรจะตื่นเต้นกันทั้งสิ้น

“มันอาจจะเรียกว่างานเลี้ยงประจำอาณาจักรก็จริง แต่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะเพียงแค่เข้างานพร้อมฝ่าบาท ให้ผู้คนได้เห็นหน้าเห็นตาบ้าง แล้วกลับวังมาก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“หม่อมฉันกับคาอิลรัสเองก็จะคอยอยู่ข้างกายพระองค์เพคะ”

จะรู้สึกหนักใจมากขนาดไหนกันนะ

ความรู้สึกที่ต้องยืนต่อหน้าผู้คนในฐานะเจ้าชายลำดับที่สองแห่งอาณาจักรแลมบลูเป็นครั้งแรก หลังจากที่ถูกผู้คนลืมเลือนแม้กระทั่งการมีตัวตน

มันคงจะเป็นภาระที่หนักมากเกินกว่าเจ้าชายที่ยังเด็กคนหนึ่งจะรับมือได้ตามลำพัง

เฟเรสมองทั้งสองคนที่เอาแต่มองเขาด้วยใบหน้าสงสาร ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น

“ไม่ได้กังวลเรื่องงานเลี้ยงเสียหน่อย”

“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…หรือว่ากังวลเรื่องจักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”

คาอิลรัสเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

หากลองพิจารณาแล้ว นอกจากงานเลี้ยงสิ่งที่พอจะทำให้เจ้าชายรู้สึกตื่นเต้นได้ก็ยังมีอีกเรื่อง

ตอนนี้เขาเองก็ได้ทราบเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดแล้วว่าเพราะเหตุใดเฟเรสที่ยังเด็กถึงถูกทิ้งไว้ในวังเล็กที่ผุพังเต็มที่อยู่ตามลำพัง และวันที่พบกันครั้งแรกทำไมถึงได้มีร่างกายผอมแห้งตัวเล็กขนาดนั้น

โล่งอกที่หลังจากย้ายมายังวังโฟอิรัค เฟเรสก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดินีอีก

จักรพรรดินียังคงปฏิบัติกับเฟเรสราวกับคนไม่มีตัวตนเหมือนเคย งานเลี้ยงทุกงานของราชวงศ์ก็สั่งไม่ให้เฟเรสได้เข้าร่วม

เรื่องที่แตกต่างจากอดีตก็มีเพียงแค่การที่เฟเรสย้ายเข้ามาอยู่ในวังโฟอิรัคแทนวังเล็กได้รับการศึกษาและการดูแลสมกับเป็นเจ้าชายแทนชีวิตที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว

ดังนั้นตารางงานในฐานะเชื้อพระวงศ์สำหรับเฟเรส จึงมีเพียงแค่การร่วมรับประทานอาหารด้วยกันกับองค์จักรพรรดิเดือนละครั้งเท่านั้น

“องค์จักรพรรดินียังไม่ทราบว่าเจ้าชายจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยพ่ะย่ะค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่ระบายโทสะออกมาต่อหน้าทุกคน…”

“ไม่ใช่แบบนั้น”

เฟเรสส่ายหน้า

แคทเธอรีนเอ่ยพูดต่อเมื่อทนดูต่อไม่ไหว

“เจ้าชาย หากไม่สบายใจตรงไหนโปรดบอกพวกหม่อมฉัน พวกเราจะได้…”

“เทีย”

“…เพคะ?”

“เทียจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยไม่ใช่เหรอ”

เฟเรสพูดออกไปเช่นนั้นแล้วก็กางหนังสือออก ก้มหน้านิ่งอีกครั้ง

ใบหูที่เผยให้เห็นผ่านเรือนผมสีดำคุณภาพดีนั้นกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ

“เพราะฉะนั้น…”

คาอิลรัสเอ่ยถามกลับด้วยไม่อาจเชื่อหูของตัวเอง

“ไม่ใช่งานเลี้ยงที่ต้องยืนต่อหน้าชนชั้นสูงนับร้อย ไม่ใช่เพราะต้องพบหน้าจักรพรรดินีอีกครั้ง แต่ตื่นเต้นเพราะจะได้พบคุณหนูฟีเรนเทียหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสพยักหน้าเล็กน้อยหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“…ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่นา”

เฟเรสตอบเช่นนั้น ก่อนจะหนีหายเข้าไปยังโลกหนังสืออีกครั้ง

แต่สุดท้ายหน้ากระดาษแผ่นนั้นก็ยังคงถูกเปิดค้างทิ้งไว้จนกระทั่งถึงเวลาออกเดินทางไปยังโถงจัดงานเลี้ยง

พวกเรามาถึงพระราชวังโดยนั่งรถม้าส่วนตัวของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียของท่านปู่

ครั้งนี้องค์จักรพรรดิโยบาเนสคงตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงความหรูหราของราชวงศ์

คงจะตั้งใจแน่วแน่มากทีเดียว ระดับความยิ่งใหญ่ของงานเลี้ยงประจำอาณาจักรในครั้งนี้ถึงได้แตกต่างไปจากทุกครั้ง

แตกต่างจากสมัยก่อนที่จะใช้โถงจัดงานเลี้ยงของวังจักรพรรดิหรือวังจักรพรรดินี ในปีนี้พระองค์ได้สั่งให้เปิดวังตากอากาศขนาดใหญ่เพื่อนำมาตกแต่งใช้ในการจัดงานเลี้ยง

แสงไฟสว่างของโถงงานเลี้ยงนั้นสว่างมากเสียจนมองเห็นได้จากไกลๆ

ภาพรถม้าที่พวกชนชั้นสูงโดยสารมาต่อแถวเรียงยาวตั้งแต่หน้าประตูพระราชวังไปจนถึงโถงงานเลี้ยงเพื่อรอเข้าร่วมงานเองก็ดูอลังการเป็นอย่างมาก

แต่รถม้าสัญลักษณ์ลอมบาร์เดียกลับเมินเฉยแถวที่เรียงรายพวกนั้น และวิ่งตรงไปหยุดอยู่หน้าโถงงานเลี้ยงด้วยความเร็วราวกับกำลังวิ่งอยู่บนทางด่วน

ฟีเรนเทียเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในระหว่างที่สารถีรถม้าจัดเตรียมแท่นรองเหยียบ แล้วก็พลันตระหนักขึ้นมาได้สิ่งหนึ่ง

“ว่าแล้วเชียว ลอมบาร์เดียเจ๋งที่สุดเลย…”

หากถึงกับได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ ย่อมหมายความว่ามีแต่ตระกูลชั้นสูงมากอำนาจทั้งสิ้น

และในเมื่อมาพระราชวัง คนพวกนั้นจะเตรียมตัวมากันพร้อมขนาดไหนล่ะ

แต่แม้กระทั่งรถม้าของตระกูลเหล่านั้น เมื่อจอดอยู่ข้างรถม้าของลอมบาร์เดีย ยังดูไร้ความหมายไปเลย

แค่ขนาดของรถม้าก็เล็กกว่าจนเทียบไม่ติด

ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดออก ท่านปู่หันกลับมามองเธอ แล้วพูดขึ้น

“จำที่ปู่พูดไว้ให้ดี เตะด้วยเท้าไปเลยนะ”

“ใช่แล้วละเทีย แล้วก็เรียกพ่อทันทีด้วย”

คราวนี้แม้แต่ท่านพ่อเองก็เอากับเขาด้วย

โล่งอกที่บทสนทนาของพวกเราจบลงด้วยการเปิดประตูของสารถีรถม้า

ท่านปู่เป็นฝ่ายก้าวลงไปก่อน หลังจากนั้นท่านพ่อก็ก้าวตามลงไป

และเธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากท่านพ่อ ก้าวลงไปเป็นคนสุดท้าย

ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้น สายลมเย็นสบายก็พัดผ่านเข้ามา พร้อมกับท่วงทำนองหวานของดนตรีบรรเลงที่ดังแว่วออกมาจากข้างใน

อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหรือชีวิตใหม่นี้ การร่วมงานเลี้ยงยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ต่างก็เป็นครั้งแรกของเธอทั้งสิ้น

เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ

มือข้างหนึ่งของเธอจับมือของท่านพ่อเอาไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับมือของท่านปู่ พวกเราเดินเข้างานไปพร้อมกัน

เพียงแค่นั้น

ไม่ได้มีใครแจ้งการมาถึงของพวกเราด้วยเสียงตะโกน พวกเราเพียงแค่ก้าวเท้าเดินไม่กี่ก้าวมุ่งหน้าเข้าไปยังโถงงานเลี้ยงเท่านั้น

แต่ทุกย่างก้าวที่พวกเราก้าวเดินไปข้างหน้า มันกลับก่อให้เกิดคลื่นความเปลี่ยนแปลง

หนึ่งคน สองคน

ทุกคนต่างก็เหลียวหลังหันกลับมามองพวกเรา ราวกับข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไป

และในตอนที่มาถึงหน้าประตูงานเลี้ยง สายตาของทุกคนในงานก็หันมาจับจ้องอยู่ที่พวกเราอย่างพร้อมเพรียง