บทที่ 56

ราวกับชายชุดเดรสถูกฉุดรั้งด้วยสายตาของผู้คนในงานจนหนักอึ้ง หลังจากที่เข้ามาข้างในงานเลี้ยง สถานการณ์กลับยิ่งน่าสนใจมากกว่าเดิม

ผู้คนที่ยืนอยู่แน่นขนัดเต็มพื้นที่กว้างใหญ่กลับหลีกทางให้พวกเราราวกับทะเลที่ถูกผ่าแยกออกเป็นสองซีก พวกเขามองพวกเราสามคนด้วยใบหน้าหลากหลายอารมณ์

“ตระกูลลอมบาร์เดีย…”

เพียงชั่วขณะข้างในงานเลี้ยงก็เงียบสงัด ขนาดที่ฟีเรนเทียสามารถได้ยินเสียงพึมพำของใครบางคนดังชัดอยู่ในโสตประสาทหู

แต่แปลกจัง

ทั้งๆ ที่ผู้คนมากมายต่างก็สนใจพวกเราขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครเดินเข้ามาใกล้เลยสักคน

ทุกคนต่างก็ถอยห่างออกไปหลายก้าว กระซิบกระซาบคุยกันเองภายในกลุ่ม

ท่านปู่มองซ้ายมองขวาไปรอบๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย คล้ายคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี

และทุกคนที่สบตาเข้ากับนัยน์ตาของท่านปู่ต่างก็ได้แต่หลบสายตา ก้มหน้านิ่งเหมือนกันหมด

ปฏิกิริยาราวกับเผชิญหน้ากับสัตว์ป่านักล่า

ส่วนพวกผู้หญิงชนชั้นสูงทั้งหลายนั้นไม่อาจละสายตาห่างออกไปจากท่านพ่อได้เลย

เธอเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อที่จับมือข้างขวาของเธอเอาไว้

ผิวขาวเนียน ร่างกายผอมเพรียวสูงกว่าผู้ชายคนอื่น เรือนผมสีน้ำตาลยาวประบ่าถูกมัดรวบเอาไว้ ท่านพ่อดูโดดเด่นที่สุดในฝูงชนโดยเฉพาะนัยน์ตาสีน้ำตาลอบอุ่นที่ถูกปกคลุมด้วยแพขนตายาวคู่นั้น มันกำลังสะท้อนกับแสงไฟของงานเลี้ยงจนส่องประกายระยิบระยับ

หากจะนิยามด้วยคำพูดประโยคเดียวก็คงจะเป็น ‘ชายรูปงามผู้ให้บรรยากาศอบอุ่น’ ละมั้ง

ท่านพ่อคงจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่เงยหน้าขึ้นมองท่าน ถึงได้ก้มหน้าลงมามองเธอ

และแย้มรอยยิ้มผ่อนคลายให้เธอ

บางทีคงอยากจะสื่อว่าไม่ต้องตื่นเต้นก็ได้

แต่คนที่แสดงท่าทางผ่อนคลายความเครียดลงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั่นไม่ใช่เธอ แต่เป็นพวกสาวๆ ที่กำลังมองท่านพ่ออยู่ต่างหาก

ดูได้จากพวกผู้หญิงที่แข้งขาอ่อนระทวยจนเดินเซเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของท่านพ่อนั่นไง

และน่าตกใจที่เธอเองก็ได้รับความสนใจมากพอๆ กับท่านพ่อและท่านปู่เลยทีเดียว

“เด็กคนนั้นคือลูกสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดียหรือคะ”

“ตายแล้ว น่ารักเสียจริง ว่าแล้วเชียวบุตรหลานตระกูลลอมบาร์เดีย…”

“เหมือนบิดามากเลยนะคะ!”

โล่งอกความประทับใจแรกเห็นให้ปฏิกิริยาที่ดีพอสมควร

แต่ก็ได้ยินเสียงอื่นดังแทรกขึ้นในทันที

“เห็นว่าเป็นบุตรสาวคนเดียวใช่มั้ยคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นทายาทหนึ่งเดียวเลยน่ะสิครับ”

หลังจากที่ท่านพ่อกลายเป็นคนร่ำรวยมหาศาลจากธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป ก็มีกระทั่งคำพูดทำนองนั้นตามมาด้วย

และในตอนที่เดินผ่านข้างกลุ่มหญิงมีอายุกลุ่มหนึ่ง ก็ได้ยินคำพูดทำนองนี้

“บุตรสาวของแคลอฮัน ได้ยินว่าฉลาดมากจนได้รับความรักทั้งหมดจากเจ้าตระกูลเลยละ”

“จนถึงตอนนี้ยังมีบุตรหลานคนไหนที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียพามาร่วมงานด้วยตัวเองแบบนี้อีกเหรอคะ”

“เพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปีเองแท้ๆ อายุพอๆ กันกับหลานชายข้าเลยนะคะ”

และยังมีปฏิกิริยาที่เธอเฝ้ารออยู่ด้วย

“เดรสชุดนั้นเป็นผลงานของใครกันนะ การออกแบบเช่นนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก…”

“ไว้คงจะต้องสอบถามให้ทราบความเสียแล้วละ น่ารักจริงๆ”

“ดูอัญมณีที่ประดับอยู่นั่นสิคะ ตายจริง คนถึงได้ล่ำลือกันยังไงล่ะว่าช่วงหลังมานี่เงินทั้งหมดของอาณาจักรถูกร้านขายเสื้อแคลอฮันกับลอมบาร์เดียเอาไปหมด”

ว่าแล้วเชียว การได้เป็นเป้าความอิจฉาตาร้อนของคนอื่นๆ นี่มันรู้สึกดีจริงๆ

ความรู้สึกแบบนี้นี่มันเจ๋งชะมัด ขนลุกเลย

และเมื่อเดินผ่านทางที่ผู้คนแหวกเป็นสองฝั่งเหมือนดั่งทะเลแดงไปเช่นนั้น ก็พบว่าที่ปลายทางนั้นมีใครบางคนยืนอยู่

จักรพรรดินีราวีนี่สวมเดรสสีน้ำเงินซึ่งช่วยขับให้ผมบลอนด์ของนางดูเด่นสง่ามากยิ่งขึ้น

สมกับที่ชื่นชอบในการเป็นจุดสนใจของแวดวงสังคมเสียจริง นางไม่ได้มางานเลี้ยงพร้อมองค์จักรพรรดิ แต่กลับมาถึงงานเลี้ยงและกำลังดื่มด่ำอยู่กับมันก่อนแล้ว

ยิ่งพวกเราเดินเข้าไปใกล้จักรพรรดินีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวมันตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว

ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลอมบาร์เดียกับอังเกนัสนั้นไม่ดีเอาเสียเลย

หลังจากที่ท่านปู่เปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ให้การคุ้มครองเฟเรส ข่าวนี้ก็กลายเป็นที่ฮือฮาในสังคมอยู่พักใหญ่ทีเดียว

หากเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกับจักรพรรดินีจากตระกูลอังเกนัสเกิดปะทะกันในงานเลี้ยงที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกัน จะเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนต่างก็ได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ก็พลันเกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจ

“ตัวหลักงานเลี้ยงในวันนี้มาถึงแล้วเหรอคะ”

เพราะจักรพรรดินีเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาพวกเราด้วยรอยยิ้มงดงามไร้การคุกคามก่อน

ผู้คนที่เฝ้ารอดูสงครามน้ำลายระหว่างสองตระกูล ต่างก็ได้แต่เบิกตากว้างอ้าปากค้าง

แต่ดูเหมือนว่าท่านปู่เองก็จะคาดเดาเอาไว้แล้วว่าราวีนี่จะต้องออกตัวเช่นนี้ ท่านจึงกล่าวทักทายกลับไปในขณะที่ส่งยิ้มใจบุญ

“ขอบพระทัยที่ทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่และงดงามเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”

“ท่านชายแคลอฮันจากตระกูลลอมบาร์เดียได้รับเหรียญยกย่องจากฝ่าบาท ก็ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ระดับนี้สิคะ ไม่ใช่หรือคะ?”

หากมองจากภายนอกแล้ว ช่างดูเหมือนเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ดีงามต่อกันเหลือเกิน

“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”

ท่านพ่อเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน

ครั้งสุดท้ายที่ท่านพ่อกับจักรพรรดินีพบหน้ากัน สถานการณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

จักรพรรดินีใช้เหล่าอัศวินฝ่าฝืนสัญญาระหว่างราชวงศ์กับลอมบาร์เดีย ทั้งยังจงใจหมิ่นเกียรติของท่านพ่อ ส่วนท่านพ่อเองก็ท้วงติงพฤติกรรมของจักรพรรดินีต่อองค์จักรพรรดิอย่างไม่ไว้หน้าแต่ภาพลักษณ์ของจักรพรรดินีที่รับคำทักทายของท่านพ่อด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานนั้น กลับไม่สามารถรู้สึกได้ถึงแผนร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว

จักรพรรดินีหันมามองเธอที่กล่าวทักทายอยู่ข้างกายท่านพ่อ

“ระหว่างที่ไม่ได้พบกันเติบโตมากขนาดนี้เชียว ฟีเรนเทีย สงสัยอีกไม่กี่ปีหากเติบใหญ่แวดวงสังคมคงจะอยู่ไม่เป็นสุขเลยเพราะคุณหนูตระกูลลอมบาร์เดียผู้งดงามคนนี้แน่”

ราวีนี่กล่าวเช่นนั้นก่อนจะเอ่ยถามท่านปู่

“เห็นว่าบุตรหลานตระกูลลอมบาร์เดียแต่ไหนแต่ไรก็มักจะกำหนดคู่ครองไวกว่าตระกูลอื่นใช่มั้ยคะ แล้วฟีเรนเทียเป็นยังไงบ้างล่ะคะ”

ชั่วขณะนัยน์ตาของท่านปู่ที่ยิ้มอยู่นั้นกลับเย็นชาขึ้นมา

ความคิดเห็นของจักรพรรดินีเมื่อครู่ มันเป็นการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ตั้งใจจะใช้คนดูรอบข้างช่วยกระจายข่าวออกไป

ราวกับจักรพรรดินีตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นว่า พระองค์ให้ความสนใจเธอในฐานะคู่ครองของอาสทาน่า

“…เรื่องนั้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องสมัยเก่าเท่านั้น หลายชายหลานสาวของกระหม่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้งนี้ใบหน้าของจักรพรรดินีกลับกระตุกเกร็งนิ่งไป

ได้ยินอีกฝ่ายพูดชัดถ้อยชัดคำต่อหน้าต่อตาว่า ‘ข้าไม่ต้องการบุตรชายของเจ้า’ ก็สมควรที่จะทำหน้าแบบนั้นอยู่หรอก

ฟีเรนเทียเกือบหลุดหัวเราะเสียงดังคิกๆ ออกไป แต่บทสนทนาดั่งคมดาบที่มองไม่เห็นก็จบลงเท่านั้นเพราะองค์จักรพรรดิเสด็จมาถึงโถงงานเลี้ยงพอดี

ดนตรีบรรเลงหยุดลง ผู้คนที่กำลังเต้นรำ ผู้คนที่กำลังสนทนากัน ทุกคนต่างก็ต้องก้มศีรษะคำนับต่อหน้าองค์จักรพรรดิ

แต่ข้างในโถงงานเลี้ยงที่เงียบสนิทราวกับหนูตาย เพียงไม่นานก็เริ่มเกิดเสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่

จักรพรรดิโยบาเนสไม่ได้เสด็จมาเพียงพระองค์เดียว

พระองค์เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มผมสีดำหน้าตางดงามคนหนึ่ง

ร่างกายสมส่วน สวมใส่ชุดหรูหราดูโดดเด่นใบหน้าเย่อหยิ่งไร้อารมณ์หลุบสายตามองทุกคนเหมือนสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ช่างมีเสน่ห์เหลือล้นจนทำให้ไม่อาจละสายตาออกไปจากเขาได้ง่ายๆ

เพียงไม่นานทุกคนก็สามารถสรุปตัวตนของเด็กหนุ่มคนนี้ออกมาได้

“อ๊ะ…ดะ…เด็กคนนั้น หรือว่า”

“เจ้าชายลำดับที่สองอย่างนั้นหรือ”