ตอนที่ 112 หัวหน้าแทบสติหลุด ไม่คิดเลยว่าเธอเป็นเด็กมัธยมปลาย

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ในมือถือของฉินหร่านมีไม่มาก และหมายเลขโทรศัพท์ของแพทย์ประจำตัวของเฉินซูหลานก็ถูกบันทึกไว้ที่บนสุดเลย

 

 

หลังจากได้รับสายจากหมายเลขโทรศัพท์นี้ เธอถึงกับทำอะไรไม่ถูก สมองตื้อไปหมด และเดินออกจากห้องเรียนไปโดยไม่ทันได้พูดอะไร

 

 

เธอวิ่งฝ่าฝนมา ร่างกายเปียกปอนไปหมด น้ำฝนที่เปียกบนหัวค่อยๆ ไหลลงมาตามใบหน้า

 

 

“ยา… ตอนนี้สิ่งที่ขาดคือยา” แพทย์ประจำตัวเดินถอยออกไปหนึ่งก้าว ก่อนหยุดนิ่งแล้วพูดว่า “ทีแรกพวกเราคิดว่าจะสามารถใช้ยาตัวอื่นมารักษาแทนได้ แต่เมื่อกี้ที่คุณยายของเธอหัวใจวาย ทำให้เรารู้ว่าร่างกายของคุณยายไม่ตอบสนองต่อยาชนิดอื่น”

 

 

เพราะครอบครัวหลินให้เงินฉินหร่านไว้เยอะมาก

 

 

แพทย์ประจำตัวจึงใช้ยาที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองมาโดยตลอด ซึ่งเป็นยาที่ยังไม่ได้วิจัยออกมาและมีชื่ออย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ จะมีก็แต่สัญลักษณ์ทางการแพทย์ว่า cns

 

 

cnsเพิ่งขาดตลาดเมื่อวานนี้ เขาจึงเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าร่างกายของเฉินซูหลานจะดื้อยาตัวนี้

 

 

“ที่จิงเฉิงมียาที่ใช้รักษาคุณยายนะ แต่ต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่ายาจะมาถึง” หลินจิ่นเซวียนเม้มปากแล้วมองไปทางฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้น และพูดว่า “สามวัน…”

 

 

“เรายื้อไว้ให้ได้แค่ห้าชั่วโมงเท่านั้น ต้องหายามาให้ได้ภายในห้าชั่วโมงนี้ หรือไม่ก็ส่งตัวคุณเฉินไปที่โรงพยาบาลจิงเฉิง ที่นั่นมียานี้อยู่ แต่ระหว่างส่งตัวอาจมีการติดเชื้อเกิดขึ้นได้” ทีมแพทย์ที่ปรึกษากันอยู่ใกล้ๆ เดินมาบอกเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว

 

 

หนิงฉิงที่นั่งนิ่งอยู่หน้าประตูห้องปลอดเชื้อเพิ่งรวบรวมสติได้ “งั้นก็รีบทำเรื่องขอส่งตัวผู้ป่วยไปจิงเฉิงสิ!”

 

 

“ไม่ได้นะ!” ฉินหร่านที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมา เธอมองลงต่ำ และคัดค้านกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

 

 

ทุกคนที่อยู่ที่ทางเดิน ไม่ว่าจะเป็นหนิงฉิง หลินจิ่นเซวียน บุคลากรทางการแพทย์ และรวมถึงหนิงเวยต่างก็มองเธอด้วยความตกใจ

 

 

ฉินหร่านค่อยๆเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำที่ไม่เผยความรู้สึกใดๆออกมา และผมข้างที่เปียกไปด้วยน้ำฝนก็ติดอยู่ที่หน้า ใบหน้าสวยๆ ของเธอไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ แต่กลับดูเหมือนท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆฝนขนาดใหญ่ก่อกลุ่มอยู่

 

 

“คุณยายจะไปจิงเฉิงไม่ได้!”ฉินหร่านกวาดสายตามองไปยังบุคลากรทางการแพทย์และหนิงฉิง แล้วค่อยๆ พูดอย่างชัดเจนและหนักแน่นทีละคำ

 

 

หลินจิ่นเซวียนคิดไปคิดมา ก็เหมือนจะมีแค่วิธีนี้

 

 

แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่า ฉินหร่านจะปฏิเสธวิธีนี้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา

 

 

หนิงฉิงที่อึ้งอยู่มองไปที่ฉินหร่าน “พูดอะไรของเธอ ถ้าไม่ไปจิงเฉิง หรือเธออยากให้ยายเธอตายอยู่ที่อวิ๋นเฉิงล่ะ”

 

 

“เงียบไปเลย! คุณยายจะต้องไม่ตาย” ฉินหร่านหันหลังกลับมา แล้วหรี่ตาถามคุณหมอว่า “คุณหมอ ห้าชั่วโมงนี้ฝากคุณยายด้วยนะคะ”

 

 

ฉินหร่านที่ปกติดูไม่กลัวใครและไม่สนใจอะไรเลย ตอนนี้กลับใจเย็นลงมามาก ดวงตาคู่นั้นก็ดูฮึกเหิมมีพลัง

 

 

“แล้วหลังจากห้าชั่วโมงผ่านไป คนไข้จะเป็นยังไง…”หมอที่ถือประวัติคนไข้อยู่พูดขึ้นมาด้วยความโมโห

 

 

แต่กลับถูกแพทย์ประจำตัวพูดแทรกก่อน “เรายื้อไว้ให้ได้แค่ห้าชั่วโมงเท่านั้น หลังจากห้าชั่วโมงนั้นเราก็จะไม่สามารถช่วยอะไรได้”

 

 

ฉินหร่านล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋า ก่อนพูดด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า “ฉันรู้”

 

 

หนิงฉิงเดินเข้ามาแล้วพูดอย่างร้อนใจ “ไม่นะ คุณหมอ อย่าไปฟังเธอเลย เธอไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ เราไปจิงเฉิงกันเถอะ”

 

 

แพทย์ประจำตัวหยิบหนังสือยินยอมแล้วยื่นให้ฉินหร่านเซ็น

 

 

ฉินหร่านอ่านคร่าวๆ เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็เซ็นชื่อทันที

 

 

แพทย์ประจำตัวรับเอาหนังสือยินยอมกลับมา แล้วจึงมองไปที่หนิงฉิงด้วยความรู้สึกผิด “คุณนายหลิน ก่อนที่คุณเฉินจะหมดสติ เธอได้ให้ฉินหร่านเป็นคนที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เราจึงทำตามที่ฉินหร่านบอกเท่านั้น”

 

 

หลังจากที่แพทย์ประจำตัวรับหนังสือกลับมา ทุกคนก็เริ่มกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ก็คือการทำให้อาการของเฉินซูหลานเป็นปกติให้ได้มากที่สุด

 

 

“ฉินหร่าน เธอกำลังจะทำอะไรกันแน่” หนิงฉิงโมโหฉินหร่านจนแทบพูดไม่ออก “นั่นมันยายเธอนะ!”

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจเธอ แต่แตะ ๆ หนิงเวยที่เป็นกังวลอยู่ตอนนี้ “คุณน้า ทำใจให้สบายนะคะ คุณยายจะต้องไม่เป็นอะไรค่ะ”

 

 

หนิงเวยน่าจะเพิ่งเลิกงาน เพราะเธอยังสวมชุดทำงานอยู่ “เธอมั่นใจว่าจะไม่เป็นแน่นะ”

 

 

“วางใจได้เลยค่ะ” ฉินหร่านกดหาหมายเลขโทรศัพท์ของคนคนหนึ่งแล้วเดินไปที่หน้าลิฟต์

 

 

หมายเลขที่เธอโทรหาไม่มีคนรับสาย

 

 

ฉินหร่านเก็บมือถือกลับใส่ในกระเป๋า แล้วหยิบมือถือสีดำที่ทั้งหนาและหนักที่เธอเอามาจากหัวนอนออกมา เลื่อนแป้นพิมพ์ข้างออกมา จากนั้นก็มีจอกว้างประมาณสองฝ่ามือแสดงขึ้นมา

 

 

ถ้าผู้บัญชาการห่าวอยู่ด้วย จะต้องมองออกแน่ว่ามันเหมือนของช่างเทคนิคในทีมของผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เธอมองไปรอบๆ เพื่อหาที่ลับตาคน วางจอแสดงผลลง และมีแป้นพิมพ์เด้งขึ้นมาที่ตรงหน้าของจอแสดงผล

 

 

ฉินหร่านเสียบแฟลชไดรฟ์ที่พกติดตัวตลอดเข้าไป ก่อนกดพิมพ์บนแป้นพิมพ์อยู่พักนึง ก็มีวิดีโอหนึ่งเด้งออกมา

 

 

**

 

 

จิงเฉิง

 

 

ค่าย129

 

 

ฉางหนิงนั่งอยู่ในห้องประชุม กำลังคุยกับอีกสองคนเกี่ยวกับเรื่องการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นสมาชิกทั่วไปในล็อตต่อไป ซึ่งคนที่จะมาเป็นสมาชิกของค่าย 129 ต่อให้เป็นเพียงสมาชิกธรรมดาทั่วไปก็มีน้อยมาก เพราะในจิงเฉิงยังไม่ถูกยอมรับเท่าไหร่นัก

 

 

และสมาชิกวีไอพีของ 129 ก็มีแค่ไม่กี่คน และทุกคนก็ถูกเราคัดเลือกมาอย่างดีแล้ว

 

 

เมื่อมีหน้าต่างเว็บไซต์เด้งขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า ฉางหนิงก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตั้งสติได้ จึงเห็นว่าเป็นบัญชีลับของหมาป่าเดียวดาย เขากันสองคนนั้นออก ก่อนกดปุ่มสีเขียว

 

 

“มารับคำสั่ง…” เขาเอ่ยปากพร้อมยิ้มอย่างเริงร่า แต่ก็พบว่าหมาป่าเดียวดายส่งมาเป็นวิดีโอไม่ใช่ข้อความเสียง

 

 

ฉางหนิงในฐานะผู้ก่อตั้งหน่วยสืบสวน 129 เขาผ่านเรื่องราวความลับและเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ มามากมาย แต่กลับมาโมโห และเขาได้ทำปากกาตกลงบนโต๊ะ

 

 

เขามองที่จอแสดงผลอย่างไร้ซึ่งความสำรวม

 

 

ภาพที่เห็นคือใบหน้าของหญิงสาวที่ดูเด็กมาก พร้อมกับฉากฝนตกที่อยู่ด้านหลัง

 

 

นี่แทบจะเป็นการแสดงผลภาพที่เกือบชัดที่สุด เพราะเขาสามารถมองออกว่านัยน์ตาของเธอแฝงไปด้วยความโดดเดี่ยว ใบหน้าซีดขาว แต่หน้าตาที่ถูกฝนกระหน่ำกลับยังดูสวยงามเหมือนเดิม

 

 

ผู้หญิงคนนั้นยังสวมเสื้อคลุมโรงเรียนอยู่ และบนเสื้อก็มีคำว่า “เหิงชวนอีจง” ปักอยู่

 

 

“แม่เจ้า ห….หมาป่าเดียวดาย!” ฉางหนิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก

 

 

หมาป่าเดียวดายแค่ลงชื่อเป็นพิธีในคลับของหน่วยสืบสวน 129 ก็เท่านั้น จะว่าไปตอนแรกที่หมาป่าเดียวดายมาเข้าร่วมด้วยก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเหมือนกัน เมื่อเจ็ดปีก่อน หมาป่าเดียวดายเจอกับแฮ็กเกอร์หมวกดำ จึงพาสมาชิกใหม่ของ 129 ยกเลิกการเป็นสมาชิกไปด้วยสองคน

 

 

และไป ๆ มา ๆ ฉางหนิงก็ชวนหมาป่าเดียวดายมาเข้าร่วมด้วยอีก

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงหรอกว่า หมาป่าเดียวดายจะเป็นผู้หญิง แถมยังเด็กขนาดนี้อีกต่างหาก!

 

 

หลายปีมานี้ 129 ค่อนข้างมั่นคงแล้วพวกสมาชิกวีไอพีก็เริ่มเดากันว่าหมาป่าเดียวดายจะเป็นใคร เพราะคนที่เข้าร่วมหน่วยสืบสวนมาได้ตั้งเจ็ดปี แต่ยังไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้ได้รู้ ก็น่าจะมีแค่หมาป่าเดียวดายคนเดียวเท่านั้น

 

 

บางคนถึงขั้นจ้างแฮ็กเกอร์มาหลายคน แต่ก็ยังไม่เจอเบาะแสของหมาป่าเดียวดายเลย

 

 

พอมาคิดๆ ดูแล้ว จะหาเธอเจอได้อย่างไร!

 

 

ใครจะไปคิดว่า ตอนนี้หมาป่าเดียวดายจะยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายล่ะ!

 

 

“ฉันเอง” ครั้งนี้ฉินหร่านไม่ได้กดที่ดัดเสียง เธอเสียบหูฟังแล้วพูดต่อว่า “รู้จักยาชื่อ cns มั้ย ยายฉันต้องการใช้เดี๋ยวนี้”

 

 

“รอเดี๋ยวนะ” ฉางหนิงรวบรวมสติได้ก็นึกได้ว่าหมาป่าเดียวดายไม่ฟังใครเลยนอกจากคุณยายคนเดียว เขาย่อหน้าต่างลง แล้วค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับยาตัวนี้

 

 

ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เขาก็ได้คำตอบให้ฉินหร่าน “ตอนนี้ที่จิงเฉิงไม่มีแล้ว เพิ่งถูกส่งไปต่างประเทศเมื่อสองวันก่อน ประเทศเพื่อนบ้านน่ะ เหอเฉินอยู่ที่นั่นตอนนี้ ถ้าเธอบินรอบการบินที่เร็วที่สุดก็จะมาถึงประมาณเช้าตรู่”

 

 

กลับประเทศทีก็ต้องใช้เวลาทำเรื่องที่ศุลกากรไม่น้อย

 

 

เวลาเช้าตรู่…

 

 

ฉินหร่านเหมือนคิดอะไรออก “ขอหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของเหอเฉินที”

 

 

ฉางหนิงเห็นว่าฉินหร่านมีเรื่องด่วน จึงไม่ได้ถามให้มากความ ก่อนส่งหมายเลขติดต่อให้กับฉินหร่าน

 

 

**

 

 

จะทำอย่างไรให้ส่งคนกลับประเทศได้อย่างรวดเร็ว ฉินหร่านค่อยๆ นึกหน้าคนที่พอจะช่วยได้

 

 

สุดท้าย ใบหน้าของคนคนหนึ่งก็ลอยชัดขึ้นมา

 

 

เธอหยิบมือถืออีกเครื่องออกมา แล้วกดโทรหาหมายเลขนั้น

 

 

ณ โรงเรียน

 

 

ห้องพยาบาลโรงเรียน

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งเอาหลังพิงเก้าอี้ และข้างหน้าก็มีหุ่นโครงมนุษย์ตั้งอยู่ บนตัวเขามีผ้าห่มอยู่ และพอเสียงโทรศัพท์ขึ้น เขาก็เอาผ้าห่มออก แล้วหยิบมือถือออกมา

 

 

“มีอะไรหรือเปล่า?” พอเห็นว่ามีสายเข้ามา เขาก็รีบนั่งตัวตรง

 

 

ฉินหร่านเก็บมือถืออันหนักลง แล้วมองไปออกไปในกลางสายฝน ก่อนพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งว่า “นายสามารถรับคนจากต่างประเทศกลับประเทศภายในเวลาอันสั้นได้มั้ย?”

 

 

“สนามบินไหน?” เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้นยืน เขาโยนผ้าห่มสีดำไปที่โซฟา สีหน้านิ่งลึก ดวงตากลมดำ

 

 

เสียงของฉินหร่านดูสุขุมกว่าทุกที และเธอก็ตอบคำถามในไม่ช้า

 

 

“ส่งข้อมูลของเขาให้ฉัน จะกลับมาได้ภายในสามชั่วโมง” เฉิงเจวี้ยนหรี่สายตาลง

 

 

หลังจากที่วางสายไป เขาก็โทรอีกสายหนึ่งต่อ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเห็นว่าเฉิงเจวี้ยนกำลังจะออกไป จึงตะโกนบอกว่า “คุณชายเจวี้ยน ร่ม ร่ม!”

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้หยุด

 

 

เฉิงมู่รีบคว้าร่มอย่างว่องไวและวิ่งตามออกไป

 

 

ลู้จ้าวอิ่งไม่เคยเห็นเฉิงเจวี้ยนเป็นแบบนี้มาก่อน แต่เขาทำแบบเฉิงมู่ไม่ได้ เพราะต้องเข้าเวรที่ห้องพยาบาลโรงเรียนแทนเฉิงเจวี้ยน

 

 

**

 

 

ท้องฟ้ายังคงมืดมัว

 

 

เมฆดำก้อนใหญ่ ทำให้คนรู้สึกกลัวจนหายใจไม่ออก

 

 

สามชั่วโมงต่อมา

 

 

ณ สนามบินอวิ๋นเฉิง หญิงสาวในวัยประมาณ 26 ปี สวมกระโปรงยาวลายดอกไม้เดินลงเครื่องบินมา และเดินตรงไปขึ้นแฮลิคอปเตอร์อีกลำทันที

 

 

สิบนาทีผ่านไป แฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอดที่ชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาลอวิ๋นเฉิง

 

 

บนดาดฟ้า เฉิงเจวี้ยนกางร่มรออยู่ ฉินหร่านก็ยืนอยู่ข้างๆ ภายใต้ฝนกระหน่ำ เริ่มมีหมอกลอยขึ้นมา ทำให้มองเห็นหญิงสาวได้ไม่ชัดนัก

 

 

เหอเฉินลงจากแฮลิคอปเตอร์

 

 

เดินไปหาหญิงสาวเพียงคนเดียวที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าในตอนนี้ ก่อนพูดออกมาว่า “แม่เอ๊ย นี่เธอเป็นเด็กมัธยมปลายจริงๆ สินะ!”