ตอนที่ 113 บิ๊กบอสทำเพื่อเป้าหมาย โผล่หน้ามากะทันหัน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เหอเฉินยังคงถือไมค์ภาคสนามคามือ เดินอ้อมฉินหร่านไป มองใบหน้าที่อ่อนเยาว์เกินเหตุของเธอด้วยความเหลือเชื่อ!

 

 

“…เธอเป็นตัวปลอมหรือเปล่า!”

 

 

สองมือของฉินหร่านกระชับเสื้อกันหนาวสีดำ ข้างในยังเป็นยูนิฟอร์มตัวนั้นที่ตัวหนังสือ ‘เหิงชวนอีจง’ ด้านบนชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

 

เหอเฉินยื่นมือออกไปจะบีบหน้าฉินหร่าน

 

 

มือยังไม่ทันได้แตะหน้าฉินหร่าน ก็ถูกเฉิงเจวี้ยนขัดจังหวะ เขาเชยตาขึ้นมอง “จะทำอะไรน่ะ”

 

 

น้ำเสียงสุภาพมากทีเดียว

 

 

เหอเฉินสังเกตเห็นเขา เพียงแต่ยังไม่พูดอะไร ฉินหร่านก็คว้าข้อมือเขาไว้ “ได้ยามาหรือยัง”

 

 

“อยู่นี่ อย่าใจร้อนสิ” เหอเฉินมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง นิ่งครู่หนึ่งแล้วหันไปมองฉินหร่าน โดยปกติถ้าอยู่ต่อหน้าผู้มีอิทธิพลต้องพยายามรักษารอยยิ้มสุดความสามารถ

 

 

แต่เฉิงเจวี้ยนกลับหรี่ตามองเหอเฉิน

 

 

 

 

ณ โรงพยาบาล นอกทางเดินห้องปลอดเชื้อ

 

 

หนิงฉิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างนอก หนิงเวยเดินไปเดินมา

 

 

รออยู่สามชั่วโมงกว่า หลินจิ่นเซวียนเพิ่งกลับบ้านไปปรึกษาเรื่องย้ายโรงพยาบาลไปที่จิงเฉิงกับหลินฉี

 

 

แพทย์หลายคนกำลังกระซิบกระซาบหารือกันอยู่

 

 

“คุณฉินยังไม่กลับมาเหรอครับ” แพทย์เจ้าของไข้มองตัวเลขที่บันทึกในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ไม่รู้ว่ามาถามหนิงฉิงกับหนิงเวยกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

 

 

หนิงเวยมองลิฟต์ที่ไร้การเคลื่อนไหว ตอนนี้นางกังวลจนพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว ในหัวว่างเปล่า

 

 

ไม่ว่าจะเป็นยากลุ่ม cns หรือย้ายโรงพยาบาลให้เฉินซูหลาน เรื่องแบบนี้ หนิงเวยช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด

 

 

“คุณหมอ คุณเตรียมตัวเลย” ในหัวหนิงฉิงตื้อไปหมด เพราะตั้งแต่ฉินหร่านออกไปแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ลำคอเธอแห้งผาก เนื้อตัวชุ่มเหงื่อ “เตรียมตัวย้ายโรงพยาบาลทันที…”

 

 

เธอเพิ่งพูดจบ จู่ๆ ลิฟต์ตรงสุดทางเดินก็หยุดลงท่ามกลางลิฟต์เหล่านี้

 

 

ฉินหร่านเดินนำออกมาก่อน ผมของเธอไม่เปียกขนาดนั้นแล้ว มีแค่บางที่ที่พันกัน รูปร่างผอมบางอยู่แล้วแต่เพราะมีเสื้อสูทคลุมทับเสื้อกันหนาว ทำให้เธอดูบอบบางยิ่งกว่าเดิม

 

 

“นี่ใช่ยาที่พวกคุณต้องการหรือเปล่า” ฉินหร่านเดินตรงไปทางแพทย์ ยื่นหลอดทดลองอันหนึ่งให้แพทย์เจ้าของไข้

 

 

แพทย์เจ้าของไข้รับมา มันเป็นเม็ดสีขาวเต็มหลอด

 

 

เหมือนที่พวกเขาใช้ก่อนหน้านี้

 

 

เขามองฉินหร่านอย่างตกใจแวบหนึ่ง ไม่คิดว่าเธอจะได้ยามาในเวลาอันสั้นแบบนี้!

 

 

“อันนี้แหละครับ” แพทย์เจ้าของไข้ถือหลอดทดลอง พาแพทย์คนอื่นๆ เดินไปทางห้องปลอดเชื้อทันที

 

 

กลุ่มแพทย์กรูกันเข้าไป

 

 

หนิงฉิงกับหนิงเวยมองห้องผู้ป่วยอย่างวิตกกังวล

 

 

ใบหน้าของเหอเฉินมีรอยยิ้ม สองมือกอดอกยืนอยู่อีกทาง ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องห่วง ยานี่ไม่มีปัญหาแน่นอน”

 

 

“หรานหร่าน ยายแกจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ปลายนิ้วของหนิงเวยเย็นเยียบ เธอหันไปมองฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ได้ยามาแล้ว”

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูของห้องปลอดเชื้อเปิดออก พยาบาลคนหนึ่งออกมาบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว

 

 

ในที่สุดพวกเขาก็สบายใจได้สักที

 

 

หนิงฉิงกับหนิงเวยสังเกตเห็นฉินหร่านมาพร้อมกับพวกเหอเฉินกับเฉิงเจวี้ยน

 

 

เหอเฉินสวมเดรสลายดอกไม้ ใบหน้าสวยงาม ในมือยังถืออุปกรณ์สัมภาษณ์อยู่ มีเป้สีดำสะพายอยู่ข้างหลัง ดูเข้ากับคนได้ง่ายไม่หยอก

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่หลังฉินหร่านนิดหน่อย เขาก้มหน้าน้อยๆ นิ้วเรียวสวยกำมือถือไว้ สีหน้าสงบและเฉยชา ทั้งที่ไม่มีความไม่แยแสใครอย่างฉินหร่าน แต่กลับให้ความรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้อย่างชอบกล

 

 

สองคนนี้ดูไม่ค่อยธรรมดาทั้งคู่

 

 

หลังจิตใจของหนิงเวยสงบลงแล้ว ก็เขยิบไปอยู่หน้าฉินหร่าน กระซิบถามว่า “คนพวกนี้เป็นใคร”

 

 

“เพื่อนหนูทั้งนั้น สบายใจได้” ฉินหร่านไม่พูดอะไรมาก ปลอบใจหนิงเวยคำหนึ่งแล้วเดินไปทางเหอเฉิน

 

 

“ครั้งนี้รบกวนหลังเธอกลับประเทศไปก่อน” ฉินหร่านผ่อนคลายลง หันหน้ามองเหอเฉิน “ทางนั้นน่าจะมีธุระเรื่องอื่นอีกสินะ”

 

 

“ก็แค่ทำข่าวภาคสนาม” เหอเฉินมองฉินหร่าน มองแล้วมองอีกแล้วยิ้ม “ยายเธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นฉันซื้อตั๋วเครื่องบินกลับก่อนนะ”

 

 

“ฉันจะออกไปส่งเธอ” ฉินหร่านพยักหน้า

 

 

เหอเฉินขยับสายสะพายของเป้บนหัวไหล่ หันหลังเดินไปทางบันได ก่อนไปได้หยิกแก้มฉินหร่านสักที โบกมือโดยที่ไม่หันกลับมา “ไม่ต้องหรอก บอสบอกว่าเธอดูแลยายเธอก่อนเถอะ มีอะไรก็โทรหาฉัน”

 

 

สมาชิกคนสำคัญของหน่วยสืบสวน 129 มีไม่ถึงสิบคน ทำงานร่วมกันมาเจ็ดปี ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกแต่ละคนไม่ปกติ แต่ทำไมพอเจอกันถึงไม่กระอักกระอ่วนเลยแม้แต่นิด

 

 

ไม่มีคำสุภาพมากมายปานนั้น

 

 

อายุของคนอื่นๆ ก็กระจุกตัวอยู่ที่ราวๆ สามสิบ โดยเฉพาะฉางหนิง อายุสี่สิบ เป็นพ่อของฉินหร่านได้แล้ว

 

 

อายุของฉินหร่านน้อยกว่าคนพวกนี้หนึ่งรอบ คนพวกนี้หลังตกใจแล้ว ต่างก็คำนึงถึงเธอทุกเรื่องอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มือถือของเหอเฉินมีสายเรียกเข้าจากฉางหนิงหลายสาย แทบจะทุกๆ ห้านาที ล้วนแต่ถามถึงสถานการณ์ของฉินหร่าน

 

 

อย่างกับเป็นแม่

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเฉิงมู่แวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เฉิงมู่ส่งเหอเฉินไปสนามบิน

 

 

 

 

บนรถที่กำลังส่งเหอเฉินไปสนามบิน เฉิงมู่ไม่รู้ความเป็นมาของเหตุการณ์ รู้แค่ว่าเฉิงเจวี้ยนทำการใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้นให้เหอเฉิงเข้าเมืองอวิ๋นเฉิงมาทางชายแดน

 

 

“คุณเหอ คุณรู้จักคุณฉินหร่านได้ยังไง” สองคนที่ดูไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด คนหนึ่งเป็นนักข่าวภาคสนาม เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูราคาถูก เฉิงมู่เห็นด้ายบนหัวไหล่ของเหอเฉินด้วย

 

 

อีกคนเป็นนักเรียนมัธยมปลายของเมืองอวิ๋นเฉิง ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือฐานะแล้ว เป็นคนที่ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้เลย

 

 

ตอนที่เหอเฉินอยู่กับฉินหร่านทั้งอ่อนโยนและอัธยาศัยดี เวลาคุยกับเฉิงมู่ กลับดูเย็นชาฝืนใจทีเดียว “เพื่อนทางอินเทอร์เน็ต ไปสัมภาษณ์รายการทีวีต่างประเทศ ช่วยหิ้วของให้เสี่ยวหรานหร่าน”

 

 

เฉิงมู่ไม่พูดอะไรอีก อ่อ นักข่าวพ่วงรับหิ้วนี่เอง

 

 

พอถึงสนามบิน เฉิงมู่จอดรถ มองเหอเฉินสะพายเป้สีดำใบนั้นจากไป

 

 

เป้ใบนั้นดูคุ้นตาอยู่มาก

 

 

เฉิงมู่ครุ่นคิดอยู่นาน กว่าจะคิดออกว่าเขาเคยเห็นฉินหร่านสะพายครั้งหนึ่ง

 

 

เขาจ้องภาพด้านหลังของเหอเฉิน หรี่ตามองอยู่นานสองนาน รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่กลับพูดไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ

 

 

ฉินหร่านมีเพื่อนทุกประเภท ผู้บัญชาการเฉียน เฟิงโหลวเฉิง เฟิงโหลวหลาน แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลโด่งดังในวงการนั้น

 

 

ตอนนี้มีแม้แต่นักข่าวด้วยซ้ำ

 

 

เพื่อนพวกนี้ต่างก็แปลกพิลึก

 

 

นักเรียนมัธยมปลายอย่างเธอ รู้จักเพื่อนมากมายแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

มือถือในกระเป๋าดังขึ้น เฉิงเจวี้ยนโทรมา เฉิงมู่รับสายแล้วรีบบึ่งรถกลับไปทันที ไม่คิดเรื่องเหอเฉินอีก

 

 

 

 

สนามบิน เหอเฉินหยิบมือถือ กดหมายเลขโทรศัพท์ของฉางหนิง

 

 

เธอสวมหูฟัง เปลี่ยนบอร์ดดิงพาสพลางคุยกับฉางหนิงว่า “บอส เจอตัวจริงของหมาป่าเดียวดายแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นบ้าไปแล้ว”

 

 

หมาป่าเดียวดายเหรอ หมาป่าที่โหดเ**้ยมและเดียวดาย เป็นชื่อที่แมนและบ้าบิ่นจะตายไป!

 

 

ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่พอ อายุไม่ครบยี่สิบด้วยซ้ำ!

 

 

หากว่าคนอื่นรู้เข้าต้องฮือฮาแน่นอน!

 

 

พอฉางหนิงรู้ว่ายาถูกส่งไปอย่างปลอดภัยแล้วก็โล่งอก นั่งไขว่ห้างดื่มกาแฟ “เรื่องนี้น่าแปลกนิดหน่อย จู่ๆ ยาในประเทศก็ถูกส่งไปถึงชายแดน ฉันสงสัยว่ามีคนเพ่งเล็งยายของหมาป่าเดียวดาย”

 

 

“ใครจะว่างมาเพ่งเล็งหญิงแก่คนหนึ่ง” เหอเฉินเปลี่ยนบอร์ดดิงพาสเสร็จ ก็เตรียมจะไปซื้อโค้กเย็นๆ สักแก้วเพื่อทำให้ใจสงบลง

 

 

“มันก็ไม่แน่” ฉางหนิงสั่งการเรื่องนี้ไปแล้ว ด้วยความสามารถของ 129 ขอแค่เป็นแผนร้าย ไม่ว่าคนในซอกหลืบไหนเป็นคนลงมือ เขาก็สามารถขุดคุ้ยหาตัวออกมาได้

 

 

“โค้กหนึ่งแก้ว ขอบคุณค่ะ” เหอเฉินยื่นเงินให้แคชเชียร์สาว พลางกดที่หูฟังไปทีหนึ่ง “อ้อ ลืมไปเรื่องหนึ่ง คุณรู้ไหมว่าทำไมครั้งก่อนหมาป่าเดียวดายถึงยอมรับคำสั่งกะทันหัน”

 

 

“ว่ามา” ฉางหนิงก็แปลกใจเหมือนกัน

 

 

หมาป่าเดียวดายมีนิสัยรักสันโดษ เหมือนรหัสประจำตัวของเธอ หายตัวไปหนึ่งปีก็ไม่มีใครหาตัวเจอ

 

 

ครั้งก่อนจู่ๆ ก็โผล่มาก่อกวนเหตุการณ์หนึ่งจนชุลมุนวุ่นวาย

 

 

เหอเฉินหลังรับโค้กมาก็ดื่มไปคำใหญ่ หลังสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งแล้ว ก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ใส่ฉางหนิงอย่างไม่สะทกสะท้าน “เพราะเป้าหมายที่สั่งการ มีความสัมพันธ์กับเธอ”…

 

 

ที่โรงพยาบาล ฉินหร่านเข้าไปเยี่ยมเฉินซูหลานในห้องผู้ป่วยก่อน

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ตามเข้าไป แต่ไปหาแพทย์เจ้าของไข้เพียงลำพัง

 

 

เพราะเฉิงเจวี้ยนอยู่ข้างฉินหร่านตลอดเวลา แพทย์เจ้าของไข้เองก็รู้จักเขา จึงไม่มีเจตนาปิดบังอาการป่วยของเฉินซูหลาน

 

 

เฉิงเจวี้ยนเป็นหมออยู่แล้ว พอฟังคำบอกเล่าของเขาจบก็ตระหนักได้ว่าอาการของเฉินซูหลานไม่ดีจริงๆ

 

 

เพียงแต่ว่าเขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก หากอวัยวะร่างกายของเฉินซูหลานมีปัญหาเขาสามารถจัดการได้ แต่กฎธรรมชาติแบบนี้เขากลับพลิกสถานการณ์ไม่ได้เลย

 

 

เขารู้ว่าฉินหร่านวิ่งเต้นเข้าโรงพยาบาลตลอด ทั้งสองถึงขั้นเจอกันในโรงพยาบาลหลายครั้ง

 

 

แต่เฉิงเจวี้ยนไม่เคยสืบเรื่องของเธอ เพิ่งรู้อาการป่วยของเฉินซูหลานวันนี้เหมือนกัน

 

 

เมื่อก่อนไม่เคยถามละเอียด ตอนนี้เพิ่งรู้จากแพทย์เจ้าของคนไข้ว่ายาที่เฉินซูหลานขาดเป็นยาที่ห้องทดลองค้นคว้าและวิจัย

 

 

ยาแบบนี้แพงไม่ว่า โดยปกติแล้วน้อยนักที่จะเปิดเผยสู่สาธารณะ

 

 

นักข่าวคนนั้นหายาแบบนี้เจอนอกชายแดนได้อย่างไร

 

 

เฉิงเจวี้ยนล้วงบุหรี่ออกจากตลับแล้วคาบไว้ในปาก ไม่จุดมัน เพียงแค่ขบคิดอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นข้างนอก

 

 

ดึงเฉิงเจวี้ยนกลับมาจากภวังค์ความคิด

 

 

เขาหันหน้าเล็กน้อย ก็เห็นฉินหร่านยืนอยู่ข้างประตู มือของเธอจับแขนเสื้อ พูดเสียงเบาว่า “ยายฉันตื่นแล้ว อยากขอบคุณนายต่อหน้า”

 

 

เฉิงเจวี้ยนครางรับอืม เขาโยนบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดลงถังขยะ กล่าวขอบคุณหมอก่อน จากนั้นดันเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น

 

 

ผมของฉินหร่านยังแห้งไม่สนิท แต่เสื้อผ้าพอจะแห้งบ้างแล้ว สองมือของเธอยังคงกระชับเสื้อนอกตัวใหญ่ที่ยาวเกือบจะถึงเข่าเธอแล้ว

 

 

เธอเชิดหน้าเล็กน้อย ใบหน้ายังคงขาวซีดอยู่บ้าง

 

 

“หนาวไหม” เฉิงเจวี้ยนก้าวออกจากประตู ปลายนิ้วแตะแผ่นหลังของเธอ สัมผัสได้เพียงความเย็น

 

 

ฉินหร่านสูดจมูก ส่ายหน้า “ไม่หนาว”

 

 

วันนี้เธอตื่นตระหนกทั้งวัน เนื้อตัวอยู่ในสภาวะด้านชา กระทั่งเพิ่งจะผ่อนคลายลงเมื่อครู่นี้ แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นชุ่ม

 

 

เบี่ยงตัวออกแล้วพาเฉิงเจวี้ยนไปที่ห้องของเฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานเพิ่งฟื้น ดูเหมือนสภาพจะย่ำแย่กว่าที่ผ่านมา

 

 

“คราวนี้คุณเฉิงเจวี้ยนช่วยชีวิตฉันไว้สินะ” พอได้เห็นเฉิงเจวี้ยน เฉินซูหลานก็กระเสือกกระสนจะลุกขึ้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนห้ามไว้ จริงใจและสุภาพอย่างยิ่ง “เรื่องเล็กน้อยครับ”

 

 

หนิงฉิงออกไปโทรศัพท์หาหลินฉี

 

 

หนิงเวยรินน้ำร้อนแก้วหนึ่งให้เฉิงเจวี้ยน เธอสวมชุดทำงานหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่าอึดอัดนิดหน่อยตอนที่ยื่นน้ำให้เฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนกลับรับมาอย่างมีมารยาท แถมยังเอ่ยคำว่าขอบคุณ น้ำเสียงอ่อนโยน กิริยาอ่อนน้อม ไม่มีความห่างเหินเลยสักนิด ความรู้สึกอึดอัดของหนิงเวยมลายหายไป

 

 

ความรู้สึกดีที่มีต่อชายหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาเอาการตรงหน้าคนนี้พุ่งทะยาน

 

 

“รับไว้สิ” เฉิงเจวี้ยนคุยกับเฉินซูหลานไม่กี่ประโยคก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย ยื่นแก้วให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านพิงอยู่ข้างเตียง ส่ายหน้า “ฉันไม่ดื่ม”

 

 

“เอาไปถือไว้” เฉิงเจวี้ยนพูดเสียงเรียบ เดาอารมณ์ไม่ออก

 

 

“น่ารำคาญ” ฉินหร่านเชยคางขึ้น รับมาอย่างเชื่องช้า

 

 

อุณหภูมิบนมือค่อยๆ เพิ่มขึ้น

 

 

เฉินซูหลานนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย มองอย่างมีเลศนัย “หรานหร่าน หลานโดดเรียนมาใช่ไหม กลับไปเรียนก่อนเถอะ ตอนนี้ยายไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

เวลาประจวบเหมาะพอดีที่ทั้งคู่เพิ่งออกไป พ่อลูกสกุลหลินก็มาถึง

 

 

หนิงเวยรินน้ำให้เฉินซูหลานใหม่ รู้สึกว่ามีบางอย่างน่าแปลกมาก

 

 

เพียงแต่ยังไม่ได้คิดอะไรมาก หนิงฉิงก็พาหลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนเข้ามา พอเห็นเฉินซูหลาน เธอก็โถมตัวลงข้างเตียงด้วยความตื้นตันล้นปรี่ “คุณแม่ ฟื้นก็ดีแล้ว!”

 

 

เฉินซูหลานอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีอารมณ์มากนัก “ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

เธอมองหลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง “คราวนี้รบกวนพวกคุณแย่เลย”

 

 

หลินฉีทำหน้าจริงจัง “เรื่องเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคุณ อีกอย่างก็มีแค่หรานหร่านที่คอยเป็นธุระ พวกเราไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ”

 

 

เห็นท่าทางเฉินซูหลานดูจะอ่อนเพลียมาก หลินฉีกับลูกก็ไม่รบกวน อยู่ไม่กี่นาทีก็ออกจากห้องผู้ป่วย

 

 

ตอนที่ทั้งคู่ออกจากห้องผู้ป่วย หลินฉีก็ขมวดคิ้วขบคิดน้อยๆ “ยา cns เป็นแค่ยาทดลอง น่าจะได้มายากมาก เธอได้ยามาในเวลาอันสั้นได้ยังไง”

 

 

หลินจิ่นเซวียนส่ายหน้า เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ลังเลก่อนจะพูดว่า “ได้ยินย่าเฉินบอกว่า เป็นเพราะเพื่อนคนหนึ่งของหรานหร่านมีอยู่พอดี”

 

 

เมื่อก่อนยาชนิดนี้ไม่ถูกล็อกไว้ ขอแค่มีเงิน ก็สามารถซื้อได้

 

 

“งั้นเหรอ งั้นก็โชคดีมากเลย” หลินฉีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วอุทานขึ้นมา

 

 

คำตอบนี้สอดคล้องกับเหตุผล พวกเขาสองคนไม่เจอพิรุธใด

 

 

อีกอย่างในสายตาของพวกหลินฉี เฉินซูหลานก็เป็นหญิงชนบทตามแบบฉบับ ไม่มีทางพูดโกหก

 

 

ทั้งสองคนไม่สืบสาวอะไรอีก

 

 

พวกเขาไม่มีทางคิดได้เลยว่า ยาทดลองชนิดนี้เหอเฉินแย่งมาจากผู้มีอิทธิพลนอกชายแดนคนหนึ่ง จากนั้นก็มีเฉิงเจวี้ยนคอยเปิดทางให้ตลอดทางตั้งแต่นอกชายแดนจนส่งมาถึงเมืองอวิ๋นเฉิง…

 

 

 

 

ขณะนั้นเอง บนรถสีดำประดับยี่ห้อโฟล์คสวาเกนที่จอดอยู่ในโรงเรียนอีจง

 

 

เฉิงมู่มองภาพของฉินหร่านที่เดินเข้าหอพักแล้วถอนหายใจ “เพื่อนของคุณหนูฉินจนกันหมดเลย”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเชยตาขึ้น เลิกคิ้ว พูดแทรกเขาว่า “ในมือนักข่าวคนนั้นเป็นยาทดลองของศูนย์วิจัยที่หนึ่งแห่งจิงเฉิง”