ตอนที่ 114 บิ๊กบอสจะตั้งใจเรียน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่ก็ไม่ถือว่าสั้นมากนัก

 

 

เฉิงเจวี้ยนรู้ว่าหากฉินหร่านไม่มีเรื่องเร่งด่วน สายนี้ไม่มีทางโทรถึงเขาแน่

 

 

เขาไม่ได้ถามหาเหตุผล ใช้เส้นสายพาเหอเฉินข้ามชายแดนมา เพิ่งมารู้จากแพทย์เจ้าของไข้เหมือนกันว่าเหอเฉินนำยาอะไรกลับมา

 

 

เขาเคยตรวจสอบหลอดทดลองนั่นอย่างละเอียดแล้ว จำได้ว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์วิจัย

 

 

เฉิงมู่ที่คิดว่าเหอเฉินเป็นแค่คนรับหิ้ว “…”

 

 

“ยาทดลองของศูนย์วิจัยแทบจะไม่มีอันไหนที่ราคาถูกเลย หนึ่งเข็มไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้าน” มือของเฉิงเจวี้ยนวางอยู่ข้างปาก กระแอมเสียงเบา พูดเสียงราบเรียบ

 

 

เขาคลุกคลีกับศูนย์วิจัยแห่งนี้หลายครั้ง ย่อมรู้ราคาดี

 

 

ใบหน้าของเฉิงมู่ตื้อไปหมด คิดไม่ออกเลยว่า เหอเฉินที่มียาราคาสูงขนาดนี้ ทำไมใส่เดรสสักตัว ถึงเป็นตัวที่ด้ายบนหัวไหล่หลุดลุ่ยขนาดนั้น

 

 

“แล้วเธอเอาหลอดทดลองมาทั้งแท่งได้ยังไง” เฉิงมู่เห็นแผ่นหลังของฉินหร่านหายลับไปในประตูลิฟต์ ก็สตาร์ทรถมุ่งหน้าไปทางห้องพยาบาลของโรงเรียน

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ขยับ ยังคงพิงประตูรถ กดเสียงต่ำ “ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

อันที่จริงแล้วสาวโสดอย่างเหอเฉินกล้าไปรายงานข่าวตามแนวหน้า ซ้ำยังไปไหนมาไหนอย่างอิสระ จุดนี้ก็พอจะยืนยันได้แล้วว่าเธอน่าจะไม่ใช่นักข่าวธรรมดา

 

 

ฉินหร่านรู้จักผู้บัญชาการเฉียน เฟิงโหลวเฉิง ยังมีเบาะแสให้สืบหา

 

 

จะมีก็แต่เหอเฉินคนเดียว ตัวตนของคนคนนี้อาจจะไม่ชอบกลอย่างยิ่ง แค่คิดว่าฉินหร่านรู้จักเธอ เฉิงเจวี้ยนก็เผลอขมวดคิ้วแล้ว

 

 

“นักข่าวคนนั้นบอกว่า เธอกับคุณหนูฉินเป็นเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต” เฉิงมู่ขับรถไปจอดข้างห้องพยาบาล “เมื่อก่อนคุณหนูฉินเคยช่วยเธอในอินเทอร์เน็ต ผมคิดว่าทักษะไอทีของคุณหนูฉินพอใช้ได้ น่าจะเคยให้ความช่วยเหลือทางด้านนี้กับนักข่าวคนนั้น เธอก็เลยรีบมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง”

 

 

สมเหตุสมผล น่าเชื่อถือ

 

 

ตัวเฉิงมู่เองปักใจเชื่อไปแล้ว

 

 

เพราะเขาไม่มีทางคาดคิดเลยว่าวันนี้จะได้เห็นบุคคลระดับผู้อาวุโสของหน่วยสืบสวน 129 ถึงสองคนในวันเดียว แถมสองคนนี้ยังเป็นสมาชิกคนสำคัญเสียด้วย

 

 

เฉิงเจวี้ยนช้อนตามองเฉิงมู่แวบหนึ่ง นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอยู่เวรที่ห้องพยาบาลตลอด ระหว่างนี้ได้โทรถามสถานการณ์กับเฉิงมู่ พอรู้สถานการณ์คร่าวๆ บ้างแล้ว

 

 

ตอนนี้ไม่มีคนป่วย เขาเลยหยิบโน้ตบุ๊กออกมากำลังดูข้อมูลบนหน้าจอ พอเห็นสองคนกลับมาก็อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ ระริกระรี้อย่างมาก “ท่านเจวี้ยน นายรู้ไหมว่าฉันกำลังดูอะไรอยู่”

 

 

เฉิงเจวี้ยนรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ยืนพิงข้างโต๊ะ ก้มหน้ากำลังดื่มน้ำช้าๆ ไม่สนใจเขา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหมดสนุก แต่ก็ยังลูบจมูกป้อยๆ “หน่วย 129 เริ่มรับสมัครสมาชิกใหม่แล้ว คิดว่าครั้งนี้จะรับแค่คนเดียว”

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังคิดเรื่องฉินหร่าน ตอนแรกไม่สนใจคำพูดของลู่จ้าวอิ่ง

 

 

แต่พอได้ยินประโยคสุดท้าย มือเขาก็นิ่งไปพักหนึ่ง หลับตาพริ้ม “รับสมัคร?”

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ถูกเลือก” ลู่จ้าวอิ่งหันโน้ตบุ๊กให้เฉิงเจวี้ยนดู “คนเดียวนี่แหละ คิดว่าคนในจิงเฉิงพวกนั้นคงจะแย่งกันแทบบ้า”

 

 

หน้าหลักของเว็บเพ็จ 129 เป็นสีดำที่ดูเย็นเยียบยิ่งนัก

 

 

129 จะรับสมัครสมาชิกใหม่ทุกปี รับแค่สมาชิกที่ธรรมดาที่สุด สัมผัสได้แค่ธรณีประตูของหน่วยสืบสวน 129 เท่านั้น

 

 

แต่แม้จะเป็นแบบนี้ พวกคนในจิงเฉิงก็ยังแย่งกันอย่างบ้าระห่ำอยู่ดี

 

 

“ต้องเป็นเทพธิดาของผมแน่!” เฉิงมู่ร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “เธอจะเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ด้วย ต้องถูก 129 เลือกแน่!”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งตั้งใจครุ่นคิด เขาลูบคาง มองไปทางเฉิงมู่ “ถ้าเป็นเธอล่ะก็ เป็นไปได้สูงมาก”

 

 

“ต้องเป็นเธอแน่นอน!” เฉิงมู่นึกถึงตรงนี้ สีหน้าก็อดตื่นเต้นไม่ได้ “คนของ 129 ลึกลับกันเหลือเกิน ไม่เคยเปิดเผยตัวเลย ถ้าเทพธิดาของผมกลายเป็นสมาชิก ผมอาจจะได้ข่าวจากแหล่งโดยตรง ไม่แน่ผมอาจจะได้ลายเซ็นของหมาป่าเดียวดายก็ได้! หรือเชิญสมาชิกของหน่วย 129 มาเข้าร่วมหน่วยสืบสวนของผู้บัญชาการห่าว!”

 

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก” เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเฉิงมู่แวบหนึ่ง พูดเสียงราบเรียบ จากนั้นก็เอียงตัวเปิดบานกระจก เข้าไปศึกษาหุ่นจำลองร่างมนุษย์ของเขา

 

 

 

 

ด้านนี้ ฉินหร่านกลับมาถึงห้องพักแล้ว

 

 

เธอถอดเสื้อนอกออกวางลงบนเตียง จากนั้นหยิบเสื้อผ้าสะอาดจะเข้าไปอาบน้ำ

 

 

ตอนที่วางเสื้อลงบนเตียง ก็เห็นกระถางบอนไซข้างเตียงเพิ่มมาอีกกระถางหนึ่ง

 

 

ครั้งนี้ด้านบนมีดอกไม้เล็กๆ สีแดง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ

 

 

ฝีเท้าของฉินหร่านชะงัก เธอยืนอยู่ข้างเตียง มองต้นบอนไซครู่หนึ่ง ยกมือไปแตะกลีบดอกไม้ จากนั้นก็ยิ้ม ถือผ้าเช็ดตัวหันหลังเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำอย่างเกียจคร้าน

 

 

อาบน้ำเสร็จก็เลยสี่โมงเย็นไปแล้ว ฉินหร่านคิดๆ แล้วก็ตรงไปเข้าเรียน

 

 

ตอนแรกเธอคิดว่าจะตรงเข้าห้องเรียนหลังจากกลับมา แต่เฉิงเจวี้ยนดึงดันจะให้เธอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่หอพักให้ได้

 

 

เธอโชคไม่ค่อยดี

 

 

ตอนที่ถึงห้องเรียน เป็นคาบรองสุดท้ายของช่วงบ่ายพอดี ยังไม่เลิกเรียน

 

 

คาบนี้เป็นคาบภาษาอังกฤษของอาจารย์หลี่อ้ายหรงอีกแล้ว

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ใส่ยูนิฟอร์ม ข้างในเป็นเสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อต เพราะเพิ่งอาบน้ำ ไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ต ผมเผ้าก็ไม่ทันได้หวี ยุ่งรุงรังมากทีเดียว

 

 

เธอยืนอยู่หน้าประตูห้อง ยกมืออย่างเอื่อยเฉื่อย พูดเสียงต่ำว่า “ขออนุญาตค่ะ”

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงสอนห้องเก้าทีไร รู้สึกฝืนใจตลอด

 

 

นักเรียนห้องเก้าก็ง่วงซึม ตอนนี้เพราะหางเสียงนี้สูงขึ้นเล็กน้อย เสียงเหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้สะดุ้งตื่น ต่างก็มองไปทางประตู

 

 

“ฉินหร่านกลับมาแล้ว” มีคนพูดด้วยความดีใจ

 

 

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันใด วุ่นวายกันทั้งห้อง

 

 

กลบเสียงของอาจารย์หลี่อ้ายหรงที่กำลังอธิบายบทเรียนทันที

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงโยนหนังสือลงบนแท่นเวทีดังปัง

 

 

เธอเหลืออดกับฉินหร่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉินอวี่ นักเรียนหัวกะทิของห้องเธอต้องพักการเรียนเพราะฉินหร่าน

 

 

เรื่องนี้อาจารย์หลี่อ้ายหรงก็โทษฉินหร่านอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ตอนนี้รอบข้างเสียงดังเอะอะโวยวาย อาจารย์หลี่อ้ายหรงเป็นเหมือนประทัดที่ถูกจุดระเบิด “ฉินหร่าน! เธออีกแล้ว ไปยืนอยู่หน้าห้องห้ามเข้ามาเด็ดขาด!”

 

 

เท้าของฉินหร่านหยุดชะงัก

 

 

ตอนที่เธอไปไม่ทันได้บอกกล่าวอาจารย์เกาหยาง พอเหอเฉินมาถึง เธอถึงได้โทรหาเกาหยาง

 

 

แต่กับอาจารย์หลี่อ้ายหรง เธอไม่ได้พูดอะไร ฝีเท้าหันขวับ เอียงออกไปข้างนอก มือล้วงกระเป๋า ไม่คิดจะเข้าไปเหมือนกัน ใบหน้ายังคงเท่เหมือนเดิม

 

 

“อาจารย์” แถวสุดท้ายของห้องเก้า เฉียวเซิงยกมือขึ้นพร้อมกับพูดเสียงเนิบนาบ “ฉินหร่านลาแล้ว เธอไม่ได้ทำความผิดกฎอะไรสักหน่อย ให้เธอไปยืนนอกห้องแบบนี้ไม่ดีหรอกมั้ง”

 

 

พอเขาเอ่ยปาก เหล่าลิ่วล้อที่คลุกคลีกับเขาเป็นปกติก็พากันปริปาก

 

 

ความนิยมในห้องเก้าของฉินหร่านไม่ได้สูงธรรมดา

 

 

พอเฉียวเซิงพูด คนอื่นก็พากันส่งเสียงเกรียวกราว “นั่นสิ อาจารย์ ฉินหร่านไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ให้เธอเข้ามาเถอะ วันนี้ข้างนอกลมแรง”

 

 

ห้องเก้ามีเด็กเส้นเยอะ นักเรียนที่อาจารย์คนอื่นไม่เอา คนอื่นไม่ชอบ จะถูกยัดให้อาจารย์เกาหยางทั้งหมด นอกจากสวีเหยากวงแล้ว ไม่มีนักเรียนดีเด่นอะไร

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงไม่เต็มใจเอาเสียเลยเวลาสอนห้องนี้ ความไม่พอใจสั่งสมทุกวันจนเกินขีดจำกัด ตอนนี้นักเรียนแต่ละคนไม่เชื่อฟังคำพูดของเธอ เธอเลยพูดถากถางว่า “ทำไม พวกเธอก็อยากออกไปยืนข้างนอกกับเธอหรือไง ยังไงซะพวกเธอแต่ละคนจะเรียนไม่เรียนก็เหมือนกันอยู่แล้ว”

 

 

เสียงเพิ่งหยุดลง

 

 

เสียงเอี๊ยดดังขึ้น…

 

 

เฉียวเซิงดันเก้าอี้ออกทันที เดินตรงดิ่งออกไปทางประตูหน้า

 

 

เขาไม่ได้พกหนังสือภาษาอังกฤษกับควิซมา มีแค่มือถือ

 

 

พอเขาริเริ่ม นักเรียนหลายคนข้างหลังที่ไม่พอใจอาจารย์หลี่อ้ายหรงนานแล้วก็พากันลุกขึ้น กรูกันออกไปนอกห้อง

 

 

นักเรียนที่ออกไปมีแต่กลุ่มคนเกเรที่นั่งอยู่ข้างหลัง

 

 

สายตาของอาจารย์หลี่อ้ายหรงเจือความเย้ยหยัน “คนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง คนที่ออกไปวันนี้ ตลอดทั้งปีการศึกษาไม่ต้องเข้ามาเรียนคาบของฉัน”

 

 

ตอนแรกนักเรียนคนอื่นก็ฟังดูไม่มีอะไร จนกระทั่งได้ยินประโยคนี้

 

 

หลินซือหรานมองอาจารย์หลี่อ้ายหรงแวบหนึ่ง วางหนังสือเรียนในมือลงแล้วลุกขึ้น “ขออนุญาตค่ะอาจารย์ หนูก็อยากออกไปเหมือนกัน!”

 

 

พูดจบก็เดินออกจากประตูหลักไปทันที

 

 

“ขออนุญาตค่ะ…”

 

 

“ขออนุญาตครับ…”

 

 

เสียงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

วันนี้ข้างนอกอึมครึมทั้งวัน ตอนแรกฉินหร่านฟุบอยู่บนระเบียงทางเดินด้วยความขี้เกียจ รูปร่างผอมบาง ดูเจริญหูเจริญตา ไม่ใส่ใจเรื่องนี้

 

 

ตอนนี้ยังคงนอนฟุบอยู่ มองคนออกมาคนแล้วคนเล่า

 

 

เธออดยื่นมือออกมาปิดตาไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ทอดถอนหายใจ

 

 

คนพวกนี้บ้าไปแล้วหรือไง

 

 

 

 

ถ้ามีแค่ฉินหร่านกับพวกเฉียวเซิงไม่กี่คน อาจจะไม่มีเรื่องอะไร แต่คนเกือบครึ่งกรูกันออกมาตรงทางเดิน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขได้ง่ายๆ แล้ว

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงไม่เคยชอบเด็กห้องเก้าเลย คราวนี้ก็เกิดโทสะขึ้นมาแล้ว “ได้ ห้องพวกเธอทั้งสามัคคีทั้งเก่งกาจ นักเรียนอย่างพวกเธอฉันก็ไม่มีปัญญาสอน ฉันว่าคงไม่ต้องให้ฉันมาสอนแล้วละ!”

 

 

เธอขว้างหนังสือทิ้ง เดินตรงลงตึกไปหาอาจารย์เกาหยางที่ห้องพักครู

 

 

ห้องเก้าวุ่นวายมากทีเดียว มีอาจารย์ห้องอื่นออกมาดูด้วยเหมือนกัน

 

 

อาจารย์เกาหยางรีบรุดมาอย่างไว เขาดันแว่นบนสันจมูก พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “อาจารย์หลี่ มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จา อย่าโมโหนักเรียนพวกนี้เลย ทำแบบนี้จะทำให้พวกเขาเสียอนาคต”

 

 

“อีกอย่าง ฉินหร่านออกไปเพราะคุณยายป่วยหนัก ตอนบ่ายก็บอกผมแล้ว เรื่องนี้เธอไม่ผิด”

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงเป็นคนทะเยอทะยาน เธอไม่ชอบนักเรียนส่วนใหญ่ของห้องเก้าจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่ฟังคำอธิบายของอาจารย์เกาหยางด้วย “อนาคตเหรอ นักเรียนแต่ละคนจะมีอนาคตสักกี่คนเชียว”

 

 

สายตาของเธอหยุดที่ฉินหร่านแล้วหัวเราะเยาะ “อาจารย์เกา คุณไม่ลองดูหน่อยว่าตอนนี้สถานการณ์ในห้องเป็นยังไง ยังจะห่วงเรื่องอนาคต”

 

 

“อาจารย์หลี่ อย่ามุทะลุ” อาจารย์หลี่อ้ายหรงเป็นอาจารย์ภาษาอังกฤษคุณภาพสูงของโรงเรียนอีจง พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ อาจารย์อีกสองคนที่ร่วมเหตุการณ์จึงปรามเธอ

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงทนฟังคนอื่นห้ามปรามไม่ได้ ต่อสายเรียกหัวหน้าฝ่ายวิชาการมาทันที

 

 

เธอไม่อยากสอนห้องเก้าอีกแล้ว

 

 

ที่จริงแล้วเธอบ่นตั้งแต่ตอนที่อาจารย์ใหญ่สวีให้เธอรับฉินหร่านแล้ว ตอนหลังเห็นอาจารย์เกาหยางรับไว้ เธอก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองก็สอนภาษาอังกฤษห้องอาจารย์เกาหยางเหมือนกัน

 

 

 

 

หัวหน้าฝ่ายวิชาการมาถึงอย่างรวดเร็ว

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงเป็นอาจารย์คนสำคัญของโรงเรียน ตอนนี้จะย้ายห้อง หัวหน้าฝ่ายวิชาการก็กังวลไม่น้อยเลย

 

 

อาจารย์ภาษาอังกฤษของอีจงมีน้อย โดยเฉพาะอาจารย์ภาษาอังกฤษที่สอนมัธยมปลายปีสาม โดยปกติแล้วต้องมีคุณสมบัติและประสบการณ์

 

 

มัธยมปลายปีสามมีทั้งหมดเก้าห้อง มีอาจารย์สิบคนที่สอนมอปลายปีสามได้

 

 

หัวหน้าฝ่ายวิชาการถามอาจารย์หลี่ที่สวมแว่นกรอบสีดำท่านหนึ่งก่อน

 

 

ความนิยมในโรงเรียนของฉินหร่านสูงกว่ากว่าสวีเหยากวงมากโข อาจารย์หลี่ท่านนี้เคยได้ยิน ความสามารถในการสอนของอาจารย์หลี่อ้ายหรงก็เป็นที่ประจักษ์แจ้ง

 

 

ห้องที่แม้แต่อาจารย์หลี่อ้ายหรงยังสอนไม่ได้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสอนได้

 

 

เขาไม่ใช่อาจารย์ที่ถูกประเมินว่าดีเด่น ไม่อยากได้อันดับสุดท้ายจากการประเมินตอนสิ้นปีหรอกนะ

 

 

หากเป็นห้องหนึ่ง คนอื่นต้องยื้อแย่งกันจะไปสอนแน่นอน

 

 

“อาจารย์เกา ต้องขอโทษด้วย ตอนนี้ผมก็สอนตั้งสองห้องแล้ว” อาจารย์หลี่มองอาจารย์เกาหยางอย่างรู้สึกผิด

 

 

อาจารย์เกาหยางไปหาอาจารย์ภาษาอังกฤษอีกหลายคน แทบจะไม่มีใครตอบตกลงเลย

 

 

สุดท้ายมีแค่อาจารย์เฉินท่านหนึ่งที่ตกลง

 

 

อาจารย์เฉินท่านนี้อายุน้อยกว่าหลี่อ้ายหรงเสียอีก เพิ่งยี่สิบแปดปี

 

 

อาจารย์คนอื่นมองอาจารย์เฉินแวบหนึ่ง ไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจกลับอดหัวเราะไม่ได้ อาจารย์เฉินคนนี้ สุดท้ายก็อายุน้อยเกินไปอยู่ดี

 

 

หลี่อ้ายหรงทิ้งภาระอย่างห้องเก้าทิ้งแล้ว รู้สึกเบาไปทั้งตัว

 

 

เพียงแต่ว่าตอนที่นึกถึงปฏิกิริยาสุดท้ายของฉินหร่าน เธอก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกว่าตัวเองมองข้ามอะไรบางอย่างไป

 

 

แต่ไม่นาน เธอก็ปฏิเสธความคิดนี้

 

 

ตอนนี้เธอเห็นเอกสารของฉินหร่านอย่างชัดเจน พักการเรียนหนึ่งปี ไม่รู้ว่าจำความรู้เมื่อก่อนได้มากแค่ไหน

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน ผลการเรียนของเธอก็ย่ำแย่สุดขีดเหมือนกัน

 

 

 

 

ห้องเก้า

 

 

ฉินหร่านเงียบอยู่ตลอดไม่พูดไม่จา

 

 

ตอนแรกเฉียวเซิงอยากหยอกล้อสักประโยคสองประโยค พอเห็นฉินหร่านตีหน้าเข้ม เขาก็เกาหัว ไม่กล้าเอ่ยปากพูดก่อน จึงเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

 

 

คาบต่อไปเป็นคาบเรียนด้วยตัวเอง คนทั้งห้องกำลังก้มหน้าก้มตา ต่างก็วางท่าทำเป็นพลิกหนังสือ

 

 

ไม่มีใครพูดอะไรเลยแม้แต่คนเดียว

 

 

ที่ผ่านมาฉินหร่านไม่ยัดหูฟังนอนหลับ ก็จะถือหนังสือภาษาต้นฉบับพลิกอ่าน

 

 

วันนี้ผ่านคาบเรียนด้วยตัวเองไปเกือบครึ่งคาบแล้ว หลินซือหรานไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เลยอดมองไปทางฉินหร่านไม่ได้ “หรานหร่าน เธอ…”

 

 

ฉินหร่านเอียงหัว ตากลมน่ามองหรี่ลง ตอนที่ประสานกับสายตาของหลินซือหราน เธอก็หรี่ตาลง ยิ้มอย่างเกียจคร้าน ไม่แยแสอะไรเหมือนที่ผ่านมา “ฉันกำลังเรียนอยู่”

 

 

หลินซือหราน “…”

 

 

ฉินหร่านเอนตัวพิงข้างหลัง ถือปากกาขีดเขียนๆ บนควิซต่อ เลิกคิ้วทั้งที่ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ พูดอีกประโยคว่า “กำลังตั้งใจเรียนอยู่”