บทที่ 719+720 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 719 เป็นการได้ครอบครอง หรือว่าครองคู่ทุกชาติไป??
“เหตุใดจึงไม่ต้องการผลมะเดื่อหิมะ? เพราะเป็นของที่มาจากข้างั้นหรือ?” ตี้ฝูอีเอ่ยถามขึ้นมาก่อน เขานั่งลงหน้าโต๊ะที่มีเพียงตัวเดียวในห้อง มีระยะห่างกับเตียงของเธอหนึ่งเมตร
กู้ซีจิ่วไม่นึกว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ พลันชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมรับ “ใช่!”
“เกลียดข้าหรือ?” เขามองเธออีกครั้ง
น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเย็นชา “ท่านคิดมากไปแล้ว”
“แล้วเหตุใดถึงไม่รับไว้? เจ้าก็รู้ นี่คือรางวัลที่เจ้าสมควรได้รับ”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง “ข้าไม่ต้องการ! ของเช่นนั้นไม่มีประโยชน์กับข้า ดังนั้นจึงมอบให้สหาย พวกเขาต้องการมันมากกว่าข้า”
ตี้ฝูอีนิ่งไปสามอึดใจ คล้ายจะยิ้มออกมา “เจ้ารู้หรือว่ามันมีประโยชน์อย่างไร? เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าเล่า?”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าคนผู้นี้จู้จี้เหลือเกินจริงๆ เธอไม่อยากคุยกับเขา จึงหยุดพูดไปเสียดื้อๆ
“มิใช่ว่าเจ้าต้องการเป็นแพทย์อันดับหนึ่งในใต้หล้ารึ? สรรพคุณของผลไม้ชนิดนี้ก็ไม่รู้หรอกหรือ?” ตี้ฝูอีคล้ายจะไม่ยอมเลิกรา
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอรู้สึกว่าหากเธอไม่ตอบ คาดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้คงไม่ยอมจากไป
เมื่ออยู่ในสถาการณ์ที่เตะเขาออกไปไม่ได้ เธอจึงทำได้เพียงกล่าวสรรพคุณของมันออกมาหนึ่งรอบอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นก็เอ่ยปาก “ได้ยินชัดแล้วกระมัง? ข้ารู้สรรพคุณของมัน แต่ไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรต่อข้า!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “สรรพคุณพวกนี้ก็มิใช่ของปลอม เพียงแต่มันยังมีสรรพคุณที่สำคัญยิ่งนักอีกอย่างหนึ่ง ผู้อื่นไม่ทราบ แต่มีประโยชน์ต่อเจ้ามาก อยากรู้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วเงียบไปอีกหน เธอรู้สึกว่าตี้ฝูอีในยามนี้คล้ายกินยาผิด พูดเย้าแหย่เธออยู่ตลอด เธอไม่อยากเสวนากับเขาให้มากความจริงๆ
ตี้ฝูอีมองเธออยู่พักหนึ่ง แล้วคลี่ยิ้ม “ไม่อยากรู้จริงๆ หรือ? เช่นนั้นข้าก็ไม่บอกแล้ว”
กู้ซีจิ่วยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม หลับตาพักผ่อนไปเสียดื้อๆ
ภายในห้องค่อนข้างเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ในตอนที่กู้ซีจิ่วนึกว่าเขาจากไปแล้ว ในที่สุดตี้ฝูอีก็เอ่ยขึ้นมา “สรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของผลไม้นี้ก็คือมันสามารถขจัดรอยปานทั้งปวงได้”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ลืมตาขึ้นมา
ตีฝูอีกุมผลไม้ลูกนั้นไว้กลางฝ่ามือ สีหน้าราบเรียบ “เจ้าว่า ผลไม้ลูกนี้เหมาะสมกับเจ้าที่สุดหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วนึกถึงปานนั้นบนหน้าผากตน ถึงแม้ปานนั้นจะจางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว แต่ตอนที่เธอกระวนกระวายหและหน้าแดง ปานนั้นก็ยังคงชัดเจนมาก หากกินผลไม้ลูกดียวก็สามารถขจัดออกไปได้ เธอย่อมไม่ปฏิเสธ…
“ถึงแม้ผลไม้ลูกนี้จะเป็นของข้า แต่ในเมื่อมอบมันออกมาเป็นของรางวัลแล้ว ก็ย่อมคาดหวังให้มันก่อประโยชน์สูงสุด เช่นนี้ถึงจะไม่ทำให้มันเสียของ ผลไม้ก็คือผลไม้ รางวัลก็คือรางวัล รางวัลนี้เดิมทีเจ้าสมควรรับมันไว้ อย่างไรก็ตามเจ้ากลับดึงดันผลักไสไปให้ผู้อื่นทำให้คนรู้สึกขบขันนัก นอกเสียจาก…”
จู่ๆ เขาก็ขยับเข้ามาใกล้เธอ “นอกเสียจากเจ้าปักใจรักข้า ดังนั้นจึงทำตัวเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ เจ้ารักข้าใช่หรือไม่?”
ใบหน้าเขาอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งฉื่อ เอียงกายมองเธอ ดวงตาโค้งขึ้นนิดๆ คล้ายทีเล่นทีจริง “เสี่ยวซีจิ่ว เจ้ารู้สึกว่าเจ้ารักข้าแล้ว…”
ลมหายใจของเขาเหมือนจะทั้งอุ่นทั้งเย็น เป่ารดใบหน้าเธอ
ท่าทางเช่นนี้ของเขาอันตรายยิ่ง ดวงตาคู่นั้นของเขาน่ามองกว่าเดิมมากนัก ด้านในเปล่งประกายระยิบระยับ คล้ายจะทำให้คนจมดิ่งลงไป
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงเหล่าเด็กสาวคิดอะไรกับเขาสักนิดล้วนต้องหน้าแดงก่ำ ใจเต้นรัวดั่งตีกลอง อดไม่ได้ที่จะหลบสายตา
แต่กู้ซีจิ่วไม่มีเลย เธอเพียงเบิกตามอง
————————————————————————————-
บทที่ 720 ชอบนางก็รั้งนางไว้
แต่กู้ซีจิ่วไม่มีเลย เธอเพียงเบิกตามอง ดวงตาคู่นั้นเย็นชาและสงบนิ่งมาก มองเขากลับอยู่เช่นนี้ จากนั้นนางก็แย้มยิ้ม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล้อซีจิ่วเล่นอีกแล้ว เอาเถิด ในเมื่อผลไม้ลูกนี้มีประโยชน์ เช่นนั้นข้าก็จะรับเอาไว้ ขอบพระคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก”
ตี้ฝูอีนิ่งงัน
นางยิ้มแล้วชัด ต้องการผลไม้ของเขาแล้วชัดๆ เหตุใดเขายังคงรู้สึกห่อเหี่ยวอยู่เล่า? เหตุใดยังรู้สึกว่านางห่างออกไปเรื่อยๆ?
ตี้ฝูอีเงียบไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้ยืดกายขึ้น
กู้ซีจิ่วที่อยู่ในผ้าห่มถูกเขาโอบไว้กรายๆ เธอจึงรู้สึกร้อนอยู่บ้าง…
เธอหดเข้าไปในผ้าห่มอย่างเงียบเชียบ “รบกวนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกไปแล้วปิดประตูให้ข้าด้วย ข้าอยากพักผ่อน” นี่คือการไล่แขกแล้ว
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่จากไป
กู้ซีจิ่วก็ไม่สนใจเขาแล้ว
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก้เปิดปากเอ่ย “เจ้าอยุ่ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัย มิสู้ย้ายไปอยู่ที่พักของข้าดีกว่า? ข้ามีเรือนส่วนตัวที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เธอรู้สึกว่าเธอเข้าไม่ถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จริงๆ
เธอรู้ว่าโลกนี้มีคนประหลาดอยู่ไม่น้อย นิสัยแปลกประประหลาดเช่นใดล้วนมีทั้งสิ้น แต่ประเภทที่ทำให้ผู้อื่นสับสนงุนงง ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับเป็นที่สุดแล้ว
เดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวเย็นชา เดี๋ยวใกล้ชิดเดี๋ยวห่างเหิน
เธอรู้สึกว่าตนอ่านใจผู้อื่นออกเสมอ ทว่ากลับอ่านความคิดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไม่ออกเลย
โชคยังดี เธอไม่ต้องคบค้าสมาคมกับเขามากนัก และระหว่างเธอกับเขาก็ไม่มีความเกี่ยวพันอื่นๆ แล้ว ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องพินิจพิจารณาว่าสรุปแล้วเขาคิดจะทำอะไร
“ที่นี่ก็ดีมากแล้ว ซีจิ่วไม่คิดจะย้ายที่อีก ขอบพระคุณสำหรับความกรุณาของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย” กู้ซีจิ่วปฏิเสธอย่างเกรงใจ
ความเงียบเริ่มเข้าครอบคลุมภายในห้องอีกครั้ง ยามนี้ความเงียบในอากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ราวกับถูกอะไรบ้างอย่างโอบรัดเข้ามาทีละชุ่นๆ
ในที่สุดตี้ฝูอีก้ปล่อยเธอ ถอยหลังไปสองก้าว มองเธอนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก แล้วหันหลังเดินออกไป
ภายในห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นความเงียบที่แท้จริง ไม่มีบุคคลที่สองอยู่แล้ว
อากาศที่แทบจะอึมครึมก็จากไปพร้อมคนผู้นั้นเริ่มไหลเวียนขึ้นใหม่อีกครา
กู้ซีจิ่วผ่อนลมหายใจออกมานิดๆ เช่นนี้แหละ ไม่ว่าสรุปแล้วคนผู้นี้จะเห็นเธอเป็นกุหลาบแดงหรือว่ากุหลาบขาว ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอทั้งนั้น
ตอนนี้คนที่เธอสมควรนึกถึงคือหลงซือเย่ เธอกับเขาถึงจะเป็นเนื้อคู่กัน จะมีสักกี่คู่กันที่ทะลุมิติมาทั้งคู่แบบเธอกับเขา?
เห็นทีว่านี่คงเป็นเจตนารมณ์ของสวรรค์ ในเมื่อสวรรค์จัดสรรให้เธอกับเขาได้พบกันอีกครั้ง ก็เป็นการพิสุจน์ให้เห็นแล้วว่าต้องการให้เธอได้คู่กับเขา
ต่อให้หลงซือเย่รับปากตี้ฝูอีว่าจะไม่แต่งกับเธอชั่วชีวิต เช่นนั้นเธอก็จะอยู่กับเขา ถึงแม้จะต้องเป็นแค่คนรักไปชั่วชั่วชีวิตก็ไม่เป็นไร ชดเชยให้ความเสียใจในชาติก่อน
….
ในห้องมืดสนิท ไม่มีตะเกียง มุกราตรีก็ไม่ส่องแสงเช่นกัน
ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดมานานเพียงใดแล้ว เขาเงียบงันอยู่ตลอด
มู่เหล่ยถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายส่งออกไปตรวจตอบคดีบางอย่างแล้ว
และไม่รู้ว่ามู่เฟิงตามเข้ามายืนอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนเขาท่ามกลางความมืดนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากขึ้น “นายท่าน ต้องการกินอะไรหน่อยไหมขอรับ? ท่านเสียกำลังไปมหาศาล ต้องบำรุงสักหน่อย”
ตี้ฝูอียังคงนิ่งเหมือนเก่า ประหนึ่งรูปปั้นก็มิปาน
มู่เฟิงค่อนข้างกังวลยิ่งนัก เขาเพิ่งเคยเห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ครั้งแรก
มิใช่ว่าเมื่อก่อนนายท่านจะไม่มีช่วงเวลาที่ครุ่นคิดตรึกตรอง แต่ตอนนั้นทุกคนล้วนทราบว่าเขากำลังใคร่ครวญเรื่องราวอยู่ ส่วนจะใคร่ครวญเรื่องราวใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเขาใคร่ครวญเสร็จแล้วผู้ใดจะเริ่มซวย…
และหนนี้เขาก็เงียบงันอีกครั้ง แค่การเงียบหนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา