บทที่ 130 ออกจากวังกลางดึก

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ไทเฮาค่อยๆ ได้สติคืนมา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมอนุญาตให้เผาศพของปี้หลิงภายในตำหนักคุนเหอ ด้วยเหตุนี้ขันทีจึงต้องหามศพของปี้หลิงออกไปนอกตำหนักคุนเหอแล้วหาสถานที่โล่งแจ้ง ราดสุราดีกรีแรงลงบนร่างของนางและสุมด้วยคบไฟหลายอันผนวกกับสภาพอากาศอันแห้งแล้งเปลวไฟจึงลุกท่วมทันทีที่จุดไฟเผา

สายลมยามราตรีค่อนข้างพัดแรง เปลวไฟถูกสายลมกรรโชกเสียจนโหมแรงไปทั่วทุกด้าน กลิ่นไหม้ของศพที่ถูกไฟเผาลอยไปทั่วทุกทิศ เซียวจิ่นสิ้นสุดความอดทนนานแล้วจึงกลับไปพักผ่อนในตำหนักซวี่หยาง เขาคิดว่าซินหรูอายุยังน้อยจึงไม่ได้ให้นางติดตามมาด้วยแต่ให้นางกลับไปพักผ่อนในตำหนักฉางเหยี่ยน

คนที่อยู่ที่นี่มีเพียงขันทีส่วนหนึ่ง เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวย

เหล่าขันทีได้กลิ่นไหม้ของศพจึงอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป หันหน้าไปอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย

สติสัมปชัญญะของหลินชิงเวยกลับเข้มแข็งอย่างยิ่ง สีหน้าสงบนิ่งราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาเหลือแสน นางอยู่ในตำหนักคุนเหอหลายวันนี้ล้วนกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ยามนี้นางเหน็ดเหนื่อยจนตัวสั่นสะท้าน ปรารถนาที่จะนอนหลับให้สบายสักงีบหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องนี้

ภายใต้แสงสว่างเซียวเยี่ยนหันมาขมวดคิ้วมองหลินชิงเวย เห็นได้ว่ากลิ่นชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกยากจะทานทนได้เช่นกัน แต่เขาพบว่าหลินชิงเวยซูบผอมลงมาก คิ้วจึงขมวดมุ่นแน่นขึ้น เดิมทีแม้ใบหน้าของหลินชิงเวยจะเล็กแต่อิ่มเอิบและเต็มไปด้วยเลือดฝาด ยามนี้บนใบหน้านั้นแทบมองไม่เห็นเนื้อ รอบดวงตามีรอยคล้ำไม่สดชื่น

รับรู้ได้ว่าเซียวเยี่ยนกำลังมองตน หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาทั้งคู่ของเซียวเยี่ยน อดที่จะรู้สึกสะท้อนสะท้านในใจไม่ได้ ราวกับถูกดวงตาทั้งคู่นั้นทำให้สั่นสะท้านโดยไร้สุ้มเสียง

หลินชิงเวยยักไหล่ บนใบหน้าปรากฏให้เห็นรอยยิ้มเกียจคร้าน “เสด็จอา เวลาข้อสงสัยในตัวข้าคลี่คลายแล้วหรือไม่? ข้ากลับไปพักผ่อนได้แล้วหรือไม่?”

ผ่านไปอึดใจหนึ่งเซียวเยี่ยนจึงตอบว่า “ได้”

“เช่นนั้นที่นี่มอบให้ท่านไปจัดการ” หลินชิงเวยกล่าวลาเขา หันกายเดินไป

เซียวเยี่ยนมองเงาร่างด้านหลังของนาง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใคร่ครวญ “หนอนที่เจ้าพูดถึงนั้นควบคุมศพได้ จะต้องใช้ไฟเผาจึงจะได้หรือ?”

หลินชิงเวยเอามือไพล่หลัง หันไปมองเขา รูปร่างสูงใหญ่ของเขาอยู่ภายใต้ความมืดของยามราตรี เปลวไฟด้านข้างพุ่งขึ้นมาราวกับคล้ายมีคล้ายไม่มีชิดชายอาภรณ์ของเขา สีหน้าและแววตาของเขาเยียบเย็น โครงหน้าครึ่งของเขาถูกเปลวไฟส่องสว่าง เส้นผมบนไหล่กำลังสะบัดพลิ้วเบาๆ ทำให้ดูแล้วรูปงามองอาจเป็นหนึ่งไม่มีสอง

หลินชิงเวยราวกับได้ชื่นชมทั้งดวงตาและจิตใจ จึงหันไปพยักพเยิดปลายคางใส่เขา “ตามหลักการแล้วควรเป็นเช่นนั้น คนตายไปนานเท่าใด หนอนที่เข้าไปกลืนกินอวัยวะภายในของร่างกายยิ่งมีมากขึ้น ความสามารถในการรับคำสั่งก็จะยิ่งแข็งกล้า ดังนั้นหากตายไปแล้วนำไปฝังลงในดินย่อมไร้ประโยชน์” เมื่อหลินชิงเวยพูดเช่นนี้ก็อดคิดถึงหลี่เหลียงองครักษ์ผู้นั้นไม่ได้ หากเป็นไปตามการวิเคราะห์ของนาง หลี่เหลียงตายไปนานเช่นนั้นกลับยังคงมาปรากฏกายได้ นั่นไม่ใช่เรื่องประหลาดแล้ว

เพียงแค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกขนลุกตั้งชันขึ้นมา

พูดแล้วหลินชิงเวยมุ่งหน้าเดินต่อไป ยามนี้เสียงของเซียวเยี่ยนที่เอ่ยขึ้นราวกับแวบผ่านสมองและดังก้องขึ้นในโสตประสาทของนาง “เช่นนั้นจ้าวเฟยที่ฝังไว้ในสุสานหลวงนอกเมืองจะเป็นอย่างไร?”

หลินชิงเวยชะงักกึก ผ่านไปอึดใจหนึ่งนางจึงเงยหน้าขึ้นทอดถอนใจตบหน้าผากของตน “ฮื้อๆๆ คืนนี้ถูกกำหนดให้ไม่ได้นอนแล้วใช่หรือไม่ แต่ข้าง่วงนอนจะตายอยู่แล้วนี่นา!” ไฉนนางจึงลืมจ้าวเฟยไปได้นะ

เซียวเยี่ยน “…”

ทางด้านนี้รอศพของปี้หลิงถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี ทางด้านนั้นมีม้าตัวหนึ่งควบเต็มฝีเท้าวิ่งออกไปตามเส้นทางสายยาวขาวราวกับหิมะท่ามกลางแสงจันทร์สีเงิน สถานที่พวกเขามุ่งหน้าไปประตูวังเปิดออกปล่อยม้าตัวนั้นออกไป

บนหลังม้ามีคนนั่งอยู่สองคน เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวย

เพียงแต่หลินชิงเวยผลัดเปลี่ยนจากชุดกระโปรงอ่อนหวานที่สวมในยามปกติ ไม่รู้ว่าไปหาชุดของคุณชายร่างเล็กมาจากที่ใด เส้นผมสีดำขลับยาวสลวยถูกเกี้ยวหยกรวบตรึงไว้ ปลายเส้นผมสะบัดพลิ้วไปตามแรงลมพัด มันปัดผ่านใบหน้าด้านข้างของเซียวเยี่ยนเป็นพักๆ นำพากลิ่นหอมที่คล้ายมีคล้ายไม่มีผ่านมาด้วย

ต่อให้หลินชิงเวยแต่งกายในอาภรณ์ของบุรุษ แต่ใบหน้าเรียวเล็กอันอ่อนเยาว์นั้นยังราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้อยู่นั่นเอง ต่อให้นางเป็นคุณชายน้อยคนหนึ่ง ก็นับว่าเป็นคุณชายน้อยคนหนึ่งที่มีรูปงามอ่อนเยาว์กว่าเด็กหญิงคนหนึ่ง

แน่นอนว่าผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังหลินชิงเวยก็คือเซียวเยี่ยน มือทั้งคู่ของเซียวเยี่ยนอ้อมผ่านรอบเอวของหลินชิงเวยไปจับสายบังเหียน มีป้ายคำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ที่นี่ทหารและองครักษ์เหล่านั้นที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูวังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวยที่อยู่บนหลังม้ามากนัก เพียงคิดว่าคนผู้นี้ไฉนจึงขี่ม้าไม่เป็น ให้เซ่อเจิ้งอ๋องพาคนผู้นั้นควบม้าไปด้วยเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แม้ว่าแต่ไรมาเซ่อเจิ้งอ๋องไม่เคยพาใครมาก่อนก็ตาม

เซียวเยี่ยนเดิมทีได้เตรียมม้าไว้สองตัว แต่ที่น่าชิงชังก็คือหลินชิงเวยขี่ม้าไม่เป็น ขณะเดียวกันนางกำลังลูบขนที่แผงคอของม้า แม้นางจะปรารถนาอย่างยิ่งที่จะลองขี่ม้าและควบบังคับให้ม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว แต่นางคิดว่านางยังไม่ได้ทันได้รับรู้ก็คาดว่าคงจะถูกสลัดลงมาจากหลังม้าจนพิการเสียก่อน

อีกทั้งได้นั่งม้าตัวเดียวกับเซ่อเจิ้งอ๋องก็เป็นเรื่องไม่เลวนี่นา

หลินชิงเวยได้แต่คิดอยู่ในใจ ในที่สุดก็ได้นั่งม้าตัวเดียวกันกับเซียวเยี่ยนสมปรารถนา คนทั้งสองออกจากเมืองอย่างลับๆ ไม่ให้ผู้ใดรับรู้การเคลื่อนไหว หากจัดขบวนใหญ่โตออกไป ย่อมต้องกลับมาถึงวังหลวงในเวลาฟ้าสางเป็นแน่ การไปมาเช่นนี้ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นการเสียเวลาเพียงใด ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเปิดโอกาสให้มือสังหารฉวยโอกาสลงมือ

อย่างไรในยามนี้เป็นเวลากลางคืน ฟ้ามืดทางมองไม่เห็นหากคิดจะใช้หนอนนำทางเพื่อตามหาแหล่งที่อยู่ของฆาตกรเป็นการไม่สะดวก คนทั้งสองจึงใช้โอกาสในยามราตรีไปจัดการเรื่องศพของจ้าวเฟย

ออกจากประตูวัง เบื้องหน้าที่ปรากฏให้เห็นก็คือแผ่นดินและฟืนฟ้าอันกว้างใหญ่ เซียวเยี่ยนเร่งความเร็วของม้าขึ้นอีก คนทั้งสองควบม้าวิ่งผ่านถนนสายยาวอันว่างเปล่า เสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นถนนดังก้องในโสตประสาท

สายลมเย็นสบายที่ปะทะกับใบหน้าส่งผลให้หลินชิงเวยต้องหรี่ตาลง เมื่อสักครู่ยังไม่ได้ออกจากวังนางนั่งยืดเอวเหยียดแผ่นหลังตรงด้วยตื่นเต้นเล็กน้อย จึงให้พื้นที่ว่างแก่เซียวเยี่ยน

ยามนี้นางเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จอา ข้าเหนื่อยแล้ว”

“…” ที่จริงเพื่อหลินชิงเวยแล้วเซียวเยี่ยนได้เว้นระหว่างห่างจากนางพอสมควร เขาประคับประคองอย่างแข็งเกร็งอยู่บ้าง ยิ่งควบม้าเร็วขึ้นยิ่งต้องแนบกายลงต่ำ เช่นนี้แล้วจึงจะปลอดภัย

หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นอีกว่า “เมื่ออยู่ในเรือนหลังเล็กอันมืดมิด ไทเฮาไม่ให้ข้ากินข้าว ข้าหิวจนนอนไม่หลับ ยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย” พูดแล้วไม่รอให้เซียวเยี่ยนตอบรับหรือปฏิเสธ นางก็เอนกายลงมาราวกับเป็นลูกแมวตัวน้อย ร่างนั้นเอนมาทางด้านหลังซุกกายเข้ามาในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน

สีหน้าและแววตาของเซียวเยี่ยนเคร่งขรึม ชั่วขณะที่หลินชิงเวยเอนการเข้ามาพักพิงในอ้อมกอดของเขา เพื่อประคองร่างของนางให้มั่นคงฝ่ามือใหญ่ทรงพลังข้างหนึ่งเข้าประคองที่เอวคอดกิ่วของนาง เขาค่อยๆ โน้มกายลงมาให้คางของตนคล้ายแตะคล้ายไม่แตะลงบนไหล่ของหลินชิงเวย เมื่อเขาพูดจาลมหายใจอันอบอุ่นรินรดใส่ลำคอของนาง น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและทำให้คนลุ่มหลงคลั่งใคล้ประดุจแม่น้ำ เม็ดทราย และน้ำค้าง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่าประดุจวารีใต้ท้องเรือ ทั้งยังหางเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “นางไม่ให้เจ้ากินข้าว?”

หลินชิงเวยพยักหน้า การทำตัวออดอ้อนฉอเลาะมิใช่แนวที่นางถนัดทว่าไม่รู้ด้วยนางอินกับบทเกินไปหรือไม่ กระบอกตาจึงพลันร้อนขึ้นเล็กน้อย นางพยายามที่จะอิงแอบเข้าไปในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน “ถูกต้อง ข้าเพิ่งจะได้กินข้าวอิ่มมื้อหนึ่งเมื่อปี้หลิงมาครั้งก่อน”