บทที่ 131 งอแงไม่ยอมเดิน

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ในน้ำเสียงนั้น เซียวเยี่ยนได้ยินแล้วเสมือนเสน่ห์ของสายลมในวสันตฤดูที่ทำให้ติ่งหูของเขาอ่อนยวบไปหมด เขาผู้ซึ่งเป็นบุรุษเงียบขรึมอีกทั้งเย็นชาปานนั้นถึงกับรู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานเอ่อท้นขึ้นกลางใจ

มิน่าเล่า เขาคิดว่าไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ไฉนหลินชิงเวยจึงผอมซูบลงเช่นนี้

เซียวเยี่ยนกล่าว “อีกประเดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วพวกเราไปกินกัน”

“กินอะไรดีเล่า?” ทัศนียภาพสองข้างทางผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว หลินชิงเวยเห็นโคมไฟข้างทางหลายดวงยังสว่างอยู่ ในตรอกเล็กตรอกน้อยยังมีป้ายผ้าใบของร้านรวงแขวนอยู่ ข้างบนเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ๆ ตัวหนึ่งว่า “สุรา” ที่นั่นไม่เงียบสงบเช่นถนนสายหลัก ดูเหมือนยิ่งตกดึกยิ่งเงียบสงัดถนนสายรองยังมีแขกสุรามารวมตัวกันไม่น้อย และด้านหน้าร้านสุรามีเสี่ยวเอ้อร์กำลังง่วนอยู่กับการย่างเนื้อแพะ กลิ่นหอมอบอวลของเครื่องเทศและพริกนั้นลอยมาไกล หลินชิงเวยกลืนน้ำลายลงคอ บิดกายหันไปชี้ร้านสุราแห่งนั้น แล้วจึงหันมาพูดกับเซียวเยี่ยนว่า “อีกประเดี๋ยวพวกเรากลับมากินที่นั่นเถิด”

นางมองไม่เห็นใบหน้าของเซียวเยี่ยน เห็นเพียงปลายคางของเขา หลินชิงเวยพยายามจะหันกลับไปอีก เซียวเยี่ยนรั้งฝ่ามือที่อยู่บนเอวของนางเข้าหาตัวพร้อมกับพูดเสียงต่ำริมหูนางว่า “อย่ากระดุกกระดิกไปมา”

น้ำเสียงของเขามีความอดทนอดกลั้นอยู่สองส่วน หลินชิงเวยจงใจจะขัดคำสั่งเขาโดยการบิดร่างไปมาบนหลังม้า ร่างของเซียวเยี่ยนเกร็งเครียดแล้วยื่นแขนออกไปสอดผ่านรอบเอวของหลินชิงเวยอย่างเผด็จการ เขากักตัวนางเอาไว้ในอ้อมกอดของตนอย่างแน่นหนาอย่างมิอาจขยับได้อีก

หลินชิงเวยถามด้วยน้ำเสียงเปื้อนยิ้มเฉกเช่นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวน้อย “ท่านอา ได้ไหมเล่า?”

“ได้ อีกประเดี๋ยวเจ้าอยากกินอะไรก็กินสิ่งนั้น หากยังขยับไปมาอีกเชื่อหรือไม่ว่าเปิ่นหวางจะโยนเจ้าลงไป”

“เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวพวกเรากลับมาดึกเกินไป ร้านค้าปิดแล้วจะทำอย่างไร?”

เซียวเยี่ยนกัดฟันแน่น “เช่นนั้นก็หิ้วตัวหลงจู๊ออกมาให้เขาทำให้เจ้ากินโดยเฉพาะ”

หลินชิงเวยหัวเราะอย่างเบิกบานใจและถามอีกว่า “ยามนี้ฝ่าบาทน่าจะเข้านอนแล้วกระมัง เสด็จอาออกจากวังมาเช่นนี้หากเกิดเรื่องขึ้นในวังจะทำอย่างไรเล่า?”

“คืนนี้มีหัวหน้าองครักษ์ของวังหลวงทำหน้าที่อารักขาตำหนักซวี่หยาง ย่อมไม่เกิดเรื่องอันใด”

“ต่อไปท่านว่าข้าควรจะเรียนขี่ม้าหรือไม่?” หลินชิงเวยพูดคุยกับเขาไปเรื่อยเปื่อย ในใจคิดว่าแม้ม้าในยุคสมัยโบราณจะคุ้มคลั่งไปสักหน่อยแต่ยังคงว่องไวรวดเร็วดี เรียนรู้ทักษะเพิ่มสักอย่างถือเป็นเรื่องดี ต่อไปจะไปไหนมาไหนสะดวก อีกทั้งนางยังรู้สึกสนอกสนใจอยู่บ้าง

เซียวเยี่ยนสนับสนุนเช่นกัน “ได้ กลับไปเปิ่นหวางจะหาคนมาสอนเจ้า”

หลินชิงเวยลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง “ท่านอาไม่คิดจะสอนข้าเองหรือ? เช่นนั้นข้าไม่อยากเรียนแล้ว ขี่ม้าตัวเดียวกับท่านอาแบบนี้ดีกว่า”

“…” หยกชิ้นงามออดอ้อนอย่างอ่อนหวานอยู่ในอ้อมกอด เซียวเยี่ยนเงียบขรึม “รอให้เปิ่นหวางมีเวลา สอนเจ้าได้”

ม้าเร็ววิ่งอยู่ในกำแพงเมืองพักหนึ่ง มันวิ่งออกนอกกำแพงเมืองอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่ออยู่ในเมืองหลวงตามมุมถนนยังมีแสงสว่างจากโคมไฟ ยามนี้ทันทีที่ออกนอกเมืองหลวง นอกจากแสงจันทร์และดวงดาวที่อยู่บนฟ้าแล้ว เบื้องหน้ามีเพียงความมืดมิด เส้นทางก็ไม่ได้ดีเช่นเส้นทางในเมืองเช่นกัน

โชคดีที่ความสามารถการมองเห็นของเซียวเยี่ยนนั้นไม่สามัญ เขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนในยามค่ำคืน ตลอดเส้นทางจึงไม่พบอุปสรรคใด

หลินชิงเวยทะลุมิติข้ามมาถึงโลกใบนี้นานเช่นนี้ รวมๆ แล้วเพิ่งจะได้ออกจากวังหนึ่งครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ดีเหลือเกิน ครั้งนี้ได้ออกมาไกลกว่าครั้งแรกมากคือออกนอกเมืองหลวง

เมื่อออกจากประตูเมือง ราวกับกลิ่นอายของความเป็นอิสระปนเปมาในชั้นบรรยากาศ กลิ่นหอมสดชื่นและความชีวิตชีวาของต้นไม้ใบหญ้าสัมผัสกับโพรงจมูกของหลินชิงเวย ทำให้สมองที่สับสนวุ่นวายของนางพลันปลอดโปร่งสดชื่นขึ้นสองส่วนในชั่วพริบตา

เสียงร้องของกบ แมลงและนกที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลเมื่อประสานเสียงกันแล้วกลับกลายเป็นทำนองเสนาะในค่ำคืนคิมหันตฤดู ไม่เพียงแต่ไม่สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ แต่กลับทำให้รู้สึกได้ว่าค่ำคืนนี้สงบยิ่งขึ้นไปอีก

สถานที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้นอยู่ชานเมืองทางทิศตะวันตก บนภูเขานอกเมืองทางทิศตะวันตกมีสุสานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสุสานของเหล่าบรรดานางสนมในตำหนักในทั้งหมด บรรดานางสนมในตำหนักในยกเว้นผู้ได้รับความสำคัญหรือมีความดีความชอบต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวงแล้ว หลังจากสิ้นชีวิตลงล้วนถูกฝังลงในสุสานแห่งนี้ เช่นไทเฮา ฮองเฮา กุ้ยเฟยทั้งหลายผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์และฐานะสูงส่งจะถูกฝังลงในสุสานหลวงนอกเมืองทางทิศตะวันออก

จ้าวเฟยยังไม่มีศักดิ์และฐานะถึงขั้นนั้น และไม่ได้รับความโปรดปรานสักเท่าใดนัก จึงได้แต่นำมาฝังลงในสุสานแห่งนี้

มาถึงเชิงเขา หลินชิงเวยเงยหน้ามองขึ้นไปบนภูเขา สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางของภูเขา ตั้งแต่เชิงเขาไปถึงกึ่งกลางของภูเขาลูกนี้เป็นบันไดหินคดเคี้ยวทอดยาวไปตลอดเส้นทาง มองผ่านๆ น่าจะมีประมาณหนึ่งพันขั้นกระมัง หลินชิงเวยในยามนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไหนเลยจะเดินไกลถึงเพียงนั้นได้

หลังจากเซียวเยี่ยนอุ้มนางลงมาจากหลังม้าแล้วจึงหันไปจูงม้าไปผูกไว้ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หันกลับมาเดินผ่านร่างของหลินชิงเวยแล้วเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าว เขาเดินอย่างสง่างาม บนแผ่นหลังแบกห่อสัมภาระที่หลินชิงเวยตระเตรียมมา ทว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสูงศักดิ์ของเขาแม้แต่น้อย

เดินไปไม่กี่ก้าวเซียวเยี่ยนหยุดชะงักหันกลับมาถามว่า “ไยเจ้าไม่เดินเล่า?”

หลินชิงเวยยกมือขึ้นเท้าสะเอว “ท่านอา ข้าไม่ใช่ท่าน กินอิ่มดื่มหนำมีเรี่ยวแรง ข้าเดินไม่ไหวนี่นา”

เซียวเยี่ยนเงียบไปแล้วพูดขึ้นว่า “เปิ่นหวางไม่ได้กินมื้อเย็นเช่นกัน”

เขารู้สึกหิวมากเช่นกัน แต่ต่อให้หิวอย่างไรก็ยังคงสง่างามอย่างยิ่ง

แม้จะพูดเช่นนี้แต่เซียวเยี่ยนยังคงเดินกลับมาคิดจะจับมือจูงหลินชิงเวยเดินไปด้วยกัน หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “ต่อให้ท่านจับมือข้า ก็ต้องใช้ขาทั้งสองข้างเดินอยู่ดี”

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”

“ข้าอยากให้ท่านแบกข้า”

“…”

“หรืออุ้มข้า”

เซียวเยี่ยนเพียงแต่ก้มหน้าลงมองนาง ดวงหน้านั้นราวกับถูกฉาบไว้ด้วยแสงจันทร์สีเงินชั้นหนึ่ง ดูไปแล้วช่างศักดิ์สิทธิ์ เลือนราง แต่ใบหน้านั้นของเขาแม้จะไม่อาจกล่าวว่าเหมือนปีศาจ ทว่าดูลึกลับอยู่นั่นเอง

หลินชิงเวยเอามือไพล่หลังและพูดว่า “หรือท่านคิดจะอยู่ที่นี่ทั้งคืน?”

ทันทีที่สิ้นเสียง นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนจะตกหลุมพรางรวดเร็วเช่นนี้ เขาโน้มกายลงยื่นมือมาโอบรอบเอวของนางแล้วอุ้มขึ้น น้ำหนักตัวเอนไปทางด้านหลังทำให้หยกครอบผมของหลินชิงเวยร่วงหล่น เส้นผมสีดำขลับราวกับม่านน้ำตกแผ่สยายตัวลงมา ปรากฏให้เห็นใบหน้าเรียวเล็กอันงดงามของโฉมสะคราญ ดวงตาของนางวับวาวด้วยแสงจากแสงจันทร์ราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่าของใต้หล้า

เซียวเยี่ยนมองนางนิ่งๆ แวบหนึ่งแล้วไม่มองนางอีก เขายกเท้าก้าวขึ้นบันไดหินไปทีละขั้นๆ หลินชิงเวยยื่นมือทั้งคู่ขึ้นไปโอบรอบลำคอของเขาและเอนศีรษะแนบไปกับอกของเขามองเส้นทางที่อยู่ใต้เท้าของตน

ทุกครั้งที่เซียวเยี่ยนก้าวเดิน นางก็จะนับออกเสียงเบาๆ เซียวเยี่ยนฟังเสียงนับของนางแล้วรู้สึกว่าย่างก้าวของตนพลันเบาสบายอย่างอดไม่ได้

หลินชิงเวย “ท่านอา บุรุษอุ้มสตรีไม่ได้ไปห้องหอ แต่ไปสุสาน นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือไม่?”

เซียวเยี่ยนมองนางเงียบๆ มุ่งหน้าเดินต่อไป

“ท่านเหนื่อยหรือไม่?” หลินชิงเวยถามอีก

“เหนื่อย เจ้าก็จะไม่งอแงให้เปิ่นหวางอุ้มแล้วหรือไร” เซียวเยี่ยนพูดเนิบๆ แต่กลับทำให้ความห่างเหินของคนทั้งสองลดน้อยลงอย่างเงียบๆ

“ท่านอาแบกได้นี่นา”

“ใกล้จะถึงแล้ว”

ในที่สุดก็มาถึงกึ่งกลางภูเขา เซียวเยี่ยนวางหลินชิงเวยลงบนพื้น บริเวณกึ่งกลางภูเขาถูกปูพื้นด้วยกระเบื้องหินสีเขียวอมดำทั้งมันวาวและเรียบลื่น

เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นทางเข้าสุสาน เป็นประตูทรงสี่เหลี่ยมรูปสัตว์ ท่ามกลางม่านรัตติกาลดูไปแล้วเหมือนปากอันใหญ่โตของสัตว์ร้ายกำลังหลอกล่อดึงดูดเหยื่อเข้าไป ความน่าเกรงขามมีมากกว่ายามกลางวัน

ละแวกใกล้เคียงมีภูเขาอีกลูกหนึ่ง เป็นภูเขาร้างผู้คน ยามรักษาการณ์เฝ้าสุสานมีไม่มาก พวกเขาล้วนอาศัยอยู่บริเวณเชิงเขา เมื่อสักครู่พวกเขผ่านด่านเข้ามา ป้ายคำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋องไปถึงที่ไหนล้วนเปิดทางได้สะดวกยิ่ง มาถึงข้างบนภูเขามีเพียงความว่างเปล่า ข้างบนนี้นอกจากหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนแล้ว ไม่มียามรักษาการณ์เฝ้าสุสานแม้แต่คนเดียว