บทที่ 132 ไม่น่ากลัวขนาดนั้น

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ดูไปแล้วยามรักษาการณ์ของสุสานแห่งนี้หละหลวมถึงเพียงนี้ ย่อมเทียบไม่ได้กับสุสานหลวง ด้วยคนที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ล้วนเป็นนางสนมที่ไม่ได้รับความสำคัญอันใด มิอาจนำมากล่าวถึงอย่างเต็มภาคภูมิเฉกเช่นสมบัติที่ถูกฝังร่วมไปพร้อมพระศพ อีกทั้งผู้ที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ล้วนเป็นสตรี หรืออาจจะใช้คำพูดของคนโบราณที่ว่าที่นี่มีพลังหยินมากเกินไปไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะมีโจรปล้นสุสานมาปล้น

ทั้งสองคนไม่ได้เสียเวลาอยู่หน้าสุสาน พวกเขาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านปากทางเข้าสู่ความมืดด้านใน ทันทีก้าวเข้าไปข้างในเมื่อเปรียบเทียบกับด้านนอกที่มีแสงสว่างจากแสงจันทร์แล้ว เบื้องหน้าก็คือความมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

หลินชิงเวยจับแขนของเซียวเยี่ยนที่อยู่ข้างกาย “ท่านเป็นนกฮูกหรือไร รีบหยิบมวนไฟออกมาจากห่อสัมภาระเร็วเข้า”

เซียวเยี่ยนหยิบมวนไฟออกมาจากห่อสัมภาระตามคำพูดที่ดังขึ้น เปลวไฟขนาดเม็ดเท่าถั่วเหลืองสว่างวาบขึ้นในพริบตาส่งผลให้เบื้องหน้าถูกส่องให้สว่างขึ้น หลินชิงเวยพบว่านอกจากใบหน้าของเซียวเยี่ยนที่อยู่ภายใต้แสงไฟนี้แล้วรอบๆ ยังคงมืดสนิทดังเดิม และแสงไฟมีอยู่อย่างจำกัดเบื้องหน้ายังคงมองไม่ชัดเจนอยู่ดี

เซียวเยี่ยนถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าคิดว่าอย่างนี้ดีกว่าหรือ?”

หลินชิงเวยพูดไม่ออก

ต่อมาเซียวเยี่ยนไม่มีทางเลือกจึงจับจูงมือหลินชิงเวย พานางเดินเข้าไปด้านในสุสานอันกว้างใหญ่ ข้างในสุสานจัดอย่างเรียบง่าย เมื่อเข้าไปถึงกึ่งกลางของสุสานจึงเห็นป้ายหินเรียงเป็นแถวๆ ดูแล้วช่างเรียบง่ายเหลือเกิน บรรยากาศในนั้นสลดหดหู่

เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยพบสุสานของจ้าวเฟยที่อยู่ห้องด้านข้างโดยไม่เสียเวลามากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับสุสานของนางสนมอื่นๆ แล้ว สุสานของจ้าวเฟยถือได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว อย่างไรก็มีห้องแยกมาต่างหากเพียงลำพัง

เซียวเยี่ยนนำมวนไฟของตนไปจุดเทียนบนเชิงเทียนภายในห้องข้างให้สว่างขึ้น ภายในห้องข้างสว่างวาบขึ้นในพริบตา เห็นโลงหินใบหนึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางของห้อง โลงหินถูกออกแบบมิดชิดดียิ่ง ข้างบนฝาโลงเหลือเพียงช่องว่างขนาดเท่าเส้นด้ายแม้กระทั่งมดตัวหนึ่งก็คลานเข้าไปไม่ได้ ศพที่เน่าเปื่อยรวมไปถึงหนอนแมลงต่างๆ ก็คลานออกมาไม่ได้เช่นกัน แน่นอนว่าหากเป็นหนอนที่ถูกเลี้ยงไว้ในวังมีความเป็นได้ว่าจะคลานออกมาได้

หลินชิงเวยเปิดห่อสัมภาระเริ่มตระเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้ เคราะห์ดีที่ที่นี่ล้วนเป็นสุสานหิน ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวนำเชื้อเพลิง เมื่อจุดไฟเผาศพของจ้าวเฟยในสุสานห้องข้างนี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น นางใช้สิ่งของที่ตระเตรียมมาผสมรวมกันเป็นแป้งชนิดหนึ่ง ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้เมื่อรวมตัวกันแล้วจะทำให้เกิดการจุดไฟได้ง่ายเช่นสารฟอสฟอรัส เมื่อนำผงแป้งชนิดนี้ไปสาดใส่ร่างของจ้าวเฟยในโลงศพแล้วย่อมต้องเผาไหม้ศพที่เน่าเปื่อยและมีความชื้นได้อย่างง่ายดาย

เดิมทีนางคิดจะนำสุรามาสักไห แต่เดินทางไกลย่อมไม่สะดวก มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกทำให้แตกระหว่างทาง

เมื่อหลินชิงเวยเตรียมสิ่งของเรียบร้อยแล้วนางเอ่ยขึ้นกับเซียวเยี่ยนว่า “ท่านพอจะมีวิธีเปิดโลงศพหรือไม่?”

โลงหินเปิดและปิดได้ ภายในห้องข้างนี้ย่อมต้องมีค่ายกล เพียงแต่การออกแบบค่อนข้างรัดกุม ทว่าเรื่องนี้สร้างความลำบากให้กับเซียวเยี่ยนไม่ได้ เขาเดินไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศครู่หนึ่งก็ค้นพบปุ่มลับของกลไกที่มีลักษณะคล้ายก้อนหินก้อนหนึ่งจึงกดลงไปบนกำแพง

ภายในห้องข้างบังเกิดเสียงดังขึ้น โลงหินค่อยเปิดออกไปด้านข้างทั้งสองทาง

หลังจากเปิดฝาโลงหิน กลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนก็ลอยออกมาทันที หลินชิงเวยที่มีสีหน้าหนักแน่นแทบจะค้ำกำแพงอาเจียนแห้งๆ ออกมา

ภายในโลงหินยังมีโลงไม้อีกโลงหนึ่ง จ้าวเฟยนอนอยู่ในโลงไม้นั้น เพียงแต่โลงไม้ไม่ได้ปิดสนิทนัก ทำให้ระบายอากาศได้ดี…

หลินชิงเวยพบว่าบนผนังหินภายในโลงหินมีหนอนสีขาวเกาะอยู่หลายตัวดูเหมือนกำลังเตรียมจะคลานออกไปตามช่องว่างของโลงหิน หากมาช้ากว่านี้ หนอนพวกนี้คงคลานออกมายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลินชิงเวยอดหันไปมองเซียวเยี่ยนไม่ได้ “ดูแล้วมาที่นี่ในคืนนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”

เซียวเยี่ยนก้าวขึ้นมาถามว่า “ต้องเปิดโลงไม้หรือไม่?”

“ข้างในจะต้องไม่น่าดูอย่างที่สุด” หลินชิงเวยกล่าว “แต่หากไม่เปิดย่อมไม่อาจกำจัดได้อย่างสะอาดอ้านแล้วอาจเกิดปัญหาในภายหลัง”

เซียวเยี่ยนเตรียมโน้มกายลงไปเพื่อเปิดโลงไม้

หลินชิงเวยพูดอีกว่า “ท่านระวังหน่อย อย่าให้หนอนถูกตัวท่าน เปิดแล้วหลบไปทันที”

“อื้อ”

เซียวเยี่ยนดูเหมือนไม่ได้ใช้มือไปสัมผัสกับโลงไม้ เขารวบรวมพลังลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ ลมหายใจของเขาผ่อนยาวเหยียดเต็มไปด้วยพลังลมปราณค่อยๆ เปิดโลงไม้ออกอย่างช้าๆ

“ยอดฝีมือของสำนักบู๊ตึ๊งและเส้าหลินนี่นา”

หลังจากโลงไม้ถูกเปิดออก หลินชิงเวยมองเข้าไปข้างใน สีหน้าของนางเผือดขาว ภาพที่ปรากฏเห็นนั้นสยดสยองเกินที่นางจะรับได้

นางสาบานว่าชาตินี้ยังไม่เคยพบเห็นสิ่งของที่น่าสะอิดสะเอียนเท่านี้มาก่อน

ศพของจ้าวเฟยในโลงนั้นเริ่มเน่าเปื่อยแล้ว มองไม่เห็นเค้าโครงรูปร่างหน้าตาเดิม หนอนที่อยู่ข้างในขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกือบจะเต็มโลงไม้ก็ว่าได้ เมื่อเห็นฝาโลงไม้เปิดออก หนอนที่เบียดเสียดแออัดอยู่ข้างในจึงเริ่มเคลื่อนไหว ทำให้ผู้คนเห็นแล้วขนลุกเกรียว หนังศีรษะชาวาบ

หนอนเหล่านั้นดูเหมือนจะรู้ว่าตนเองได้รับอิสระ จึงพากันคลานขึ้นมาจากรอบทิศของโลงศพด้วยคิดจะคลานออกไปข้างนอก หลินชิงเวยไม่เสียเวลาอีกนางสาดผงแป้งลงไปในโลงศพ ต่อมาหยิบไม้ขีดไฟอันหนึ่งโยนลงไปก่อให้เกิดเปลวไฟลุกท่วมทันที

เสียงเพียะพะดังอยู่ข้างใน กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ลอยออกมา เสียงเพียะพะที่ดังขึ้นนั้นมิใช่เสียงของศพจ้าวไฟที่ถูกไฟเผา แต่เป็นเสียงหนอนที่ถูกเผา กระทั่งหนอนที่เกาะอยู่บนกำแพงหินในโลงหินก็ทนอุณหภูมิความร้อนเช่นนี้ไม่ได้ ถูกย่างเผาแล้วร่วงตกลงไปตายในทะเลเพลิง

การจุดไฟเผาในครั้งนี้เปลวไฟลุกโชนเหนือธรรมดาสามัญราวกับเปลวไฟนี้ส่องสว่างสุสานแห่งนี้ให้สว่างไปกว่าครึ่งบริเวณ ดังนั้นเมื่อจัดการเผาเสร็จสิ้นเซียวเยี่ยนจึงปิดฝาโลงหินกลับไป ความร้อนจากเปลวไฟด้านนั้นทำให้โลงหินร้อนจนกระทั่งกลายเป็นสีแดงน้อยๆ

หลังจากเปลวไฟลุกโชนผ่านพ้นไป ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง แสงไฟภายในห้องข้างค่อยๆ มืดลง โลงหินที่แดงเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นค่อยๆ เย็นตัวลง สุดท้ายเซียวเยี่ยนเปิดฝาโลงหินอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีหนอนรอดชีวิตแม้แต่ตัวเดียว โลงไม้ที่อยู่ข้างในถูกเผาจนกลายเป็นไหม้เกรียมดำปี๋ไปหมด หนอนทั้งหมดล้วนกลายสภาพเป็นเถ้าธุลี

เซียวเยี่ยนปิดฝาโลงหินกลับไปอีกครั้ง หยิบห่อสัมภาระแล้วกล่าวกับหลินชิงเวยว่า “กลับเถิด”

คนทั้งสองออกมาเร็วกว่าตอนที่เข้าไปมากนัก ราวกับเริ่มรู้และปรับตัวกับเส้นทางและสภาพภูมิศาสตร์ได้แล้ว ประตูใหญ่ของสุสานอยู่เบื้องหน้า ด้านนอกถูกสาดส่องให้สว่างด้วยแสงจันทร์ หลินชิงเวยแทบจะไม่ต้องคิดก็วิ่งพุ่งออกมา

เมื่อเซียวเยี่ยนสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกมาเห็นนางกำลังค้ำกำแพงอาเจียน เพียงแต่แทบจะไม่ได้กินอะไรลงท้อง เบื้องหน้าที่อาเจียนออกมาจึงมีแต่น้ำย่อย

เซียวเยี่ยนเอนกายพิงกำแพงถามว่า “เมื่ออยู่ในวังเห็นสีหน้าเจ้าไม่เปลี่ยนสักนิด ยังคิดว่าเจ้าไม่สะอิดสะเอียนสิ่งเหล่านี้”

หลินชิงเวยอาเจียนหมดแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง นางเท้าเอวแล้วถ่มน้ำลายออกมา “เชอะ ท่านจะรู้อะไร ข้ากลัวที่แคบอย่างรุนแรง ท่านแจ่มแจ้งหรือไม่อะไรเรียกว่ากลัวที่แคบอย่างรุนแรง?”

เซียวเยี่ยนใคร่ครวญและกล่าวว่า “พอจะกระจ่างแจ้ง”

หลังจากลงจากเขาคนทั้งสองหาแหล่งน้ำในบริเวณใกล้เคียงเพื่อล้างมือให้สะอาดสะอ้านหลายรอบแล้วจึงขี่ม้ากลับไป

พระจันทร์หันเหไปทางทิศตะวันตก สายลมเย็นสบายที่พัดผ่านน้ำค้างเป็นความชุ่มชื้นในชั้นบรรยากาศที่ค่อยๆ สงบลงไปรวมตัวกันบนยอดหญ้าข้างทาง รอกระทั่งดวงตะวันที่ขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นส่องแสงสว่างเป็นแสงเงินแสงทอง