บทที่ 133 ร้านสุราเล็กๆ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน นางเหนื่อยจนหลับไปหลังจากเข้ามาในเมืองเห็นว่าร้านสุราในตรอกยังไม่ปิดร้าน ยังคงมีแสงไฟสลัวๆ ดังเดิม เพียงแต่ไม่คึกคักเช่นก่อนหน้านี้ แขกดื่มสุราแยกย้ายกันกลับไปพอสมควรแล้ว เห็นเพียงเสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ข้างหน้าเขย่งเท้าเก็บป้ายร้านเตรียมตัวเก็บร้าน

เซียวเยี่ยนรั้งสายบังเหียนในมือให้ม้าชะลอฝีเท้าลงให้หยุดอยู่กับที่นี่ มันร้องขึ้นครั้งหนึ่ง เซียวเยี่ยมก้มหน้าลงมองสตรีกำลังหลับลึกในอ้อมกอด ที่จริงเขาพานางตรงกลับวังเลยก็ได้ แต่คิดดูแล้วว่าได้รับปากนางอย่างไรก็ควรจะถามความเห็นของนาง

แขนของเซียวเยี่ยนอ้อมผ่านเอวด้านหน้าของหลินชิงเวย คนตัวน้อยไม่เคยเชื่อฟังเช่นนี้มาก่อน คงทั้งเหนื่อยทั้งหิวนางจึงนอนหลับลึกถึงเพียงนี้ เซียวเยี่ยนโน้มไหล่ลงเล็กน้อยศีรษะเกือบจะแนบชิดกับหลินชิงเวยเขาเอ่ยขึ้นริมหูของนางว่า “มิใช่อยากกินเนื้อย่างหรือ ยังอยากกินหรือไม่? หากไม่อยากกินแล้วพวกเราตรงกลับวัง”

ลมหายใจและกลิ่นอายของเขาทำให้หลินชิงเวยจั๊กจี้

นางลืมตาขึ้นชั่วพริบตาด้วยแววตางงงวย ในแววตายังคงเต็มไปด้วยความง่วงงุน เมื่อนางเห็นร้านสุราร้านนั้นยังมีโคมไฟสว่างอยู่ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด พยักหน้าว่า “กิน ย่อมต้องกิน ข้ารู้สึกว่าข้าหิวกระทั่งกินวัวทั้งตัวก็ยังได้”

ดังนั้นเซียวเยี่ยนจึงควบม้าให้เดินเข้าไปในตรอกช้าๆ เสียงเกือกม้าที่ดังขึ้นในตรอกทั้งไพเราะเสนาะหูและสง่างาม

เสี่ยวเอ้อร์ที่เก็บป้ายร้ายหันมาดู ภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟหน้าร้านเขาเห็นชายหนุ่มสูงศักดิ์คนหนึ่งอยู่บนหลังม้า ในอ้อมกอดยังมีสตรีโฉมงามท่าทางเกียจคร้านคนหนึ่ง จึงได้แต่ตกตะลึงลืมไปว่าควรทำอย่างไร

โดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาร้านสุราในยามดึกล้วนมิใช่คนมีเงิน สุราของที่นี่ไม่ใช่สุราชั้นดีแต่อย่างใด สถานที่แห่งนี้ดูไปแล้วไม่ได้สะอาดสะอ้านเฉกเช่นหอสุราที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทำเลทอง ผู้ที่มาเยือนร้านสุราเหล่านี้ล้วนเป็นคนจากสามลัทธิเก้าอาชีพ[1] ไหนเลยจะมีลูกค้าผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ เสี่ยวเอ้อร์ดูจากอาภรณ์ของคนทั้งคู่ก็รู้ได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ

แม้หลินชิงเวยจะอยู่ในอาภรณ์ของคุณชายน้อย แต่โทษไม่ได้ที่เสี่ยวเอ้อร์จะมองออกว่านางเป็นสตรี ด้วยยามนี้นางปล่อยผมสยายลงมา ปิ่นปักผมของนางร่วงหล่นไปที่ใดไม่รู้ ปรากฏให้เห็นใบหน้างดงามจับตาจับใจ

เสี่ยวเอ้อร์ไม่รู้ว่าคนทั้งสองเพียงแค่เดินผ่านมาทางนี้หรือจะเข้ามาที่ร้านเพื่อดื่มสุรา จึงได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างทึ่มทื่อ

หลินชิงเวยร้องออกมาด้วยความยินดี “พี่ชาย ที่นี่ยังมีเนื้อย่างอีกหรือไม่?”

“มี มี!” เสี่ยวเอ้อร์ถาม “ลูกค้าทั้งสองดื่มสุราหรือไม่?”

เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยลงจากหลังม้า เขาจูงม้าไปผูกไว้แล้วจึงเดินเข้ามาในร้านสุราพร้อมกัน หลินชิงเวยังพูดอีกว่า “เช่นนั้น เจ้านำเนื้อย่างหนึ่งร้อยไม้และเหล้าสาเกหนึ่งกามาให้พวกเราก่อน”

เสี่ยวเอ้อร์มีท่าทีลำบากใจ “เนื้อย่างหนึ่งร้อยไม้ไม่มีปัญหาขอรับ เพียงแต่สุราของร้านเล็กๆ…ล้วนขายเป็นไหขอรับ”

หลินชิงเวยพูดอย่างใจกว้าง “เช่นนั้นเอามาหนึ่งไหก็แล้วกัน”

เสี่ยวเอ้อร์นำสุรามาให้แล้วออกไปย่างเนื้อย่าง เซียวเยี่ยนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลินชิงเวย เขามองนางและพูดว่า “เจ้าแน่ใจว่าเจ้ากินหมดหนึ่งร้อยไม้? ยังดื่มสุรา?”

หลินชิงเวย “ท่านอา มิใช่ยังมีท่านหรอกหรือ ข้าคนเดียวจะกินมากเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าสั่งตามขนาดรูปร่างของท่าน ท่านดูสิ ท่านรูปร่างสูงใหญ่เช่นนี้ กินข้าวมากขนาดนี้ ข้ายังกังวลว่าหนึ่งร้อยไม้อาจจะไม่ค่อยพอ”

เซียวเยี่ยน “…”

เนื้อย่างขึ้นโต๊ะครั้งละยี่สิบไม้ เสี่ยวเอ้อร์ราวกับตั้งอกตั้งใจย่างเนื้อให้กับแขกทั้งสองอย่างยิ่ง เพราะเนื้อย่างที่ย่างยามนี้เทียบกับยามปกติแล้วเขาตั้งใจยิ่งยวด ในเมื่อลูกค้าทั่วไปในยามปกติไหนเลยจะเปรียบเทียบได้

ดังนั้นเมื่อเนื้อย่างถูกนำมาขึ้นโต๊ะ กลิ่นหอมอบอวลแตะจมูก ข้างบนยังมีน้ำมันร้อนๆ ชุ่มฉ่ำ ดูแล้วเป็นอาหารรสชาติโอชะ ทันทีที่หลินชิงเวยเห็นเข้าก็มีความอยากอาหารเต็มที่

นางหยิบเนื้อย่างขึ้นมากัดไม้หนึ่ง คาบไม้เนื้อย่างไว้ในปากแล้วยิ้มกับเสี่ยวเอ้อร์ “พี่ชาย ฝีมือเจ้าไม่เลว”

เสี่ยวเอ้อร์ตอบ “แม่นางชอบก็ดีแล้ว” จากนั้นจึงออกไปย่างเนื้อต่อ

เซียวเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับ เขามองหลินชิงเวยกินตลอดเวลา ราวกับหลินชิงเวยกินอาหารได้เอร็ดอร่อยยิ่งนัก เขาจึงรู้สึกอยากอาหารอยู่บ้างจึงหยิบสุราขึ้นมาจิบคำหนึ่ง เหล้าสาเกนั้นฝาดเฝื่อนและฤทธิ์แรงมาก เขาจึงขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยและถามว่า “อร่อยถึงเพียงนั้นจริงๆ?”

หลินชิงเวยหยิบเนื้อย่างไม้หนึ่งยื่นมาหน้าเขา “อืม ลองกินดู” เซียวเยี่ยนมองอย่างรังเกียจแวบหนึ่งทว่ายังคงไม่ขยับ หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่ค่อยกินเผ็ด แต่ความเผ็ดชนิดนี้เมื่ออยู่บนเนื้อย่างเป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวอย่างยิ่ง ยังกินเคล้าสุรา ก็จะงดงามสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด”

เซียวเยี่ยนยังคงไม่ขยับ อาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้าเขาแทบจะไม่มีแรงดึงดูดอันใด

หลินชิงเวยไม่ยอมรามือ หยิบเนื้อย่างใส่ปากเขา บนริมฝีปากเขามีคราบน้ำมันพริกสีแดงเปื้อนอยู่ หลินชิงเวยกล่าว “ท่านลองกินดูสิ”

เซียวเยี่ยนขัดใจนางไม่ได้ ได้แต่กัดไปคำหนึ่งแล้วค่อยๆ เคี้ยว

หลินชิงเวยหรี่ตาลงถามว่า “อร่อยมากใช่หรือไม่?”

“ธรรมดา” เซียวเยี่ยนกินเนื้อย่างไม่อีกหลายไม้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อีกทั้งเมื่อกินกับเหล้าสาเกก็ไม่รู้สึกว่าเหล้าสาเกนั้นฤทธิ์แรงแต่อย่างใดอีก ในทางกลับกันกลับให้ความรู้สึกลื่นคอ เขาพูดทำลายบรรยากาศขึ้นมาว่า “เมื่อสักครู่สะอิดสะเอียนจนกระทั่งอาเจียน คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังกินได้เอร็ดอร่อยเช่นนี้”

หลินชิงเวยสะบัดกายขนลุกถลึงตาใส่เขา “ท่านมิใช่กินเนื้อย่างอย่างมีความสุขหรือ?”

เซียวเยี่ยนหลุบดวงตารูปหงส์คู่นั้นลงต่ำ ริมฝีปากถูกพริกลวกปากเสียจนกลายเป็นสีแดงเข้มเป็นสีสันที่ชวนมองยิ่ง เขายกจอกสุราขึ้นจิบเบาๆ ริมฝีปากนั้นคล้ายมีคล้ายไม่มีรอยยิ้มติดอยู่

ยามนี้พวกเขานั่งกินข้าวอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบนิ่ง แสดงให้เห็นว่าคนทั้งสองล้วนแข็งแกร่งเพียงพอ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาพบเห็นภาพในโลงหินคาดว่าคงกินข้าวไม่ได้ไปหลายวันเป็นแน่

เนื้อย่างหนึ่งร้อยไม้ ฟังดูแล้วเหมือนจะมากเกินไปจริงๆ แต่หลินชิงเวยกินไปไม่ต่ำกว่าห้าสิบไม้ ที่เหลือล้วนตกลงไปในท้องของเซียวเยี่ยน

หลินชิงเวยดื่มสุราไปไม่น้อยเช่นกัน สุราไหหนึ่งดื่มจนเห็นก้นไห แม้สุรานี้จะไม่ทำให้คนเมามาย แต่หลินชิงเวยอยู่ในวังปกติดื่มสุราน้อยยิ่ง ต่อมาภายหลังใบหน้าเล็กๆ นั้นจึงแดงก่ำด้วยความเมามาย แม้กระทั่งสายตาที่นางมองเซียวเยี่ยนก็แปรเปลี่ยนเป็นลุ่มหลงหมื่นส่วน อีกทั้งยังหัวเราะตลอดเวลา

หลินชิงเวยร้อนจนทนไม่ไหวจึงยกมือขึ้นปัดเส้นผมบนไหล่ของตน นางถามขึ้นว่า “ท่านอา ปิ่นปักผมของข้าเล่า?”

หากปิ่นหยกอันนั้นตกอยู่ในสถานที่เปลี่ยวนอกเมืองเช่นนั้นย่อมไม่เป็นการดี ที่จริงหลินชิงเวยรู้ว่าเขาแอบเก็บกลับมา เซียวเยี่ยนยื่นปิ่นปักผมออกมาให้นางหน้าตาย นางรวบผมหลายครั้งก็ไม่อาจทำสำเร็จ ไม่รู้ว่าเส้นผมของนางลื่นเกินไปหรือเป็นเพราะมือของนางไม่มีแรง รวมผมแล้วเส้นผมก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ดี จอนผอมเอียงไปมาดูไปแล้วให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง

“กินอิ่มแล้วหรือไม่?”

หลินชิงเวยตบๆ หน้าท้องของตน “อื้อ ยังขาดอีกนิดหน่อย”

เซียวเยี่ยนวางเงินลงบนโต๊ะ ลากหลินชิงเวยออกไป “กลับกันเถอะ”

เสี่ยวเอ้อร์จ้องมองบนโต๊ะมีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เขาพูดขึ้นว่า “ลูกค้า ยังไม่ได้ทอนเงินให้ท่าน”

“ไม่ต้องทอนแล้ว รางวัลเจ้า” เซียวเยี่ยนไปจับจูงม้าโดยไม่หันกลับมา จากนั้นอุ้มหลินชิงเวยขึ้นไปบนหลังม้าแล้วบังคับม้าหันกลับแล้วออกจากตรอกเล็กๆ แห่งนั้น

[1] สามลัทธิ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า, เก้าอาชีพ หรือเก้ากระแส หรือเก้าสาขาอาชีพ แบ่งเป็นเป็นสามระดับ ได้แก่ ระดับที่หนึ่ง ( 9 สาขาอาชีพระดับบน) คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์, เซียน, จักรพรรดิ, ขุนนาง, คนต้มสุรา, โรงรับจำนำ, พ่อค้า, เจ้าของที่ดิน และชาวนา ระดับที่สอง (9 สาขาอาชีพระดับกลาง) คือ บัณฑิต, แพทย์, หมอดูฮวงจุ้ย, หมอดูพยากรณ์โชคชะตา, จิตรกร, หมอดูลักษณะนรลักษณ์, ปัญญาชน, หลวงจีนพุทธศาสนา, นักพรตลัทธิเต๋า ระดับที่สาม (9 สาขาอาชีพระดับล่าง) คือ หมอผี เขียนเลขยันต์, นางคณิกา, ม้าทรง, ยามรักษาการณ์, กัลบกหรือช่างตัดผม, นักดนตรี, นักแสดงปาหี่, กระยาจก, คนขายน้ำตาลเป่า