บทที่ 134 อยากทะเลาะวิวาทหรือ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยดื่มสุราไปเล็กน้อย จิตใจในยามนี้จึงลอยละล่องไปไกล ไม่ยอมอยู่อย่างสงบในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนควบคุมนางไม่ได้เห็นนางร่ายรำไปมา ร้องรำทำเพลงทั้งยังเกือบจะลุกขึ้นมากระโดดบนหลังม้า

เซียวเยี่ยนเพิ่งจะได้คิดว่าเขาไม่ควรปล่อยให้สตรีคนนี้ดื่มสุรา ยามนี้ดียิ่งนักเหมือนเด็กน้อยสามขวบก็ไม่ปาน

“อย่าดื้อ” เซียวเยี่ยนพูดเสียงต่ำใส่นาง

หลินชิงเวยกลับหันกายกลับมานั่งหันหน้าเข้าหาเซียวเยี่ยน นางฉีกปากแดงเรื่อมองเขาอย่างไม่พึงใจ ยกมือขึ้นบีบแก้มของเซียวเยี่ยน

เซียวเยี่ยนหายใจเข้าลึกๆ เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากเต้นตุบๆ

หลินชิงเลยใช้มือทั้งสองข้างบีบแก้มของเซียวเยี่ยนแล้วดึงออกด้านข้าง เพียงชั่วครู่ใบหน้าหล่อเหลานั้นถูกนางบีบเสียจนเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง

“หลิน ชิง เวย”

หลินชิงเวยยิ้มจนตาโค้งลงเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว ถามเสียงใสว่า “อย่างไรเล่า หลังจากดื่มสุราแล้วมิใช่สมควรร้องรำทำเพลงหรอกหรือ?” พูดแล้วก็ร้องเพลงเสียงสูงยิ่งกว่าเดิม

ถนนสายนี้เงียบเกินไป เสียงของหลินชิงเวยที่ดังขึ้นก้องกังวานไปทั่ว ไหนเลยจะคิดว่าเป็นการรบกวนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามสองข้างทาง สุนัขที่เลี้ยงไว้ในเรือนด้านหลังลุกขึ้นมาเห่าหลายครั้ง เสียงเด็กน้อยตกใจตื่นร้องไห้จ้า

ยังมีเสียงอ่างสำริดร่วงลงสู่พื้นดังเคร้งๆ พร้อมด้วยเสียงด่าทออย่างมีโทสะ “กลางดึกกลางดื่นไม่หลับไม่นอนมาร้องโหยหวนเป็นผี เสียสติหรือไร!”

หลินชิงเวยนั้นกำลังอยู่ในอารมณ์คึกคะนองจึงย้อนกลับไปว่า “เจ้าน่ะสิเสียสติ! เสียสติหมายถึงเส้นประสาทไม่ปกติทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย อาการที่ปรากฏให้เห็นก็คือสมองไม่ทำงานโง่งม ทึ่มทื่อ! ข้าดูเจ้าแล้วน่าจะสมองอัมพาตกระมัง!”

“แน่จริงเจ้าก็รออยู่นั่น! อย่าหนีนะ!” คนที่ออกมาด่าทอถูกหลินชิงเวยพูดเสียจนเกิดโทสะแล้ว เขาต้องการออกมาสั่งสอนคน

โคมไฟของเรือนข้างๆ ถูกจุดสว่างขึ้น

เซียวเยี่ยนปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก จึงหวดแส้ม้าให้โผนทะยานออกจากถนนสายนั้น ก็มีคนออกมาจากเรือนอย่างเร่งรีบ เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่อนบนไม่ได้สวมเสื้อเป็นคนเจ้าเนื้อคนหนึ่ง เห็นม้าวิ่งออกไปไกลมากแล้วจึงได้แต่ยืนด่าทออยู่ที่นั่น

หลินชิงเวยดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน “ท่านอย่าขัดขวางข้า ให้ข้าลงไปสั่งสอนเขาเสียบ้าง ข้าจะสั่งสอนเขาจนจำบิดามารดามารดาไม่ได้ทีเดียว”

“อย่าก่อเรื่อง”

ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ขอบฟ้าปรากฏให้เห็นสีขาวราวกับท้องปลา ณ ขอบฟ้านั้นได้ปรากฏให้เห็นแสงทองแสงแรกจางๆ ชั้นหนึ่ง ดูแล้ววันนี้อากาศน่าจะสดใสอย่างยิ่ง

เมื่อคิมหันตฤดูใกล้จะมาถึง ท้องฟ้าจะสว่างเร็วขึ้นเสมอ

เมื่อผ่านประตูวังเข้าไปท่าทีของหลินชิงเวยจึงนับได้ว่าสงบลง นางกินเสียอิ่มแปล้นอนหลับไปเมื่อใดไม่รู้ ซ้ำยังส่งเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆ

เซียวเยี่ยนส่งนางกลับไปยังตำหนักฉางเหยี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเห็นจากผู้อื่นจึงตรงไปยังเรือนของหลินชิงเวย เขาวางนางลงบนเตียงแล้วยืนอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่งจึงจากไป

ฟ้าสางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

มีคนมาปลุกนางให้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ เพียงแต่เมื่อนางลืมตาขึ้นนั้นอาการปวดศีรษะราวกับจะร้าวก็โจมตีเข้ามา เพดานบนเตียงนอนที่อยู่เบื้องหน้าสายตากลับหมุนเป็นวงกลม

หลินชิงเวยประคองหน้าผากของตนลุกขึ้น นางนอนได้ไม่นานนักผนวกกับเมื่อคืนดื่มสุราทำให้มีท่าทีอิดโรยอย่างยิ่ง

เมื่อซินหรูก้าวเข้ามาในห้องจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่สาว เซ่อเจิ้งอ๋องมาถึงแล้วเจ้าค่ะ กำลังรออยู่ในห้องโถงด้านหน้า”

หลินชิงเวยไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซินหรูผิดจากยามปกติ ซีดขาวเล็กน้อย และเกือบจะเขียวอยู่บ้าง

หลินชิงเวยรีบล้างหน้าล้างตากินอาหารเช้าเล็กน้อยแล้วไปพบเซียวเยี่ยนที่ห้องโถงด้านหน้า

คนทั้งสองเดินออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนด้วยกัน แสงตะวันยามเช้าตรู่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทิ่มแทงสายตา หลินชิงเวยหรี่ตาลงยกมือขึ้นป้องคิ้วของตนและถามขึ้นว่า “เมื่อคืนกลับมาเมื่อใด? ไยข้าจึงจำไม่ได้เลย?”

แสงตะวันที่สาดส่องทำให้ใบหน้าของเซียวเยี่ยนเกือบจะโปร่งแสง เขามองหลินชิงเวยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “อย่างไรเล่า เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้เจ้ากลับลืมเสียได้? เปิ่นหวางคิดว่าเจ้าน่าจะนึกออกและนำมาเตือนตนเองตลอดเวลา”

หลินชิงเวยตกตะลึง “ดูจากสายตาของท่านถึงกับรังเกียจข้า” ทันทีที่ตกอยู่ในภวังค์เซียวเยี่ยนก็เดินไปข้างหน้าเสียแล้ว หลินชิงเวยเร่งฝีเท้าก้าวตามมา “เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

“เจ้าดื่มสุรา”

“จากนั้นเล่า?”

“กอดโต๊ะร้องไห้ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ”

“…” หลินชิงเวยรู้สึกว่าแสงแดดในวันนี้แรงเหลือเกิน แรงเสียจนนางรู้สึกตาพร่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่ได้เป็นคนดื่มสุราแล้วขาดสติเช่นนั้น”

“เจ้าดื่มสุราจนความจำดับวูบ ยังเชื่อว่าตนเองดื่มสุราแล้วไม่ขาดสติ?”

“ช่างเถิดๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเราคุยเรื่องสำคัญเถิด”

หลินชิงเวยหยิบขวดออกมาแล้วปล่อยหนอนออกมา ภารกิจสำคัญในวันนี้ก็คือจับตัวฆาตรกร

คนทั้งสองเดินตามหนอนตัวนั้นไป เมื่อเดินผ่านป่าต้นไทรนางรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง เมื่อนางเดินผ่านต้นไทรต้นหนึ่งเห็นด้านหลังต้นไทรยังมีก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง รากของต้นไทรนั้นห้อยตกลงมาเป็นวงกลม นางจดจำได้ นี่เป็นสถานที่ที่นางสังหารองครักษ์ผู้นั้น ขณะเดียวกัน…ยังเป็นสถานที่ที่นางได้พบกับยวนยางท่ามกลางน้ำค้างคู่นั้นอีกด้วย

ในที่สุดเมื่อเดินมาใกล้จะสุดปลายทาง ท่ามกลางเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวไปมา ด้านหน้าปรากฏให้เห็นเรือนหลังเล็กที่แยกออกมาต่างหากหลังหนึ่ง

ใจของหลินชิงเวยพลันรู้สึกหนักอึ้ง หากหนอนตัวนี้เข้าไปที่นั่นแล้วละก็…ฆาตรกรก็ไม่ต้องคาดเดาแล้ว แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่ายังเดินไปไม่ถึงจุดหมาย ข้างหลังพลันเกิดเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น

หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนหันกลับไปมองเห็นขันทีวิ่งมาทั้งเหงื่อโทรมกาย ร้องเรียกเสียงดังตลอดทางแต่ไกล “แย่แล้ว! แย่แล้ว! เซ่อเจิ้งอ๋อง ตำหนักซวี่หยาง ตำหนักซวี่หยางเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ทั้งสองมีสีหน้าตกตะลึง

หลินชิงเวยรีบเก็บหนอนตัวนั้นขึ้นมา หันกลับมาอีกครั้งเห็นเซียวเยี่ยนหันกายเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้รอนางให้ไปพร้อมกันด้วยซ้ำ

ขันทีผู้นั้นเหงื่อไหลท่วมตัว สามารถตามหาพวกเขามาถึงที่นี่ไม่รู้เป็นเพราะเขามีความสามารถหรือเป็นความบังเอิญกันแน่

ชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นเซียวเยี่ยน หลินชิงเวยได้แต่เดินกลับไปตำหนักซวี่หยางพร้อมกับขันที ระหว่างทางนางถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตำหนักซวี่หยางป้องกันแน่นหนาไฉนจึงเกิดเหตุวุ่นวายได้?”

ขันทีทางหนึ่งเช็ดเหงื่อไปอีกทางหนึ่งพูดว่า “ตำหนักซวี่หยางมีการรักษาการอย่างเข้มงวดแน่นอนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่คนที่ไปนั้นเป็นแม่นางข้างกายเจาอี๋เหนียงเหนียงที่ชื่อ ซินหรู…”

หลินชิงเวยงงงันทันที “เจ้าว่าอะไรนะ? ผู้ที่ทำให้ตำหนักซวี่หยางเกิดความวุ่นวายเป็นผู้ใดกัน?”

หลินชิงเวยสามารถเข้าออกตำหนักซวี่หยางได้อย่างอิสระ เซียวจิ่นปฏิบัติต่อซินหรูโดยไม่ป้องกันแม้แต่น้อย แน่นอนว่าย่อมต้องเข้าออกอย่างอิสระเช่นกัน แต่หลินชิงเวยยังไม่อยากจะเชื่ออยู่นั่นเอง

ขันทีมองนางแล้วพูดว่า “เป็นซินหรู เป็นซินหรูไม่ผิดแน่ ทันทีที่นางเข้าไปก็ลงมือสังหารอย่างบ้าคลั่ง…เฮ้อ เจาอี๋เหนียงเหนียง…”

ยังไม่ทันได้พูดจบ หลินชิงเวยใช้เรี่ยวแรงวิ่งไปข้างหน้าเท่าที่จะเร็วได้ในยามปกติ ขันทีผู้นั้นได้แต่วิ่งตามมาข้างหลังอย่างจนปัญญา

กระทั่งเงาร่างของคนวิ่งออกไปไกลแล้ว เสียงประตูเปิดดังเอี๊ยดของทิงจู๋เซวียนก็ดังขึ้น นางกำนัลนางหนึ่งโผล่ศีรษะออกมาข้างนอก จากนั้นหันกลับไปรายงานเจ้าของนางว่า “เหนียงเหนียง คนไปแล้วเพคะ”

เมื่อหลินชิงเวยวิ่งไปถึงตำหนักซวี่หยาง ด้านนอกถูกองครักษ์ล้อมไว้อย่างแน่นหนา คิดดูแล้วน่าจะเป็นคำสั่งของเซียวเยี่ยน ให้พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี่โดยไม่วู่วาม หากผู้ที่มาคือซินหรูคนเดียว เซียวเยี่ยนย่อมจัดการได้

แต่เหตุใดซินหรูจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้? หากเป็นเพราะ…หลินชิงเวยหนักใจยิ่งยวด หากเซียวจิ่นไม่ได้ป้องกันซินหรู หากเกิดอันตรายขึ้นเล่า