ตอนที่ 197 โทษเธอที่ปิดบังเขา?

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 197 โทษเธอที่ปิดบังเขา?

จิ่งเป่ยเฉินได้ยินแต่เพียงเสียงสัญญาณที่ถูกตัดไปดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ แต่หูของเขานั้นก็ยังคงมีเสียงสุดท้ายที่เธอจูบและเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับเขา

เขาวางโทรศัพท์ลงด้วยมือซ้าย ก่อนจะมองดูขวดไวน์ในมือขวาและวางมันลงไป

วันรุ่งขึ้นหลินจือเซี๋ยวรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ตนเองได้เป็นผู้จัดการแผนกบุคคล ที่จิ่งเป่ยเฉินเรียกตนให้ไปหาที่ห้องทำงาน และเธอก็รู้สึกเหมือนกำลังจะมีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ

ดูเหมือนว่าเมื่อวานและเมื่อนานมาแล้วเธอจะไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลยไม่ใช่เหรอ หรือจะเป็นเรื่องของอันโหรว จะโทษที่เธอนั้นปิดบังเขางั้นเหรอ?

เธอขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินอย่างสั่น ๆ กลัว ๆ เมื่อเห็นบิ๊กบอสกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ประธานจิ่ง!”

จิ่งเป่ยเฉินที่กำลังอ่านเอกสารตรงหน้าอยู่ เมื่อได้ยินเสียงของเธอก็ไม่ได้ขานรับแต่อย่างใด เขาเลื่อนปากกาในมือไปเซ็นในจุดที่สำคัญต่อไป

บิ๊กบอสทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? อยากให้เธอยอมรับความผิดหรือพูดความผิดออกมาเองอย่างนั้นเหรอ?

เธอลดสายตามองไปยังใบหน้าอันแสนเย็นชาของเขา ก่อนจะจัดระเบียบความคิดอยู่ภายในใจและพูดว่า “ประธานจิ่ง เรื่องของโหรวโหรว ไม่สิ ที่ฉันจะพูดคือเรื่องของอันอีหาน ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของเธอนะคะ”

เพราะงั้นอย่ามาตำหนิเธอเชียวนะ!

ปากกาที่อยู่ในมือจิ่งเป่ยเฉินถูกวางลงไปบนโต๊ะทันทีที่เธอพูดจบ

หลินจือเซี๋ยวตัวเริ่มสั่นเทา ก่อนจะรีบพูดว่า “ประธานจิ่ง! ฉันผิดไปแล้วค่ะ!”

โหรวโหรว เธอรีบมาช่วยฉันเร็วเข้า! บิ๊กบอสจะเอาชีวิตของฉันไปแล้ว!

จิ่งเป่ยเฉินเปิดลิ้นชักออก ก่อนจะหยิบกุญแจขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ พลางเหลือบสายตามองเธอด้วยสีหน้าและแววตาที่ไร้อารมณ์ “บริษัทได้จัดบ้านพักไว้ให้เธอแล้ว วันนี้เตรียมย้ายออกได้เลย!”

บ้าน? อะไรกัน บริษัทมีสวัสดิการดี ๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

บิ๊กบอส คุณจำเป็นต้องปรึกษาภรรยาของคุณก่อนหรือเปล่า ถ้าเธอรู้ว่าฉันย้ายออกไป เดี๋ยวจุดต่อไปก็น่าสังเวชกันพอดี

“ไม่ย้ายได้ไหมคะ?” เธอไม่กล้ามองหน้าเขาจริง ๆ แต่ก็ยังทำใจกล้าเอ่ยถามประโยคที่ต้องใช้ความกล้าหาญของเธอเกือบทั้งหมดในวันนี้

แต่คำตอบที่เธอได้รับกลับเป็นประโยคคำถามที่เธอไม่ต้องคิดลังเลในการหาคำตอบเลยสักนิด “คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

“ฉันเข้าใจแล้ว!” เธอรีบคว้ากุญแจที่อยู่บนโต๊ะและเดินออกไปข้างนอกทันที

เมื่อกำลังเดินไปที่ประตู คนที่อยู่ข้างหลังก็เอ่ยขึ้นอีกประโยคว่า “สิ่งที่ไม่ควรพูดก็ไม่จำเป็นต้องให้ผมสอนคุณก็ได้นะ!”

“เข้าใจแล้วค่ะ!” ดูเหมือนว่าเมื่อโหรวโหรวกลับบ้านตอนดึกน่าจะรับรู้แล้วแน่ ๆ

วันนี้อันโหรวตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง เนื่องจากหุ้นของบริษัทสกุลฮั่วได้ถูกระงับ คาดว่าพรุ่งนี้อาจจะมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่โผล่เข้ามา ซึ่งคนคนนั้นก็…..

เธอเหลือบมองไปดูเวลา ก่อนจะเก็บข้าวของและเตรียมตัวออกไปรับหยางหยางและหน่วนหน่วน แต่ทันทีที่ออกจากประตูห้องทำงานก็เห็นจิ่งเป่ยเฉิยยืนรออยู่ที่ประตู

ชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีตนั้นทำให้รูปร่างของเขานั้นดูสมส่วน ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นกำลังจ้องมาเธอ

ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เขาก็ชิงเอ่ยปากพูดก่อนว่า “ไปด้วยกันเถอะ”

“ไปกันเถอะ!” ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่สามารถกีดกันเขาจากสิทธิ์ของการไปรับลูกได้ สถานที่ที่เป็นโรงเรียนอนุบาลนั้น คนอื่น ๆ ทั่วไปล้วนสามารถไปได้ทั้งนั้น

เมื่อจิ่งเป่ยเฉินได้ยินเธอตอบตกลงอย่างรวดเร็วก็แอบรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่ความประหลาดใจนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความสุขอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงโรงเรียนอนุบาลสายรุ้ง เวลานี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนต่างก็มารอรับลูก ๆ ที่หน้าโรงเรียน

อันโหรวหันหน้าไปมองเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นายจะรออยู่ที่นี่ไหม?”

เขาดับเครื่องยนต์ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกและพูดว่า “ไปด้วยกัน”

เขามาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อที่จะอยู่แต่บนรถเพียงอย่างเดียวแน่นอน

“ตอนนี้ที่นี่มีคนอยู่เยอะ ฉันกลัวว่านายจะถูกแอบถ่ายรูป” เมื่อครู่ตอนอยู่บริษัททำไมเธอถึงได้ลืมเรื่องพวกนี้ไปได้นะ

“ถ้าถูกถ่ายแล้วมันจะยังไง?” ข่าวซุบซิบของเขาและเธอก็แพร่กระจายไปทั่วบริษัทตั้งนานแล้วด้วย

“ก็ได้ ในเมื่อนายยังไม่สนใจ แล้วฉันต้องสนใจมันทำไม?” เชื่อเสียงของเขานั้นสำคัญกว่าเธอมากด้วยซ้ำ

ในที่สุดทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาลด้วยกัน ภายในนั้นมีผู้คนอยู่เต็มไปหมด พวกเขาต่างกำลังจับจ้องมาที่พวกเขาและเอ่ยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา

ประโยคที่อันโหรวได้ยินมากที่สุดก็คงจะเป็น “หนุ่มหล่อกับสาวอัปลักษณ์” เพียงแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ส่วนเธอเองก็ทำเพียงก้มหน้าและยิ้มออกมา แต่จู่ ๆ มือใหญ่ก็แนบชิดโอบมาที่เอวของเธอ

“พวกเรามารับลูก ไม่ใช่มาเพื่อแสดงความรักนะ” คนอื่นพูดเพียงไม่กี่คำ คำพูดพวกนี้เธอล้วนเคยชินกับมันจนหมดแล้ว และก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรนัก

“ตามสบายเถอะ”

สรุปจะมาที่นี่เพื่อรับลูกหรือตั้งใจจะมาแสดงความรักให้คนอื่นเห็นกันแน่? เธอชักจะสงสัยแล้วสิ

อันหน่วนเห็นพวกเขาเดินมาด้วยกันก็รีบตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “แม่จ๋า พ่อจ๋า!!”

หยางหยางที่อยู่ข้างกายได้ยินเสียงของเธอก็รีบมองไปตรงจุดที่พวกเขาเดินมาด้วยกัน ก่อนจะเริ่มคิดว่าแม่จ๋านั้นชื่นชอบเขามากเลยเหรอ?

“หน่วนหน่วน! หยางหยาง!” เธอหลบจากการโอบเอวของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปหาลูก ๆ

ที่แท้การมารับลูกตอนเลิกเรียนมันมีความสุขมากจริง ๆ โดยเฉพาะเวลาที่ได้เห็นหน่วนหน่วนเดินอยู่ข้าง ๆ เธอแบบนี้ ทั้งยังแสดงสีหน้าท่าทางอย่างมีความสุข มันช่างดูน่ารักจนหัวใจของเขานั้นเกิดความประทับใจจนแทบจะพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่เขาก็ยังรู้สึกเกลียดตัวเองอยู่ ตรงที่หาพวกเขาเจอช้าไป ถ้าหากได้พบเจอตั้งแต่ตอนนั้น บางทีสถานการณ์มันอาจจะแตกต่างกับตอนนี้ก็เป็นได้

“แม่จ๋า นี่เป็นขนมที่พี่กับหนูได้มา ให้แม่ค่ะ!” หน่วนหน่วนถือลูกอมหลายสีหกเม็ดอยู่ในมือ ก่อนจะยื่นให้กับเธอ แต่ทันใดนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง มือเล็ก ๆ ของเธอจึงหันไปยื่นให้จิ่งเป่ยเฉินที่เดินเข้ามาพอดี ก่อนจะพูดว่า “แม่จ๋าไม่ชอบกินขนม ให้พ่อจ๋านะ!”

บิ๊กบอส คุณรู้ไหมว่านี่หมายความว่ายังไง? หมายความว่าเธอไม่อยากได้ในสิ่งที่เธอไม่ต้องการน่ะสิ

“ขอบคุณนะ” ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อันโหรวมอบให้เขา แต่เขาก็ยังมีความสุขอยู่ดี ลูกอมเล็ก ๆ สองสามเม็ดพวกนี้ถือได้ว่าเป็นตัวแทนความรักจากลูกสาวของเขา

“ไม่เป็นไรค่ะ! หน่วนหน่วนชอบพ่อจ๋ามาก!” หลังจากที่เธอพูดจบก็ถูกจิ่งเป่ยเฉินอุ้มเดินออกไปข้างนอก

อันโหรวจูงมือหยางหยางเดินตามหลังพวกเขาไป แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่ได้เจอความสงบสุขอยู่ตลอด ระหว่างที่พวกเขาเดินออกมานอกรั้วโรงเรียนก็ได้พบกับฮ่าวเหล่ยเข้าพอดี

เธอกำลังยืนคุยอยู่กับพ่อแม่คนอื่น ๆ และเมื่อได้ยินหน่วนหน่วนเรียกจิ่งเป่ยเฉินว่าพ่อจ๋า เธอจึงหันมามองพวกเขาทันที “ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ว่า……”

“ผอ.ฮ่าว พวกเราขอตัวก่อน ขอบคุณที่ช่วยดูแลเด็ก ๆ นะคะ” อันโหรวรีบขัดจังหวะก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

“ได้ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ” ฮ่าวเหล่ยเข้าใจความหมายของเธอจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

เธอแอบเหลือบมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินด้วยท่าทางที่หวาดกลัว ก่อนจะเห็นเขาอุ้มหน่วนหน่วนให้เข้าไปนั่งในรถ ท่าทางของเขานั้นดูอ่อนโยนมากจริง ๆ เธอคิดว่าเขาคงไม่ได้สังเกตอะไรกับคำพูดของตัวเองหรอกมั้ง

เธอแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อเธอกับถังซั่วไม่ได้มีอะไรกัน ทำไมเธอต้องกังวลว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ด้วย มันน่าแปลกจริง ๆ

ระหว่างทางกลับบ้าน เธอพูดกับพวกเขาบางครั้งบางครา ก่อนจะหันไปมองจิ่งเป่ยเฉินที่ขับรถด้วยท่าทีที่จริงจัง ตอนนี้ภายในรถเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีความสุข มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เรียบง่ายมากจริง ๆ และตอนนี้ความสุขนั้นก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว

เมื่อถึงบ้านของหลินจือเซี๋ยว เธอเงยหน้าไปมองเขา ก่อนจะลังเลอยู่ชั่วครู่และเอ่ยถามไปว่า “อยากจะเข้าไปนั่งข้างในไหม?”

“ได้!” เขาตอบกลับด้วยความรวดเร็ว เพราะกลัวว่าเธอนั้นจะเปลี่ยนใจ

เธอนิ่งไปสักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ก่อนจะเปิดประตูรถและลงมาทันที

หลังจากที่เข้าไปในห้อง เธอเหลือบมองนาฬิกา พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานซื้อกับข้าวมาค่อนข้างเยอะ วันนี้เลยไม่มีความคิดที่จะออกไปกินข้าวข้างนอกอีก จึงอยากให้บิ๊กบอสได้ทำตามวิถีชาวบ้านดูบ้าง นั่นคือการทำอาหารกินกันที่บ้าน

“หนูไปเล่นกับพ่อนะ เดี๋ยวแม่ขอไปทำอาหารก่อน โอเคนะคะ?” เธอนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหยางหยางและพูดด้วยรอยยิ้ม

หน่วนหน่วนนั่งอยู่ที่โซฟากับจิ่งเป่ยเฉินอยู่แล้ว พวกเขากำลังเลือกการ์ตูนกันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่ได้กังวลเท่าไร เธอจะกังวลอย่างมากก็แค่ตัวหยางหยางเท่านั้น

อันหยางพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “แม่จ๋า ผมจะปกป้องแม่เอง”

“แม่จ๋าไม่ได้ถูกรังแกนะคะ แต่ถ้าหากว่าลูกคิดจะรังแกพ่อเขาละก็ แม่จ๋าจะไม่ช่วยเขาแน่นอน” เธอพูดจบก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เฉียบคมของเขาที่จ้องมองมา

เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา ดวงตาสีน้ำตาลราวกับจะบอกว่าใครใช้ให้นายมีข่าวซุบซิบมากมายแบบนั้นกัน ไม่แปลกหรอกที่จะถูกคนเขาเกลียด