ตอนที่ 198 คนว่างงาน

มุมปากของจิ่งเป่ยเฉินยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับเธอไปว่า “คืนนี้จะจัดการให้เอง”

เธอจ้องมองเขาอยู่ชั่วครู่โดยไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเท่าไรนัก

“ผมไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายขนาดนั้นหรอก” หยางหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“อืม เด็กดี” เธอลูบหัวลูกชาย ก่อนจะเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหาร

เรื่องของนั่งเล่นที่ตอนนี้มีทั้งสามคนอยู่ แม้ว่าเธอจะรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ก็รีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป เพราะคิดว่าคงไม่น่าจะมีอะไรแน่ ๆ

เธอลงมือหั่นผักและล้างมันในคราเดียว เพียงแต่ช่วงเวลานั้นเองที่หางตาของเธอเหลือบไปเห็นชายร่างสูงที่ใส่ชุดสูทสีดำกำลังยืนอยู่ที่ประตู

“ห้องครัวเป็นพื้นที่สำคัญ ไม่อนุญาตให้คนว่างงานเข้า” เธอพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง

เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ฉันไม่ใช่คนว่างงานเสียหน่อย…..”

คำว่าเสียหน่อยของเขานั้นลากยาวมาก รู้สึกเหมือนกับมีอารมณ์มากมายที่อธิบายไม่ถูก

เธอยังคงผัดเนื้อปลาในกระทะต่อไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร

ทันใดนั้นเธอก็ถูกคนที่อยู่ข้างหลังโอบกอดเอาไว้ เธอหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่มือจะหยุดทำทุกอย่างและพูดขึ้น “จิ่งเป่ยเฉิน นายไปให้ไกล ๆ หน่อย!”

เขาไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยเธอ แต่กลับกอดรัดแน่นขึ้น แก้มของเขาขยับเข้าไปใกล้หูของเธอและพูดขึ้นว่า “เธอกับถังซั่วสนิทกันมากเลยเหรอ?“

หน่วนหน่วน นี่ลูกเอาอะไรให้พ่อหนูดูเนี่ย? หรือพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดออกไปกัน?

หรือจะเป็นหยางหยางที่ไม่ชอบตัวจิ่งเป่ยเฉินอยู่แล้ว เลยพูดเรื่องถังซั่วขึ้นมา?

“ไม่เท่านายหรอก” เธอปิดไฟ ตอนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขามันเหมือนกับมีการทดสอบบางอย่าง เธอตักอาหารใส่จานพลางคิดถึงเรื่องเหล่านี้

“คุ้นเคยแค่ไหน?” เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะมีพวกพี่ชายน้องชายที่ใจกว้างและคอยช่วยเหลือเขาในเรื่องต่าง ๆ อย่างด้านงานกีฬาแบบนี้ด้วย

แต่สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คงเป็นผู้หญิงคนนี้ที่มองหาถังซั่วไม่ใช่เขา

พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ!

“เนื้อยังไม่สุกห้าส่วน ได้ไม่คุ้มเสียเลย” เธอนำมันวางใส่ไว้ในจาน ก่อนจะตั้งพักไว้

จิ่งเป่ยเฉินโอบเธอเข้ามาใกล้ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน สองมือของเขาจับตู้ตรงหน้าเอาไว้ ก่อนจะก่อนค่อย ๆ ดันเธอให้แนบชิดและโอบกอดเธอไว้ ดวงตาสีดำสนิทตอนนี้ราวกับมีเปลวไฟที่ลุกโชนปรากฏขึ้น

“ถ้านายไม่กินข้าว แต่ลูก ๆ ต้องกินข้าว อย่าทำให้ฉันทำอาหารช้า มีธุระอะไรไว้พวกเราค่อยมาคุยกัน OK?” เธอยกมือขึ้นเพื่อวาดท่าทาง OK ออกมา ใบหน้าสีเหลืองขี้ผึ้งที่ซีดเซียวกับน้ำเสียงอันสดใส ดูแล้วมันช่างแปลกตา แต่รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าก็เป็นรอยยิ้มที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด

เธอไม่อยากจะพูดเรื่องถังซั่วกับเขาในเวลานี้เท่าไรนัก

ในที่สุดเขาก็เอามือออกไปจนได้ แต่สายตาของเขานั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวเธอ “ก็ได้”

ทันทีที่เธอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะหมุนตัวไปเตรียมอาหารต่อ เมื่อเปิดไฟก็เทน้ำมันลงไปในหม้อ โดยที่คนด้านข้างยังไม่ได้ออกไปไหน เธอจึงพูดขึ้นว่า “ทำไมไม่ออกไปก่อน เดี๋ยวควันมันจะทำให้มีกลิ่นติดไปนะ”

“เครื่องดูดควันก็ทำงานอยู่” แถมยังถูกเปิดอยู่ด้วย เห็นทีเธอคงต้องหาบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ได้

“สิบนิ้วก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยนะบิ๊กบอส ช่วยออกไปหน่อยได้ไหม มันเกะกะตอนฉันทำงาน!” ยิ่งเขามองแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกดดันมากขึ้น

สุดท้ายเขาก็ถอยหลังออกไปหลายก้าว ก่อนจะเอนหลังพิงประตูเพื่อดูเธอทำอาหาร ในความทรงจำของเขา เธอทำอาหารแทบจะไม่เป็น แต่ตอนนี้กลับดูคล่องแคล่วมากขึ้น สงสัยตอนอยู่ที่ต่างประเทศไม่มีคนคอยทำให้ ทั้งยังต้องดูแลลูกทั้งสองคนอีก

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเกลียดเธอ เกลียดที่ตอนนั้นเธออยู่ในช่วงลำบากและไม่คิดจะมองหาเขาเลยแม้แต่น้อย

“จือเซี๋ยวทำไมยังไม่กลับมาอีกนะ?” เมื่อเธอทำอาหารจานสุดท้ายเสร็จก็เหลือบมองไปที่ประตู

จิ่งเป่ยเฉินตอบโดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า “เธอน่าจะทำงานล่วงเวลา”

ช่วงนี้ที่บริษัทงานค่อนข้างยุ่งขึ้นกว่าเดิมมาก อีกอย่างพวกเขาซึ่งคนหนึ่งเป็นประธาน ส่วนอีกคนก็เป็นเลขาของประธาน ต้องออกจากบริษัทเร็วแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเงินเดือนของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ถ้าหากว่าเธอไม่สามารถไปรับหยางหยางและหน่วนหน่วนตอนเลิกเรียนได้ละก็ เห็นทีเธอคงต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กแล้วสิ

“คิดอะไรอยู่?” เธอตกใจเล็กน้อย จิ่งเป่ยเฉินไม่รู้ว่าเข้ามาใกล้เธอตั้งแต่ตอนไหน จู่ ๆ เขาก็มองตรงมาที่เธอซะแล้ว

เธอหันกลับไปก่อนจะนำอาหารสองจานมายื่นให้เขา “ในเมื่อมาแล้วก็นำอาหารไปเสิร์ฟด้วย”

เขาเอื้อมมือไปรับจานจากเธอ ก่อนจะพูดว่า “เธอเป็นคนแรกเลยนะที่ชี้นิ้วสั่งให้ฉันเอาอาหารไปเสิร์ฟ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยค่ะ” เธอถือจานอาหารอีกสองจานเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจ

ไม่ช้าเขาก็ยินเสียงของเธอดังแว่วมาว่า “หยางหยาง หน่วนหน่วน ไปล้างมือแล้วมากินข้าว”

“โอเค แม่จ๋า!” ทั้งสองคนตอบอย่างพร้อมเพรียง เด็กตัวน้อย ๆ ทั้งสองเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างมือ

จิ่งเป่ยเฉินตั้งแต่เด็ก เขาเห็นพ่อแม่ของตัวเองอยู่ด้วยกัน พวกเขามักจะอยู่กันแบบแปลกแยก ราวกับเป็นแขกทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อของเขานั้นงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาได้อยู่บ้านบ่อย ๆ คำพูดพวกนี้… ภายในหัวเขานั้นไม่เคยมีคำพูดแบบนี้ปรากฏขึ้นมาก่อนเลย

มันช่างอบอุ่นจริง ๆ

ขณะที่กินข้าว อันโหรวก็มองไปที่ใบหน้าของคนที่อยู่ตรงข้าม ที่หนึ่งใหญ่และก็หนึ่งเล็ก ทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมากราวกับจุดสองจุด ไม่ก็หกหรือเจ็ดส่วนเลยก็ว่าได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงถังซั่ว เธอจะบอกเขายังไงดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีอะไรกัน แต่เธอก็รู้สึกถึงอารมณ์ของจิ่งเป่ยเฉินว่าเขาไม่มีทางยอมเชื่อคำพูดของเธอแน่ ๆ

“แม่จ๋า คืนนี้พ่อจะนอนที่นี่หรือเปล่า?” หน่วนหน่วนหยิบช้อนขึ้นมา ทันใดนั้นก็เงยหน้าเอ่ยถามเธอ

“ไม่จ้ะ พ่อกินเสร็จก็ไปแล้ว” เธอรีบตอบคำถามของหน่วนหน่วนทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแทรก

ใบหน้ายิ้มแย้มของหน่วนหน่วนก็พลันอ่อนยวบลง เธอเบ้ปากเล็กน้อย “เมื่อวานพ่อบอกว่าจะอยู่กับพวกเรา…”

“หน่วนหน่วน พ่อเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” เธอดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดที่ปากน้อย ๆ ของลูกสาว แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

จิ่งเป่ยเฉินวางตะเกียบลงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู อันโหรวเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อมองไปที่ชื่อ ‘ฉีเซิงเทียน’ สามคำ เขาจึงกดรับทันที และพูดว่า “มีธุระอะไร?”

“พี่เฉิน พี่อุ้มเด็กใช่ไหม มีรูปออกมาว่อนเต็มโลกออนไลน์จนบ้าคลั่งไปกันหมดแล้ว!”

จิ่งเป่ยเฉินยังไม่ทันได้ตอบคำถามของฉีเซิงเทียน จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก เขารีบลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูทันที

หยางหยางและหน่วนหน่วนเองก็ได้ยินเสียงเอะอะที่ดังขึ้น หน่วนหน่วนจึงเอ่ยเสียงเบา ๆ ว่า “แม่จ๋า…..”

“หยางหยางดูแลน้องหน่อยนะ แม่จะออกไปดูหน่อย” เธอกำกระดาษทิชชูไว้ในมือ ก่อนจะรีบวิ่งตามจิ่งเป่ยเฉินไปทันที

ตอนนี้จิ่งเป่ยเฉินวางสายจากฉีเซิงเทียนไปแล้ว อันโหรวมองท่าทางของเขา ก่อนจะพูด “ชู่!” แล้วเดินอ้อมไปที่ด้านข้างของหน้าต่างและเปิดม่านออกแวบหนึ่ง มองเห็นแสงไฟนับไม่ถ้วนที่สาดส่องมาที่ร่างของเธอ

เธอดึงผ้าม่านปิดทันที ก่อนจะหันหน้าไปมองเขาและพูดว่า “ข้างนอกมีนักข่าวอยู่เต็มไปหมดเลย”

“ภาพของพวกเราตอนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลถูกโพสต์ลงในโลกออนไลน์” เขาอธิบาย ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้เธอดู

ด้านบนเป็นรูปของพวกเขาที่นอกโรงเรียนอนุบาล จิ่งเป่ยเฉินกำลังอุ้มหน่วนหน่วน ส่วนเธอจูงมือหยางหยาง อาจจะเป็นเพราะมุมขาของจิ่งเป่ยเฉินที่บังหน้าหยางหยางเอาไว้เลยทำให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวเดียว ไม่ได้เห็นหน้าตาของเขาแบบชัดเจน นั่นทำให้เธอรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย

“ดูเหมือนพวกเขาน่าจะไม่ไปกันง่าย ๆ แน่” อันโหรวเดินไปหาเขา

เธอไม่ต้องการให้คนพวกนั้นรู้ที่อยู่ของเธอ เพราะกลัวว่าถ้าหากเปิดเผยไปแล้วจะเกิดปัญหาขึ้นก่อนที่เธอจะได้แก้ไขเรื่องราวอื่น ๆ ที่ตั้งใจไว้

“ออกไปด้วยกันไหม?” จิ่งเป่ยเฉินโอบเอวของเธอไว้ แต่ฝีเท้าของเธอกลับหยุดแข็งทื่ออยู่กับที่

เธอมองลงไปที่มือของเขาและพูดว่า “ออกไปได้ แต่นายช่วยหยุดกอดฉันทีจะได้ไหม?”

นี่มันอาจจะเป็นโอกาสที่จะให้สื่อลงข่าวซุบซิบได้ใช่ไหม?

เขายังไม่ได้มีท่าทีที่จะปล่อยมือออก หนำซ้ำยังกอดเธอแน่นขึ้น “คิดว่าเราจะสามารถดึงภาพพวกนั้นออกได้หรือเปล่า?”

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแยกออกจากกัน แต่นักข่าวก็มักจะเขียนและปรุงแต่งมันขึ้นมาเองอยู่ดี พวกเขามักจะใช้ความคิดของตัวเองเป็นผู้ลงมือเสมอ