ลำแสงนั้นเกี่ยวพันกันแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ หมีแผงคอทองคำยังคงดิ้นรนต่อไป แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะมันไม่สามารถหลุดพ้นได้
ไม่นานนักมันก็เคลื่อนไหวช้าลงพร้อมกับเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวก็ค่อยๆ แผ่วลงไปจนกระทั่งท้ายที่สุดก็หยุดเคลื่อนไหว ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
บนพื้นดินมีเลือดสีแดงที่ยังคงหลั่งรินไม่หยุด อาบย้อมเป็นบริเวณกว้างจนแดงฉานและน่าสยดสยอง
เมื่อแสงเจือจางลงจนมลายดับไป ในที่สุดทุกคนก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างใน
…หมีแผงคอทองคำซึ่งเดิมมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ขณะนี้ซูบผอมลงไปมากพร้อมกับมีบาดแผลเป็นเต็มตัว และทั้งรูปร่างลำตัวของมันยังบิดเบี้ยวแปลกๆ
เลือดที่เจิ่งนองบนพื้นก็คือเลือดที่ไหลออกมาจากตัวของมัน
มู่หงอวี๋เหลือบมองมัน ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างอดมิได้
เฉินหู่พยายามฝืนประคองร่างกาย แต่ใบหน้าซีดเซียวของเขาก็ได้หมดสิ้นสีเลือดสุดท้าย
มีเพียงกู้หมิงเฟิงเท่านั้นที่ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นฉากตรงหน้า หนังตาของเขาก็กระตุกยิกๆ
หัวใจที่เต้นระรัว ในที่สุดก็สงบลง สามารถแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้ ตอนนี้ก็ถือว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว
แต่ทว่า…
ปัญหาอื่นๆ กำลังตามหลังมาอย่างเงียบๆ
เขาอดมองฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ กลับเห็นว่าสีหน้าของหญิงสาวยังคงสงบยิ่ง ยกเว้นความจริงที่ว่าใบหน้าของนางดูซีดเล็กน้อยเนื่องจากใช้พลังไปกับการสร้างค่ายกล แต่แววตากลับไร้คลื่นความรู้สึกใด ราวกับนางไม่ได้สนใจฉากอันน่าหวาดกลัวตรงหน้าเลยสักนิด
จริงอยู่ที่นางเป็นคนสร้างฉากอันน่าสะพรึงกลัวนี้ขึ้นมา
หากไม่ได้นางสร้างค่ายกลออกมาสังหารหมีแผงคอทองคำ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรอดหรือตาย
นางเป็นใครกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถเฉกเช่นนี้…
กู้หมิงเฟิงเม้มริมฝีปาก
เขารู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่มีบางสิ่งไม่เหมือนคนอื่นๆ ตั้งแต่แรก เเต่เมื่อได้ผ่านเหตุการณ์ต่อสู้ในวันนี้ เขาก็พบว่านางเป็นน้ำนิ่งไหลลึกเกินกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้
เมื่อมั่นใจว่าหมีแผงคอทองคำหมดสิ้นลมหายใจแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทันทีที่ผ่อนคลายความตึงเครียด ความอ่อนล้าพลันแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่มีแม้แต่กระทั่งแรงขยับนิ้วหัวแม่มือ
นางหันไปพูดกับกู้หมิงเฟิงว่า
“ถึงจะน่าเสียดายที่ร่างกายของมันได้รับความเสียหาย แต่หยวนตันของมันยังอยู่ เจ้ารับไว้เถิด”
กู้หมิงเฟิงส่ายหน้า
“เจ้าเป็นคนฆ่ามันเอง มันก็ควรจะเป็นของเจ้า”
ถ้าฉู่หลิวเยว่ไม่เหนื่อยเกินไปในยามนี้ นางก็อยากจะรับมาเองเช่นกัน
เพียงพอนโลหิตที่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันหายไปไหนก็มาปรากฏตัวอีกครั้ง มันกระโดดไปที่ซากหมีแผงคอทองคำตัวนั้น ใช้เพียงอุ้งเท้าที่มีกรงเล็บกรีดลงไป ก็สามารถหาหยวนตันแดงซีดนั้นเจออย่างง่ายดาย
มันใช้ขนหางฟูๆ ของมันเช็ดจนสะอาดแล้วกลับมาหาฉู่หลิวเยว่ มันใช้สองมือยื่นหยวนตันให้ราวกับประเคนให้นาง ดวงตากลมโตใสแจ๋วมองฉู่หลิวเยว่ไม่กะพริบ สีหน้าของมันพยายามสื่อกับนางว่า “รีบชมข้าสิ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเจื่อนๆ
ตอนเกิดเรื่องเจ้าตัวน้อยมักจะวิ่งหนีเร็วกว่าใคร พอเหตุการณ์ทุกอย่างปลอดภัยแล้วมันก็กลับมาได้เวลาประจวบเหมาะพอดี ช่างคำนวณได้ดีจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ความฉลาดปราดเปรียวนี้ไม่ได้น่ารำคาญเท่าไรนัก
ฉู่หลิวเยว่รับหยวนตันเอาไว้ เมื่อไตร่ตรองดีแล้ว นางคิดว่าค่อยเก็บไว้ให้มู่หงอวี๋ดีกว่า
เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็เดินไปหามู่หงอวี๋แล้วช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น
“หงอวี๋ เป็นอย่างไรบ้าง”
ตอนแรกมู่หงอวี๋คิดว่านางคงต้องตายในวันนี้เสียแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะมาช่วยชีวิตได้ทันในวินาทีสุดท้าย นางจึงอดตื่นเต้นดีใจไม่ได้
นางอดทนกับความเจ็บปวดก่อนจะเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า
“ข้าไม่เป็นไร! ก็แค่แผลเล็กๆ เดี๋ยวก็รักษาหาย! ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเจ้า…”
“เป็นเพราะเจ้ากับเฉินหู่คอยขัดขวางมันเอาไว้ต่างหาก พวกเราถึงชนะมันได้”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะมองไปที่ไหล่ของมู่หงอวี๋ครู่หนึ่ง
ดูเหมืนนางจะกระดูกหัก
“เจ้านั่งพักก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะมาต่อกระดูกให้เจ้า”
คราวนี้มู่หงอวี๋จึงรู้ว่านางเห็นแล้ว จึงหัวเราะอย่างขมขื่น
“เจ้าสายตาเฉียบคมเกินไปแล้ว”
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้บอกว่าตอนที่ดึงนางลุกขึ้น นางได้ตรวจชีพจรให้แล้ว
แท้จริงนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ร้ายแรงคืออาการบาดเจ็บอวัยวะภายในของมู่หงอวี๋
ฉู่หลิวเยว่ประคองนางนั่งลงเรียบร้อย ก่อนจะไปดูสถานการณ์ทางด้านเฉินหู่
อาการของเฉินหู่สาหัสกว่ามู่หงอวี๋เล็กน้อย
เดิมทีเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว และยังสู้จนสุดชีวิตก็ยิ่งทำให้สาหัสมากขึ้นไปอีก
กระดูกท่อนแขนข้างซ้ายและซี่โครงสองซี่ของเขาหัก และอาการก็ไม่น่าไว้วางใจนัก
โชคดีที่เฉินหู่เป็นคนหยาบกระด้างอยู่แล้ว แม้จะเจ็บหนักแต่เขาก็ทนได้ ดังนั้นให้การจัดกระดูกเขาก่อน โดยที่เขาไม่ร้องครวญครางสักแอะแม้เหงื่อออกท่วมทั่วร่างกาย
จนกระทั่งฉู่หลิวเยว่ช่วยพันผ้าพันแผลให้ เขายังยิ้มยิงฟันขาวสะอาดให้นางอีก
“หลิวเยว่ เจ้าเก่งจริงๆ! ขนาดสัตว์อสูรระดับสี่ เจ้ายังเอาชนะมันได้ ค่ายกลที่เจ้าสร้างก็คงไม่ใช่แค่ระดับสองกระมัง! ก่อนหน้านี้เจ้ายังจะพูดว่าเป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นสองอีก หากข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ข้าก็คิดว่าถูกเจ้าหลอกจริงๆ เสียแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้ม
“ข้าเป็นปรมาจารย์ขั้นสองจริงๆ หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากกู้หมิงเฟิง ข้าก็คงสร้างค่ายกลไม่สำเร็จ”
เฉินหู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขากลับพูดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงพูดว่า
“ถึงอย่างไร…ถึงอย่างไรเจ้าก็เก่งอยู่ดี ข้าว่าเจ้าเก่งว่าพวกปรมาจารย์เย่อหยิ่งบางคนแถวนี้ซะอีก”
เมื่อก่อนทุกคนในเมืองหลวงต่างพูดว่านางเป็นคนไร้ค่า แต่ไม่กลับรู้ว่านางเป็นอัจฉริยะขั้นเทพตัวจริง!
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็หยุดชะงักแล้วหันไปมองข้างหลัง
เกือบลืมไปเลยว่ายังมีอีกคนอยู่
กู้หมิงจู
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของฉู่หลิวเยว่ที่มองมา กู้หมิงจูก็สะดุ้งแล้วเกิดความเกรงกลัวในใจ
ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้สยดสยองเกินไปจนท้องไส้นางปั่นป่วนไปหมด ไม่ง่ายเลยกว่านางจะสงบลงได้
ราวกับมีคลื่นพายุซัดสาดในหัวใจของนางนานแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ
คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะสามารถสร้างค่ายกลระดับสี่ได้จริงๆ
นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาฝึกฝนเส้นทางนี้ได้ไม่นานมิใช่หรือ ไหนนางบอกว่าเป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นสอง
นางจะอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อย่างไร
“เจ้า เจ้าคิดจะทำอันใด”
กู้หมิงจูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ไม่ทำสิ่งใดหรอก แต่ว่าเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ข้าก็อยากจะคิดบัญชีกับเจ้าอย่างไรเล่า”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางยิ้มตาหยีแล้วมองไปทางกู้หมิงเฟิง
“กู้หมิงเฟิง เจ้าจะขัดข้องหรือไม่ ถ้าข้าอยากให้เจ้าช่วยจับตาดูนางเอาไว้”
กู้หมิงจูนิ่วหน้าแล้วแผดเสียงแหลม
“เจ้ากล้าหรือ!”
กู้หมิงเฟิงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเดินไปหากู้หมิงจู ก่อนจะดึงเชือกออกมาแล้วมัดนางไว้แน่น
แม้ว่ากู้หมิงจูจะเป็นปรมาจารย์ขั้นสาม วิ่งหนีอุตลุดของนางได้ทำให้พลังหมดลง ดังนั้นในเวลานี้นางจึงไม่สามารถขัดขืนผู้ฝึกยุทธ์อย่างกู้หมิงเฟิงได้
ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงก่ำด้วยความโกรธและนางก็ก่นด่าสาปแช่งไม่หยุด
“กู้หมิงเฟิง! เจ้ามันบ้าไปแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงกล้าทำกับข้าเยี่ยงนี้ เจ้าลองดู หากข้ากลับไปได้ข้าจะฟ้องประมุขตระกูลให้ลงโทษเจ้าอย่างสาสม!”
สีหน้าของกู้หมิงเฟิงเย็นชาไร้ความรู้สึกและทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด จากนั้นก็จับมือนางมัดไพล่เอาไว้ข้างหลัง
“ไอ้สารเลวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้า…”
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังขึ้นหยุดวาจาหยาบคายของกู้หมิงจู
นางหน้าหันไปอีกข้าง และแก้มซ้ายก็บวมแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กู้หมิงเฟิงจ้องนางด้วยสายตาเย็นเฉียบ
“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยบอกว่าข้าจะไม่ตบหน้าผู้หญิง ที่สำคัญ หากเจ้าอยากกลับไปฟ้อง ก็มาดูกันสิว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือไม่!”
เมื่อกู้หมิงจูมองหน้าเขาก็พบว่าชายหนุ่มในความทรงจำที่มักเงียบขรึมไม่พูดจาและมักจะถูกนางรังแกในฐานะที่เขาเกิดมามีศักดิ์ต่ำต้อยกว่า ไม่รู้ว่าเขาปีกกล้าขาแข็งตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังกลายเป็นคนอันตรายมากอีกด้วย!
ฉู่หลิวเยว่เดินไปหามู่หงอวี๋เพื่อจัดกระดูกสะบักไหล่ให้นาง ช่วยนางต่อกระดูกด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้า
“รอให้นางชดใช้หนี้ชีวิตของพวกเราทั้งหมดคืนมาก่อนแล้วค่อยให้นางตายก็ยังไม่สาย”