บ่าวรับใช้ด้านหลังชั่งน้ำหนักเสร็จแล้ว “พี่ฝู ทั้งหมดสิบเอ็ดจิน”
เถียนเอ๋อยิ้มประจบพร้อมกล่าว “นายท่าน ท่านดูสิข้าต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้ ทั้งยังล้างผักตี้เอ่ออย่างดี ราคารับซื้อของท่านย่อมไม่ต่ำ ใช่หรือไม่เจ้าคะ? “
ซ่งฝูมองเถียนเอ๋อพร้อมเผยรอยยิ้ม เพียงบอกให้รอสักครู่ ก็หันขวับออกจากสวนด้านหลังไป
เมื่อบ่าวรับใช้ที่ชั่งน้ำหนักเห็นซ่งฝูไปแล้ว ก็ไม่กล้าทำอะไรส่งเดช ผักตี้เอ่อสองตะกร้ายังวางอยู่บนตราชั่ง รอให้ซ่งฝูกลับมา
ซ่งฉางชิงกำลังอ่านหนังสือ
ขอเพียงกิจการของภัตตาคารไม่ยุ่ง เขาก็จะชอบอ่านหนังสือ นิ้วมือเรียวยาวถือตำราไว้ อ่านหนังสืออย่างมีสมาธิจดจ่อ ลืมการแข่งขันชิงดีชิงเด่นและความยุ่งของกิจการไปชั่วคราว
ขณะซ่งฝูเข้าไป เป็นจังหวะที่ซ่งฉางชิงกำลังดื่มน้ำพอดี นี่เป็นโอกาสเหมาะ ซ่งฝูรีบเดินขึ้นหน้าสองก้าว ก่อนกล่าว “คุณชาย มีหญิงชาวบ้านจากหมู่บ้านสกุลเซียวมาขายผักตี้เอ่อขอรับ”
ซ่งฉางชิงพยักหน้า นิ้วมือเรียวยาวเปิดพลิกหน้าต่อไป “หากเป็นของดี ก็รับซื้อไว้ เจ้าตัดสินใจเอง! “
เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องบอกเขา
ซ่งฝูขมวดคิ้วเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าน้อยได้ยินว่า ฮูหยินเซียวรับซื้อผักตี้เอ่อจินละสามอิแปะขอรับ! “
เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่านิ้วมือเรียวยาวของซ่งฉางชิงที่ถือตำราอยู่บีบเข้าหากันเล็กน้อย ท่าทางเล็กน้อยนี้ แม้แต่ซ่งฉางชิงเองก็ไม่ทันสังเกต
“นางรับซื้อแพงถึงเพียงนั้นเชียว? ” ซ่งฉางชิงรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาให้นางจินละห้าอิแปะ เดิมคิดว่านางจะรับซื้อมาแค่สองอิแปะ ใครจะรู้ว่านางรับซื้อตั้งสามอิแปะ
ซ่งฝูพยักหน้า “ฮูหยินเซียวให้เซียวเหลียงออกหน้าช่วยรับซื้อผักตี้เอ่อจริงๆ ขอรับ! “
คราวนี้ซ่งฉางชิงขมวดคิ้ว ครั้งก่อนเซี่ยยวี่หลัวก็บอกแล้ว ว่านางไม่สะดวกจะออกหน้า เขาไม่เห็นด้วย นางจึงได้แต่คิดหาวิธีนี้
“ทว่า ฮูหยินเซียวผู้นี้ เห็นจะไม่ธรรมดาขอรับ! ” ซ่งฝูยิ้มอย่างหยามเหยียด พลางบอกเล่าเรื่องที่เถียนเอ๋อพูดมาให้ซ่งฉางชิงฟังทั้งหมด
ซ่งฉางชิงรู้สึกหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย มือจับตำราไว้แน่น “เจ้าบอกว่า เซี่ยยวี่หลัวเป็นอนุของเซียวเหลียง? “
ซ่งฝูพยักหน้า “หญิงชาวบ้านผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ขอรับ! ทั้งยังบอกเล่าเป็นเรื่องเป็นราว น่าจะเป็นเรื่องจริง! ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เซียวเหลียงคุยกับข้า เห็นจะมีเจตนาบางอย่างแอบแฝง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนต้องไม่ธรรมดาแน่”
ซ่งฉางชิงเม้มริมฝีปากเบาๆ ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ “อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าไปได้”
ซ่งฝูรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย “คุณชาย ข้ากลัวว่าถึงเวลาเซียวเหลียงจะเจรจาเรื่องร่วมงานกับเราผ่านเซี่ยยวี่หลัวหรือไม่ขอรับ อย่างไรการร่วมงานครั้งก่อน เดือนหน้าก็จะสิ้นสุดแล้ว”
ซ่งฉางชิงยิ้มอย่างเย็นเยียบ ยามแสดงสีหน้าเย็นชาแทบไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น “เซียนจวีโหลวอยู่ในความดูแลของข้า เมื่อไรกันที่คนจัดหาวัตถุดิบจะสามารถกำหนดการตัดสินใจของข้าได้ หลังจากเก็บผักตี้เอ่อรอบนี้เสร็จ เจ้าก็บอกเซี่ยยวี่หลัว ว่าเราหาคนจัดหาคนอื่นได้แล้ว”
ซ่งฝูรีบขานตอบว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะออกไป
เมื่อไม่ใช่คนจัดหาวัตถุดิบของเซียนจวีโหลวแล้ว ดูซิว่าเซียวเหลียงที่ใช้วิธีการสกปรกจะยังทำอะไรได้
สุดท้ายเถียนเอ๋อก็ไม่ได้สามอิแปะ เพราะเซียนจวีโหลวรับซื้อผักตี้เอ่อในราคาสองอิแปะมาตลอด ถึงแม้เถียนเอ๋อจะไม่พอใจ แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ผักตี้เอ่อเน่าเสีย จึงรีบขายไป
ขายได้ยี่สิบสองอิแปะ เถียนเอ๋อรีบบอกว่าพรุ่งนี้ตนเองจะมาขายผักตี้เอ่ออีก ก่อนกล่าวขอบคุณแล้วจากไป
ซ่งฉางชิงอ่านตำราต่อ แต่กลับอ่านตัวหนังสือในตำราไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวเดียว
หงุดหงิดใจ!
เขาจะให้คนที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมมาเป็นคนจัดหาวัตถุดิบได้อย่างไร!
ซ่งฉางชิงไม่อาจทนอ่านต่อไปได้ จึงโยนตำราไปบนโต๊ะ อ่านหนังสือนานแล้วปวดหัว
เขาใช้มือนวดบริเวณขมับครู่หนึ่ง ยิ่งนวดยิ่งหงุดหงิดใจ หน้าต่างถูกปิดอย่างมิดชิด ปิดกั้นเสียงรบกวนทั้งหมดไว้ภายนอก เขาทำเช่นนี้เป็นปกติวิสัยระหว่างที่อ่านหนังสือหรือทำบัญชี หน้าต่างด้านหลังปิดสนิท ไม่ปล่อยให้เสียงเล็ดลอดเข้ามาแม้แต่น้อย
ปกติเวลาเขาทำงานจะมีสมาธิจดจ่อ
เพียงแต่ขณะนี้ ทั้งที่ไม่มีเสียงวุ่นวายแม้แต่น้อย กลับยังคงสลายเพลิงโทสะในใจเขาที่เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดได้ยากนัก
จู่ๆ ภายในใจเขาก็บังเกิดเพลิงโทสะอย่างไม่มีที่มาที่ไปจนเดินวนอยู่ที่เดิมหลายรอบ เขาสงบสภาวะอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อจิตใจสงบลงช้าๆ จู่ๆ ซ่งฉางชิงก็ยืนนิ่ง
ทันใดนั้นเขาก็พบว่า เขาเดินวนรอบห้องมาหลายรอบแล้ว นี่เขาเป็นอะไรไป?
“ญาติผู้พี่…”
เสียงสตรีใสกังวานประหนึ่งนกขมิ้นบินออกจากหุบเขาดังขึ้นจากด้านหลัง
ความตกตะลึงของซ่งฉางชิงมลายหายไปจนสิ้นในชั่วพริบตาที่เขาหันตัวไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่ คือสีหน้าเย็นชาและขึงขัง
ขณะที่กู้ซินเยว่เข้ามาเมื่อครู่นี้ เห็นอย่างชัดเจนว่าบนใบหน้าญาติผู้พี่ปรากฏสีหน้าตกตะลึงอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาอ่อนโยนจนไม่มีความเย็นชาและเคร่งขรึมแม้แต่น้อย
ทั้งที่ญาติผู้พี่ที่นางเห็นเมื่อครู่ ไม่ใช่เช่นขณะนี้!
“เจ้ามาได้อย่างไร? ” ซ่งฉางชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ แฝงเร้นด้วยความห่างเหินหมางเมิน
กู้ซินเยว่กัดริมฝีปาก เปิดกล่องใส่อาหารในมือ ก่อนนำของข้างในออกมา “ญาติผู้พี่ ท่านป้าเป็นห่วงว่าช่วงนี้ท่านจะงานยุ่งเกินไป จนไม่ได้ดูแลสุขภาพของตัวเอง นี่เป็นรังนกที่ท่านป้าตุ๋นเจ้าค่ะ…”
นิ้วมือเรียวงามประหนึ่งต้นหอมของนางยกชามเครื่องแก้วไว้หนึ่งใบ ยกไปถึงตรงหน้าซ่งฉางชิงด้วยตัวเอง
ซ่งฉางชิงมองดูรังนก ก่อนเบือนหน้าหนี พร้อมกล่าวอย่างเรียบสงบ “ข้าไม่ชอบอาหารรสหวาน”
กู้ซินเยว่รีบกล่าว “ข้าทราบเจ้าค่ะ ดังนั้นในรังนกนี่ข้าจึงไม่ได้ใส่น้ำตาลแม้แต่น้อย”
ซ่งฉางชิงปราดสายตามองนางแวบหนึ่ง
กู้ซินเยว่รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป จึงกัดริมฝีปากแดงที่บรรจงทาเครื่องประทินโฉมไว้ ช่างดูน่าหลงใหลนัก “ญาติผู้พี่ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า… ข้าเกรงว่าท่านจะไม่กิน จึงบอกว่าท่านป้าเป็นคนทำ”
ซ่งฉางชิงไม่อยากกินยิ่งกว่าเดิม “วางไว้เถอะ! “
เขากล่าวอย่างเรียบสงบ จากนั้นจึงหยิบสมุดบัญชีที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง
กู้ซินเยว่เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง แววตาฉายประกายน้อยเนื้อต่ำใจจนหยาดน้ำตาไหลลู่ลงมาอย่างรวดเร็ว “ญาติผู้พี่ ท่านรังเกียจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ? “
เสียงสะอื้นร่ำไห้ ประหนึ่งคาถารัดเกล้าก็มิปาน กดดันจนจิตใจซ่งฉางชิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่เคยรังเกียจเจ้า”
ทว่าก็ไม่เคยชอบเช่นกัน
กู้ซินเยว่ไม่เชื่อ ในดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “แต่ว่าญาติผู้พี่ เหตุใดท่านถึงไม่กลับบ้านเจ้าคะ? ท่านไม่ยอมกลับไปเลย นั่นไม่ใช่การบอกข้าว่าท่านรังเกียจข้า ไม่อยากเห็นข้าหรือเจ้าคะ? “
แววตาของกู้ซินเยว่ที่ดูน่าสงสารจับใจ จ้องมองซ่งฉางชิงด้วยประกายอาวรณ์รัก ถึงแม้วาจาที่เอื้อนเอ่ยจะฟังดูน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็แฝงเร้นด้วยเจตนาไต่ถาม
ซ่งฉางชิงบีบสมุดบัญชีพร้อมกล่าว “หากไม่มีธุระอันใด เจ้าก็รีบกลับไปเถอะ ประเดี๋ยวภัตตาคารก็จะเปิดรับลูกค้าแล้ว! “
เขาไม่ยอมแม้แต่จะสนทนากับนางเพิ่มอีกสักประโยคเชียวหรือ?
กู้ซินเยว่หยาดน้ำตาคลอเต็มเบ้า “ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ! ต่อให้ท่านไล่ข้าก็ไม่ไปเจ้าค่ะ! “
กล่าวจบ นางก็นั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้างทันที ก่อนหมอบลงบนโต๊ะร้องไห้อย่างหนัก “ท่านรังเกียจข้า หากท่านรังเกียจข้าถึงขั้นที่แม้แต่บ้านตัวเองยังไม่ยอมกลับ แล้วข้าจะยังฝืนทนอยู่ที่นี่ต่อเพื่อเหตุไร ข้าจะเก็บข้าวของกลับบ้านเก่าประเดี๋ยวนี้เลย จะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ทนความอับอาย ได้รับแต่ความรังเกียจจากท่าน! “
ซ่งฉางชิงบีบสมุดบัญชีพลางมองกู้ซินเยว่ที่หมอบอยู่บนโต๊ะร้องไห้อย่างหนักด้วยแววตาเย็นเยียบ สีหน้าฉายประกายประหลาดใจ
กู้ซินเยว่ในยามปกติ เป็นคนรู้จักวางตัวมีกาลเทศะและใจกว้าง ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน