ตอนที่ 104 กลับบ้าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในช่วงปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ดอกบัวที่เรือนหานชิวได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เบ่งบานไปแล้ว แต่ต้นกุ้ยฮวาสีเขียวเข้มมันวาวนั้นมีดอกสีเหลืองแรกแย้มมันวาวขึ้นแซมอยู่ตามใบไม้ ทำให้คนรู้สึกได้ถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่าน และความรู้สึกของการเบ่งบานอย่างเฟื่องฟูและเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่ยอมแพ้

 

 

หลี่ซื่อกล่าวชื่นชมไม่หยุด

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยู่อีกสักหลายๆ วันดีหรือไม่ รออีกสักสองสามวัน ดอกกุ้ยฮวาเหล่านี้ก็จะบานสะพรั่ง จะกล่าวว่ากลิ่นหอมไกลไปถึงสิบหลี่ก็ไม่ถือว่าเกินจริงนัก”

 

 

หลี่ซื่อกล่าวอย่างเสียดายว่า “ข้าก็อยากให้เป็นเช่นนั้น ทว่าเจ้าเมืองเป่าติ้งเกิดคดีทุจริต และได้ถูกส่งตัวไปที่เมืองหลวงแล้ว ตอนนี้เรื่องต่างๆ ของเมืองเป่าติ้งไม่ว่าใหญ่หรือเล็กล้วนอาศัยท่านรองเจ้าเมืองเป็นผู้จัดการดูแล…” กล่าวถึงตรงนี้ สายตาของนางมอบไปรอบๆ เล็กน้อย เห็นว่าบรรดาสาวรับใช้และป้าแม่บ้านที่ให้การรับใช้ต่างติดตามอยู่ห่างๆ มีเพียงโจวเสาจิ่นสองพี่น้องเท่านั้นที่อยู่ข้างๆ พวกนาง นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นลดเสียงลงและกล่าวขึ้นว่า “กล่าวกันว่าเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายหลายพระองค์ ราชสำนักจะส่งทูตพิเศษเข้าไปในไม่ช้านี้ พระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ก็คือ ที่เมืองเป่าติ้งยังคงมีคนที่สมรู้ร่วมคิดกับท่านเจ้าเมืองคนก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ จึงให้นายท่านเร่งไปให้ไวขึ้นสักหน่อย จะได้ประสานงานกับทูตพิเศษเพื่อควบคุมสถานการณ์และเก็บกวาดเรื่องนี้ให้เรียบร้อย นายท่านของพวกข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

 

เรื่องที่เกี่ยวพันกันนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเองก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

 

 

คนทั้งกลุ่มเดินมาถึงเรือนรับรองแขก

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่เถิด รอให้นายท่านเสร็จธุระแล้ว ข้าค่อยมาเรียกเจ้า” กล่าวจบ สายตาของนางก็ตกไปอยู่ที่ร่างของโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น ชั่วขณะหนึ่งก็เกิดความลังเลขึ้นมา

 

 

ตามหลักแล้ว หลี่ซื่อได้ชื่อว่าเป็นมารดาของโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น พวกนางสองพี่น้องจึงควรจะคอยให้การรับใช้หลี่ซื่ออยู่ที่นี่ถึงจะถูก แต่หลี่ซื่อเป็นภรรยาใหม่ ทั้งยังมาจากตระกูลพ่อค้า และอายุน้อยขนาดนี้ ซึ่งอายุมากกว่าโจวชูจิ่นไปไม่กี่ปีเท่านั้น นางเลื้ยงดูโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นให้เติบโตมาอย่างทะนุถนอมอยู่ในอุ้งมือ จึงทนไม่ได้จริงๆ ที่จะให้โจวชูจิ่นที่สง่างามและโจวเสาจิ่นที่น่ารักอ่อนหวานต้องทำตัวเป็นผู้น้อยต่อหน้าหลี่ซื่อ

 

 

โชคดีที่หลี่ซื่อเองก็เป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองก็ไปพักผ่อนด้วยเช่นกันเถิด ข้ามีหลี่มามาคอยรับใช้อยู่ที่นี่ด้วยก็พอแล้ว” นางถามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “อีกประเดี๋ยวคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองจะไปเยี่ยมเยียนนายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยินและฮูหยินน้อยด้วยหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่คิดจะให้โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นตามไปรับใช้หลี่ซื่อด้วย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเคยกล่าวเอาไว้ว่า นี่เป็นเรื่องของมารยาท ไม่อาจเสียมารยาทจนเป็นช่องโหว่ให้ผู้อื่นมาตำหนิพวกนางสองพี่น้องได้ นางจำต้องกล่าวออกไปว่า “ย่อมต้องไปด้วยอยู่แล้ว จะได้ช่วยแนะนำเจ้าให้รู้จักผู้คนด้วยไปในตัว”

 

 

หลี่ซื่อยิ้มพลางกล่าว “ข้าคิดว่าข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ ช่วงกลางวันก็อยู่เป็นเพื่อนข้ามาโดยตลอดแล้ว ตอนเย็นยังมีเรื่องงานเลี้ยงให้ต้องจัดเตรียมอีก ทางด้านของฮูหยินใหญ่ทางนี้น่าจะต้องการคนอยู่ช่วยเตรียมงาน!”

 

 

ความมีไหวพริบและรู้ความของนางทำให้รอยยิ้มของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น “เช่นนั้นข้าก็จะรั้งพวกนางสองพี่น้องเอาไว้ที่นี่เลยก็แล้วกัน!”

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วกลับมีความคิดอื่นขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ก็ไม่อาจให้มารดาไปเพียงผู้เดียวได้ ข้าเห็นว่าให้พี่สาวรั้งอยู่ที่นี่ ส่วนข้าไปคารวะเยี่ยมเยียนแต่ละจวนเป็นเพื่อนมารดาก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

 

 

เช่นนี้โจวเจิ้นจะคิดว่าจวนสี่ลำเอียงหรือไม่

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยังคงลังเลใจเล็กน้อย

 

 

หลี่ซื่อยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ได้ รบกวนคุณหนูรองไปคารวะเยี่ยมเยียนแต่ละจวนเป็นเพื่อนข้าด้วยก็แล้วกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นท่าทีไม่ยินยอมของท่านป้าใหญ่ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าอายุน้อยที่สุด หากไม่ให้ข้าช่วยวิ่งไปทำธุระให้แล้วจะให้ผู้ใดทำเจ้าคะ ให้พี่สาวรั้งอยู่ที่บ้านดีแล้วเจ้าค่ะ ส่วนข้าจะติดตามท่านป้าใหญ่กับมารดาไปคารวะเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสของแต่ละจวน” ยังกล่าวอีกว่า “ข้าอยากกินรากบัวปั้นทอด ท่านพี่อย่าลืมให้ห้องครัวทำให้ข้าสักจานนะเจ้าคะ”

 

 

เป็นท่าทางของเด็กที่อยากติดตามออกไปเที่ยวเล่นกับผู้ใหญ่ด้วย

 

 

ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา

 

 

โจวชูจิ่นรับปาก “เจ้าวางใจ ต่อให้ลืมอะไรก็จะไม่มีทางลืมรากบัวปั้นทอดของเจ้าเป็นอันขาด”

 

 

ทุกคนสนทนากันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นโจวชูจิ่นติดตามฮูหยินใหญ่ขึ้นไปบนเรือน ส่วนโจวเสาจิ่นพักผ่อนอยู่ข้างๆ ห้องที่อยู่ถัดจากห้องของหลี่ซื่อ

 

 

หลี่มามานำของทานเล่นมาให้อย่างกระตือรือร้น “นี่คือขนมพุทราป่าแห่งฉีอวิ๋น เป็นของทานเล่นขึ้นชื่อของเจียงซี ฮูหยินเอาไว้ทานเล่นระหว่างเดินทาง รสชาติดียิ่ง ฮูหยินตั้งใจให้บ่าวนำให้คุณหนูรองลองชิมดูเจ้าค่ะ หากว่าชื่นชอบ ฮูหยินจะให้ทางบ้านนำมามอบให้ท่านอีก คุณหนูรองสามารถนำไปแบ่งให้กับฮูหยินและคุณหนูของแต่ละจวนได้ด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

หลี่ซื่อเป็นชาวเมืองหนานชาง

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ รู้สึกว่าหลี่มามาผู้นี้ปฏิบัติกับนางค่อนข้างจะกระตือรือร้นมากเกินไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากที่ส่งหลี่มามาออกไปแล้ว ก็นอนกลางวันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามหลี่ซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปรวมตัวกับโจวเจิ้นและเฉิงเหมี่ยน

 

 

โจวเจิ้นเห็นโจวเสาจิ่นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

หลี่ซื่อกลัวว่าโจวเจิ้นจะเข้าใจผิด จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่เรียนการปกครองเรือนจากฮูหยินใหญ่ จนตอนนี้สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตนเองแล้ว อีกสักครู่ฮูหยินใหญ่ต้องไปเป็นเพื่อนข้า ดังนั้นก็เลยขอให้คุณหนูใหญ่รั้งอยู่เป็นแม่งานจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเย็นนี้เจ้าค่ะ”

 

 

โจวเจิ้นผ่อนคลายลง พยักหน้าอย่างยินดี แล้วถามโจวเสาจิ่นว่า “ประเดี๋ยวเจ้าคิดจะไปเที่ยวเล่นที่ใดหรือ”

 

 

ดูเหมือนว่าการที่นางติดตามหลี่ซื่อมานี้เป็นเพราะคิดอยากจะไปเที่ยวเล่นอย่างไรอย่างนั้น

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อ คำพูดนี้ช่างน่าประหลาดนัก ข้าย่อมต้องติดตามท่านป้าใหญ่กับมารดาอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเจิ้นถึงได้ค้นพบว่าตนพูดบางอย่างผิดไป เขาหัวเราะร่า แล้วก็เดินนำไปที่จวนหลักก่อน

 

 

นายท่านใหญ่และนายท่านรองของจวนหลัก หรือแม้แต่เฉิงสวี่ก็ไม่อยู่บ้าน ดังนั้นจึงเป็นเฉิงฉือที่ออกมาต้อนรับโจวเจิ้น

 

 

สถานการณ์การพบหน้าของทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างนั้นโจวเสาจิ่นไม่ทราบเลย เนื่องจากนางติดตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและมารดาเลี้ยงเข้าไปหาหยวนซื่อเสียก่อน

 

 

หยวนซื่อกล่าวชื่นชมนางไปครู่หนึ่ง จากนั้นพาพวกนางไปที่เรือนหานปี้ซาน

 

 

พอเดินเข้ามาภายในลาน เสี่ยวถานที่กำลังเล่นเตะลูกขนไก่อยู่กับบ่าวเด็กอีกหลายคนก็ผละออกจากคนอื่นๆ และวิ่งเข้ามาหา

 

 

“ฮูหยิน คุณหนูรอง!” ใบหน้าของนางแดงเรื่อ ฉายลำแสงแห่งความยินดีออกมา ย่อเข่าลงทำความเคารพหยวนซื่อและคนอื่นๆ

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง

 

 

เฝ่ยชุ่ยและปี้อวี้ได้รับจดหมายแจ้งแล้ว ก็ออกมาต้อนรับเช่นกัน

 

 

“ฮูหยิน คุณหนูรอง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน” ทั้งสองคนต่างยิ้มพลางกล่าวทักทายพวกนาง ปรนนิบัติพาพวกนางเข้าไปในเรือนหลัก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายทอสีกรมท่าทั้งตัว ผมสีดอกเลานั้นม้วนขึ้นเป็นมวยผมอย่างเรียบร้อย ประดับเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมหยกมรกตเพียงสองชิ้นเท่านั้น

 

 

หลังจากที่รอให้พวกนางทำความเคารพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เชิญพวกนางนั่งลงดื่มน้ำชา

 

 

ชาที่ยกมาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับหลี่ซื่อเป็นชาหลงจิ่ง ของหยวนซื่อเป็นชากวาเพี่ยนลู่อัน และของโจวเสาจิ่นเป็นชาเหล่าจวินเหมย ตอนที่นำจานผลไม้มาขึ้นโต๊ะ สาวใช้ผู้นั้นก็ยิ้มให้โจวเสาจิ่น แล้วจงใจวางจานแตงหวานเอาไว้ข้างๆ โจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นจึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้สาวใช้ผู้นั้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงแลกเปลี่ยนบทสนทนากับหลี่ซื่อขึ้นมา หลี่ซื่อกล่าวถึงที่ปรึกษาคนปัจจุบันของเจียงซีว่าเป็นชาวจินหลิงและมีความสัมพันธ์กับโจวเจิ้นเป็นอย่างดี ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามนางว่าเป็นผู้ใด หลี่ซื่อเล่าประวัติของอีกฝ่ายขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พบว่าเป็นคนรู้จักมักคุ้นกัน “…เป็นลูกศิษย์ของน้องชายข้าเอง เขามาจากครอบครัวจวี่เหริน ข้าก็เลยจำได้”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีน้องชายเพียงคนเดียว มาจากครอบครัวจวี่เหริน หลังจากที่นายกัวผู้เป็นบิดาเสียชีวิต เขาก็รับสืบทอดดูแลสำนักศึกษาต่อจากนายกัวผู้เป็นบิดา นักเรียนที่รับเข้ามาส่วนใหญ่เป็นบุตรหลานจากครอบครัวยากจน ถึงแม้ว่าจำนวนคนที่สอบได้จวี่เหรินและจิ้นซื่อจะมีไม่มาก แต่เพราะไม่ได้สนใจถึงประวัติหรือสถานะของครอบครัว นักเรียนที่เข้ามาศึกษาจึงมีมาก ถือว่าเป็นสำนักศึกษาที่มีนักเรียนมากที่สุดในเมืองจินหลิง ไม่เหมือนสำนักศึกษาของตระกูลกู้ที่หากไม่มีความสามารถก็จะไม่รับเข้าศึกษา และก็ไม่เหมือนกับสำนักศึกษาของตระกูลเฉิงที่รับเพียงบุตรหลานญาติพี่น้องของตระกูลเฉิง สหายสนิทที่ชิดใกล้หรือไม่ก็นักเรียนที่ได้รับการแนะนำมาจากศิษย์เก่าเท่านั้น จึงทำให้เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงท่ามกลางคนทั่วไปของเมืองจินหลิง

 

 

หลี่ซื่อจึงใช้โอกาสนี้หาเรื่องสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจให้เกียรตินาง จึงยิ้มพลางฟังนางเล่าเรื่องเกี่ยวกับข้าราชการที่เจียงซี

 

 

ฟังไปได้ครึ่งหนึ่ง นางขยับไปดันจานผลไม้ที่อยู่ใกล้มือตรงหน้า

 

 

ปี้อวี้เข้าใจความหมาย เดินออกไปเงียบๆ อย่างเบามือเบาเท้า จากนั้นถือจานแตงหวานจานเล็กมาวางลงตรงหน้าของโจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นทั้งขัดเขินและอับอาย

 

 

เนื่องจากนางฟังแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าท่านป้าใหญ่หยิบส้มชิ้นหนึ่งขึ้นมาทานอย่างไม่ต้องเกรงใจแล้ว นางก็เลยจิ้มแตงหวานขึ้นมาทานด้วย คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะสังเกตเห็นนาง และยังให้ปี้อวี้ไปยกจานแตงหวานจานเล็กมาให้นางเป็นพิเศษอีกหนึ่งจานด้วย นางเงยหน้าขึ้น เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสนทนาอยู่กับหลี่ซื่อ ก็เลยไม่สะดวกที่จะกล่าวอะไร จำต้องก้มศีรษะลงและบิดไม้จิ้มฟันในมือไปมา

 

 

ก่อนที่หลี่ซื่อจะมา โจวเจิ้นเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูแห่งนี้ให้นางฟังแล้ว สำหรับฮูหยินผู้เฒ่าผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตรชายที่เป็นถึงจิ้นซื่อลำดับที่สองมาได้สามคนของจวนหลักผู้นี้ นางเป็นคนที่จิตใจน่านับถือ ดังนั้นหลังจากที่เดินเข้าประตูมา นางก็คอยสังเกตการณ์และเฝ้าระมัดระวังทุกฝีก้าว เมื่อได้เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวใส่ใจโจวเสาจิ่นมากขนาดนี้ด้วยตาตัวเองแล้ว นางก็ลอบรู้สึกประหลาดใจ จนกระทั่งกลับมาถึงตระกูลโจว ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น นางก็เล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นอย่างไรบ้างให้หลี่มามาฟังอย่างทนรอไม่ได้อีก ยังกล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าไปสืบได้เรื่องอะไรมาแล้วบ้าง”

 

 

หลี่มามาเองก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นเดียวกัน กล่าวว่า “ข้าได้ยินเพียงว่าคุณหนูรองได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวจวนหลัก ให้ไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรม แต่ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะชื่นชอบคุณหนูรองมากขนาดนี้เจ้าค่ะ”

 

 

หลี่ซื่อจิตใจเลื่อนลอยเล็กน้อย

 

 

นางนึกถึงตอนที่ไปจวนรองขึ้นมา

 

 

ไม่ผ่อนคลายเหมือนกับตอนที่อยู่จวนหลัก เห็นได้ชัดว่าโจวเสาจิ่นค่อนข้างตื่นเต้น

 

 

นางไม่เพียงลอบสำรวจจวนรองอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ทั้งยังปฏิบัติต่อสะใภ้ใหญ่สือของจวนรองอย่างเกรงใจและแฝงเอาไว้ด้วยระยะห่างเอาไว้อยู่หลายส่วน ไม่เงียบขรึมเหมือนกับตอนอยู่จวนสามและไม่เพิกเฉยเหมือนกับตอนอยู่จวนห้า ดูเหมือนกับว่าตั้งใจที่จะเข้าใกล้จวนรองอยู่หลายส่วน

 

 

ตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูกับสองพี่น้องแห่งตระกูลโจว คงจะซับซ้อนกว่าที่ตนจินตนาการณ์เอาไว้มากเลยทีเดียว!

 

 

นางจับด้ามหวีเอาไว้ค่อนข้างแรง จนปลายนิ้วขาวซีด

 

 

หลี่มามากระซิบเตือนหลี่ซื่อเสียงเบาว่า “ท่านเห็นว่า ต้องสั่งบ่าวรับใช้ให้นำของทานเล่นยามดึกไปมอบให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

หลังจากที่ทานมื้อเย็นที่ตระกูลเฉิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นสองพี่น้องก็ติดตามพวกนางกลับมายังบ้านของตระกูลโจวที่ถนนผิงเฉียว โจวเจิ้นให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้องพักอยู่ที่เรือนหลัก ส่วนนางกับโจวเจิ้นพักอยู่ที่ห้องหนังสือ

 

 

เห็นได้ชัดว่า โจวเสาจิ่นสองพี่น้องประหลาดใจกับการจัดเตรียมนี้เป็นอย่างมาก แต่หลี่ซื่อค่อนข้างเข้าใจอยู่บ้างเล็กน้อย นี่เป็นสถานที่ที่จวงซื่อเคยอาศัยอยู่ สามีต้องการคงสภาพเดิมเอาไว้…ดังนั้นนอกจากนางจะไม่แสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว นางยังหว่านล้อมสองพี่น้องตระกูลโจวว่า “เนื่องจากท่านพ่อของพวกเจ้ากลับมาแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปพบปะสังสรรค์กับสหายร่วมชั้นต่างๆ ข้ากับท่านพ่อของพวกเจ้าพักอยู่ที่ห้องหนังสือจึงน่าจะสะดวกกว่า”

 

 

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่โจวชูจิ่นก็รู้สึกเห็นดีด้วยกับการจัดเตรียมนี้เป็นอย่างมากอยู่ในใจ

 

 

นี่เป็นสถานที่ที่นางกับจวงซื่อและน้องสาวเคยอาศัยอยู่ด้วยกันมาก่อน การตกแต่งภายในบ้านก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่จวงซื่อยังอยู่ นางยังจำได้ ตอนที่จวงซื่อเพิ่งล้มป่วยลงใหม่ๆ นั้น บิดาพักอยู่ที่ห้องหนังสือ ส่วนนางกับน้องสาวพักอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดา การที่บิดาจัดเตรียมเช่นนี้ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามารดายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่เพราะยังมีธุระให้ต้องจัดการ นางจึงต้องพาน้องสาวไปพักผ่อนก่อนเท่านั้นก็ไม่ปาน

 

 

นางยิ้มพลางกล่าวราตรีสวัสดิ์บิดาและหลี่ซื่อ จากนั้นดึงโจวเสาจิ่นไปที่เรือนหลัก สั่งการให้สาวใช้เปิด**บออกแล้วจัดตกแต่งห้อง

 

 

โจวเจิ้นยิ้มพลางส่ายศีรษะ มองไปที่หลี่ซื่ออีกครั้งด้วยสายตาที่อบอุ่นกว่ายามปกติมากอยู่หลายส่วน กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “หลายวันมานี้เจ้าเองก็ต้องเหน็ดเหนื่อยตามไปด้วย เช่นนั้นก็พักผ่อนให้ไวหน่อยเถอะ ข้าจะไปคุยกับหม่าฟู่ซานและหลี่ฉางกุ้ยสักสองสามประโยคแล้วจะกลับมา”

 

 

หลี่ซื่อยิ้มน้อยๆ อย่างสงบเสงี่ยมพลางกล่าว “เจ้าค่ะ” แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือโดยมีหลี่มามาช่วยประคอง

 

 

หลี่มามารู้สึกเป็นทุกข์แทนคุณหนูของตน แต่นางก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

 

 

โจวเจิ้นเคยกล่าวเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่จะทำการหมั้นหมายแรกๆ แล้วว่าเขาเป็นผู้ที่เคยแต่งงานมาก่อน การแต่งงานนี้หนึ่งก็เพื่อมีทายาทชายสำหรับสืบสกุล และสองก็เพื่อหวังว่าจะสามารถดูแลบุตรสาวทั้งสองคนก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี ในเวลานั้นนายท่านกับฮูหยินของตนต่างก็ตกลงและเห็นด้วย กระทั่งจัดเตรียมที่จะรับคุณหนูตระกูลโจวทั้งสองท่านไปอยู่ด้วยกัน แต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลเฉิงกลับไม่ยอมปล่อยคน ด้วยเหตุนี้คุณหนูของตนก็เลยได้เป็นมารดาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งเข้าไปเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม หากว่าบุตรที่ภรรยาคนก่อนของโจวเจิ้นทิ้งเอาไว้เป็นบุตรชายสองคน หรือหนึ่งในนั้นเป็นบุตรชายแล้วล่ะก็ เกรงว่านายท่านกับฮูหยินของตนก็คงจะไม่เห็นดีให้คุณหนูแต่งเข้ามามากขนาดนี้ก็เป็นได้

 

 

………………………………………………………………………