ตอนที่ 105 กราบไหว้บรรพชน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

บุตรสาวเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็กลายเป็นคนของครอบครัวผู้อื่น บุตรชายต่างหากที่ต้องรับผิดชอบเรื่องต่างๆ และเป็นผู้นำของครอบครัว จึงเป็นเรื่องปกติที่บุตรสาวจะมีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์อย่างไม่อาจประนีประนอมกับมารดาเลี้ยงบ้าง

 

 

ด้วยเหตุนี้หลี่มามาเองก็รู้สึกว่าคุณหนูของตนควรจะอดทนอดกลั้นเอาไว้ รอให้คุณหนูทั้งสองแต่งงานออกเรือนไปแล้วทุกอย่างก็จะดีเอง

 

 

ก่อนมานางได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าคุณหนูตระกูลโจวทั้งสองท่านจะมีนิสัยอย่างไร ต่อให้พวกนางจะถุยน้ำลายหรืออาเจียนใส่หน้านาง นางก็ต้องยิ้มเอาไว้ อดทนเอาไว้ และเคารพพวกนางทั้งสองโดยไม่พร่ำบ่นอะไรทั้งสิ้น

 

 

ไม่คิดว่าคุณหนูทั้งสองต่างก็เป็นคุณหนูจากตระกูลที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำก็ไม่มีเลยสักครั้งที่ไม่สงบเสงี่ยมและเกรงอกเกรงใจอย่างมีมารยาท ไม่แปลกใจที่นายท่านยอมให้คุณหนูแต่งเข้ามา กล่าวคือ ด้วยมารยาทของคุณหนูทั้งสองท่านนี้ ทั้งสองสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งกว่าคุณหนูจากตระกูลจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้นางบังเกิดความประทับใจหลายส่วนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

 

หลี่ซื่อได้ยินคำพูดของหลี่มามาแล้วก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ควรจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูทั้งสองชอบทานอะไรบ้าง ประเดี๋ยวเจ้าไปสอบถามภรรยาของหม่าฟู่ซานเสียหน่อย นางปฏิสัมพันธ์กับคุณหนูทั้งสองมาเป็นเวลาหลายปี คนของตระกูลโจวที่คุ้นเคยกับคุณหนูทั้งสองมากที่สุด เกรงว่าคงจะเป็นนางผู้นี้แล้ว” ขณะที่กล่าว นางก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ไปเจ้าก็นำปิ่นปักผมทองไปด้วยสักสองชิ้น ไม่มีผู้ใดติเตียนผู้มีสัมมาคารวะได้”

 

 

การแต่งงานในครั้งนี้ ตระกูลหลี่พึงพอใจเป็นอย่างมาก เพียงแค่สินติดตัวเจ้าสาวก็มีมากถึงสองหมื่นเหลี่ยงเงินแล้ว ทุกๆ ปีนายหลี่ผู้เป็นบิดายังมอบเงินจำนวนสามพันเหลี่ยงเงินให้หลี่ซื่อเอาไว้เป็นเงินเก็บส่วนตัวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้หลี่ซื่อจึงมีเงินใช้ไม่ขาดมือมาโดยตลอด กลับมาในคราวนี้ แค่ก้อนเงินสำหรับมอบเป็นเงินรางวัลให้ผู้อื่น นางก็หล่อเตรียมเอาไว้กว่าห้าร้อยเหลี่ยงเงิน

 

 

หลี่มามาเข้าใจในความหมายนั้น จึงไปยังที่ที่ภรรยาของหม่าฟู่ซานพักอยู่

 

 

ดังนั้นเมื่อโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นจัดเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่ล้างหน้าล้างมือแล้ว ทางห้องครัวก็ยกสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดเข้ามาให้

 

 

“ทางห้องครัวกล่าวว่า” ชุนหว่านที่ยกสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดเข้ามากล่าว “วันนี้ดึกมากแล้ว หากทำอย่างอื่นเกรงว่าคุณหนูทั้งสองท่านจะอาหารไม่ย่อย คืนพรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนเป็นโจ๊กสามสหายของเม็ดบัว หัวไป่เหอฝาน และถั่วแดงเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นพยักหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นยกถ้วยขึ้นมาแล้วชิมไปคำหนึ่ง

 

 

หลายวันมานี้นางรู้สึกคอแห้งอยู่บ้างพอดี

 

 

สาลี่ต้มน้ำตาลกรวดสีใสและมีรสหวาน ความร้อนก็กำลังพอดี

 

 

“อร่อย!” โจวเสาจิ่นกล่าวชม เห็นพี่สาวยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ก็รีบดื่มเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยเท่าตอนนี้นะเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นเพียงจิ้มลงไปบนหน้าผากของโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งเสียจริงๆ เปล่าประโยชน์ที่อุตส่าห์เกิดมามีหน้าตาฉลาดเฉลียว”

 

 

เอ๋!

 

 

สิบกว่าปีแล้วที่โจวเสาจิ่นไม่ได้ยินพี่สาวว่านางเช่นนี้

 

 

ชาติก่อน หากนางทำอะไรผิดไป พี่สาวก็มักจะว่านางเช่นนี้เสมอ

 

 

แล้วครั้งนี้นางทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ของวันนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากตอนอยู่จวนรองที่นางทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงคอยสอดส่องไปทั่วทุกที่ของจวนรองอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้ว ก็เหมือนกับว่านางจะไม่ได้ทำอะไรผิดไปเลยนี่นา!

 

 

โจวชูจิ่นเห็นท่าทีที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรเลยของนางแล้วก็ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ และเมื่อเห็นว่านอกจากฉือเซียงที่เข้ามาช่วยจัดเตียงให้พวกนางแล้วภายในห้องก็ไม่ผู้ใดอีก จึงลดเสียงลงและกล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองคิดดู พวกเราเพิ่งจะกลับมาถึง แต่ที่ห้องครัวกลับรู้ว่าในวันปกติพวกเราทานอะไรกันบ้าง ถ้าหากว่าฮูหยินไม่ได้ติดตามท่านพ่อกลับมาด้วย ภรรยาของหม่าฟู่ซานเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ว่าตอนนี้ฮูหยินติดตามกลับมาด้วย ภรรยาของหม่าฟู่ซานจึงไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้ได้แล้ว แต่ห้องครัวกลับมีปฏิกิริยาว่องไวขนาดนี้…ฮูหยินใหม่ของพวกเราผู้นี้ เกรงว่าจะไม่ใช่คนง่ายดายนัก”

 

 

โจวเสาจิ่นวางถ้วยลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่อย่าคิดมากไปเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านพ่ออยู่ข้างพวกเรา ฮูหยินย่อมไม่อาจสร้างเรื่องได้ ต่อให้อยากสร้างเรื่อง พวกเรามีกันตั้งสองคน จะข่มขวัญนางไม่ได้เชียวหรือ ไม่แน่ว่าฮูหยินเพียงต้องการผูกมิตรกับพวกเราเท่านั้นก็เป็นได้ ในเมื่อความเป็นอยู่ภายในบ้านก็สงบสุขดีอยู่แล้ว ใครจะยินยอมให้เกิดความวุ่นวายดังไก่ที่บินว่อนและสุนัขที่กระโดดโลดเต้นขึ้นภายในบ้านได้ ถ้านางดีกับพวกเรา พวกเราก็เพียงตามน้ำไปตามน้ำใจของนางก็พอ หลังจากที่ท่านพี่ไปอยู่เจิ้นเจียงแล้ว ข้ายังอยู่ที่บ้านอีกอย่างมากก็สองถึงสามปี คาดว่าฮูหยินก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายผู้หนึ่ง”

 

 

โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็ชะงักงัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาพลางกล่าว “ไม่รู้ว่าเจ้าโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ แต่เจ้าก็พูดถูก อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่กับนางเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ขอเพียงให้ทุกคนสามารถมองหน้ากันได้ก็พอแล้ว ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องลำบากใจด้วย”

 

 

“ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นหัวเราะเสียงใสพลางคะยั้นคะยอให้โจวชูจิ่นทานสาลี่ต้มน้ำตาลกรวด “น้ำตาลกรวดนี้อร่อยยิ่งนัก เป็นไปได้ว่าฮูหยินนำกลับมาจากหนานชาง!”

 

 

โจวชูจิ่นทานไปหนึ่งคำ รสชาติหวานแต่ก็ไม่ได้หวานโดดมากจนเกินไป นับว่าใช้วัตถุดิบที่ดีมากจริงๆ

 

 

นางสั่งการฉือเซียงว่า “ข้าจำได้ว่าท่านยายให้ท่านลุงใหญ่ห่อขนมทานเล่นของซูโจวให้พวกข้านำกลับมาด้วยสองห่อ เจ้านำไปมอบให้ฮูหยิน บอกนางว่าเป็นคำขอบคุณจากพวกข้าทั้งสอง”

 

 

ฉือเซียงยิ้มพลางเดินออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นกับพี่สาวบ้วนปากเสร็จก็ไปพักผ่อน

 

 

วันรุ่งขึ้น ภรรยาของหม่าฟู่ซานมาปลุกพวกนางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “ต้องไปกราบไหว้บรรพชน คุณหนูทั้งสองท่านอย่าให้สายนะเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นลุกขึ้นมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

ปู่ของโจวเจิ้นซื้อที่ดินสำหรับสร้างสุสานได้ผืนหนึ่งบริเวณตีนเขาชิงหลงทางทิศตะวันออกของเมืองจินหลิง แล้วย้ายหลุมฝังศพของปู่ทวดย่าทวด ปู่ย่า และบิดามารดาของตนมาฝังอยู่ที่นี่ จึงถือว่าที่นี่เป็นสุสานของตระกูลโจว

 

 

ลำดับแรกพวกนางต้องนั่งเกี้ยวไปที่สะพานไป๋เซี่ยก่อน จากนั้นค่อยนั่งเรือจากทะเลสาบเยี่ยนเชวี่ยข้ามฟากไปที่เขาชิงหลง

 

 

หลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็สว่างพอดี โจวเสาจิ่นและพี่สาวไปคารวะบิดาและหลี่ซื่อที่ห้องหนังสือ

 

 

โจวเจิ้นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว กำลังนั่งคุยกับหม่าฟู่ซานอยู่ที่แปลงดอกไม้หน้าห้องหนังสือไปด้วย พลางรอพวกนางสองพี่น้องไปด้วย พอเห็นพวกนางสองพี่น้อง ก็หัวเราะออกมาในทันที กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าหลายตัวขนาดนี้ ระวังอีกประเดี๋ยวจะรู้สึกร้อนเอาได้”

 

 

ตอนนี้เข้าสู่ช่วงที่อากาศจะเย็นในตอนเช้ากับตอนกลางคืน และร้อนในตอนกลางวัน

 

 

โจวเสาจิ่นสองพี่น้องคนหนึ่งสวมชุดเพ่ยจื่อสี่ม่วงอ่อนลายลูกพลับสี่แฉก ส่วนอีกคนสวมชุยเพ่ยจื่อสี่ขาวพระจันทร์ลายเถาวัลย์องุ่น

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้องสาวร่างกายอ่อนแอ ทนอากาศหนาวไม่ค่อยได้ พวกข้านำเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยไปด้วย ค่อยเปลี่ยนตอนที่อากาศร้อนขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเจิ้นพยักหน้าพลางกล่าว “มาเถิด ข้ามีของจะมอบให้พวกเจ้าสองพี่น้อง”

 

 

โจวเสาจิ่นและพี่สาวตามโจวเจิ้นเข้าไปในห้องหนังสือ

 

 

โจวเจิ้นหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาสองกล่อง ทำจากไม้หวงลี่แกะสลักลายดอกไม้ ประณีตและงดงามยิ่งนัก

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงของขวัญที่หลี่ซื่อมอบให้นางกับพี่สาวตอนที่พบหน้ากันเมื่อวาน เป็นเครื่องประดับศีรษะทับทิมหนึ่งชุดและไพลินอีกหนึ่งชุด กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “นี่อะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

แววตาเจ้าเล่ห์สายหนึ่งวาบตานัยน์ตาของโจวเจิ้น กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าลองทายดู!”

 

 

ดูเหมือนกับเด็กโข่งซุกซนผู้หนึ่ง

 

 

ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกว่าบิดาดูเป็นมิตรเป็นอย่างมาก ฉับพลันนั้นก็ลดระยะห่างกับบิดาลง

 

 

นางใช้มือลองชั่งน้ำหนักดูอย่างแผ่วเบา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นพึมพำกล่าวขึ้นว่า “หรือว่าจะเป็นตราประทับหนึ่งชิ้นเจ้าคะ”

 

 

ชาติก่อน ไม่รู้ว่านางเคยได้ยินใครเคยพูดว่า บิดาดูจะชอบสะสมตราประทับ และยังเชี่ยวชาญการแกะสลักตราประทับด้วย

 

 

โจวเจิ้นเห็นนางเอียงศีรษะ นัยน์ตาโตดำตัดขาวนั้นระยิบระยับ ช่างเหมือนกับท่วงท่าของจวงซื่อตอนที่กำลังขบคิดเรื่องต่างๆ ราวกับแกะ แค่นี้ก็รู้สึกโปรดปรานเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินว่านางทายได้ถูกต้อง ก็นึกถึงจวงซื่อที่ชื่นชอบหินจารึกโบราณมาตลอดชีวิต ในใจก็ยิ่งยินดีเป็นอย่างมาก จึงอุ้มโจวเสาจิ่นขึ้นมาพลางกล่าวว่า “เจ้าผีผู้ปราดเปรื่อง อะไรก็รู้ไปหมด เป็นตราประทับชิ้นหนึ่งจริงๆ เป็นข้าที่แกะสลักมาให้เจ้ากับพี่สาวของเจ้า ชิ้นหนึ่งสลักคำว่าเหตุผลและของขวัญ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งสลักคำว่าความฝันและความงดงาม ให้พวกเจ้าเอาไว้ใช้ในภายภาคหน้า”

 

 

โจวเสาจิ่นเป็นคนมาสองชาติภพก็ยังไม่เคยถูกผู้อื่นอุ้มขึ้นมาเช่นนี้มาก่อน ร่างกายของนางแข็งทื่อ หน้าแดงเรื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

 

 

โชคดีที่ไม่นานโจวเจิ้นก็รู้สึกตัวว่าไม่ค่อยเหมาะสม

 

 

โจวเสาจิ่นอายุสิบสองปี ไม่ใช่แค่สองขวบแล้ว

 

 

เขาวางโจวเสาจิ่นลง

 

 

โจวชูจิ่นเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ เดินไปเปิดกล่องอย่างยินดี

 

 

ตราประทับหินเลือดนก สีที่เปียกชุ่มนั้นสว่างสดใสราวกับจะสาดขึ้นไปด้านบนได้ก็ไม่ปาน ปลายด้ามแกะสลักเป็นลายเมฆมงคล สลักตัวอักษรสองตัวว่า ‘เหตุผลและของขวัญ’ ด้วยตัวอักษรฉิน ลายมือเรียบง่ายแต่ก็เคร่งขรึมและเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังสละสลวยและดูรื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นตราประทับหรือฝีมือแกะสลักล้วนเป็นชิ้นงานที่เป็นเลิศและโดดเด่น ถือเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง

 

 

โจวชูจิ่นชื่นชอบเป็นอย่างมาก กล่าวขอบคุณโจวเจิ้นไม่หยุด หยิบไปดูแล้วก็ดูอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

ชิ้นของโจวเสาจิ่นกับของโจวชูจิ่นไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าสลักด้วยตัวอักษรสองตัวว่า ‘ความหวังและความงดงาม’

 

 

นางไม่ค่อยชอบหินเลือดนก รู้สึกว่าสีแดงของมันเหมือนกับสีของเลือด ออกจะหวาดหวั่นผู้คนอยู่บ้าง แต่ตราประทับนั้นเป็นสีเหลี่ยมและตั้งตรงสูงไม่เกินสามเฟิน ทว่าความยาวกลับมีถึงสองชุ่น ทำให้นางนึกถึงตราประทับประจำตัวที่เลี่ยวจางอิงแขวนเอาไว้ที่ตัวชิ้นนั้นขึ้นมา คิดว่าหากวันใดวันหนึ่งตนได้ออกหนังสืออักษรภาพเหมือนเลี่ยวจางอิงเช่นนั้นบ้าง ก็จะได้ใช้ตราประทับประจำตัวชิ้นนี้ประทับลงบนปกหนังสือก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว จึงกล่าวขอบคุณบิดาอย่างยินดีด้วยเช่นกัน

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานเดินเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินรับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเจิ้นจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ!”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานออกไปแจ้งข่าว โจวเจิ้นเดินนำบุตรสาวทั้งสองคนออกไปจากห้องหนังสือ

 

 

หลี่ซื่อยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินโดยมีหลี่มามาช่วยประคอง เมื่อเห็นโจวเจิ้นและบุตรสาวเดินมาพร้อมกันทั้งสามคน ก็รีบก้าวออกไปทำความเคารพโจวเจิ้น

 

 

โจวเจิ้นประคองหลี่ซื่อเอาไว้ ไม่ให้นางทำความเคารพ กล่าวขึ้นว่า “ไม่มีคนนอกที่ไหน เจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

 

 

หลี่ซื่อยิ้มพลางขานรับ หันไปกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง จากนั้นก้มหน้าก้มตาติดตามอยู่ด้านหลังของโจวเจิ้นเดินไปที่โถงจอดเกี้ยว

 

 

โจวเจิ้นออกไปรับราชการอยู่หลายปี ถึงแม้ตระกูลโจวจะมีเกี้ยวอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ใช้งานมานานหลายปีและอยู่ในสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ เดิมทีเขาคิดจะว่าจ้างเกี้ยวสักสองสามหลัง แต่เฉิงเหมี่ยนกลับคิดเผื่อเอาไว้แล้ว เสนอให้เกี้ยวจากซอยจิ่วหรูไปรับและส่งพวกเขา

 

 

หม่าฟู่ซานตกเงินรางวัลให้กับคนหามเกี้ยวเหล่านั้น

 

 

โจวเจิ้นถามโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นว่า “พวกเจ้าจะนั่งด้วยกันหรือว่าจะแยกกันนั่ง”

 

 

“ย่อมต้องนั่งด้วยกันเจ้าค่ะ!” สองพี่น้องตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

 

โจวเจิ้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง สั่งการหม่าฟู่ซานว่า “นำกล่องที่เมื่อวานข้าให้เจ้าจัดเตรียมเอาไว้นั้นไปวางไว้ที่เกี้ยวของคุณหนูใหญ่และคุณหนูรอง”

 

 

หม่าฟู่ซานขานรับยิ้มๆ

 

 

พวกนางพากันขึ้นเกี้ยว

 

 

กระทั่งขึ้นมาบนเกี้ยวแล้ว โจวเสาจิ่นก็เปิดกล่องออก ข้างในมีขนมกรุบกรอบ ฟักเขียวเชื่อมอบแห้ง พุทราอบน้ำผึ้ง เค้กข้าว ลูกพลับตากแห้ง และขนมเปี๊ยะ…บรรจุเอาไว้จนเต็มกล่อง ทั้งหมดล้วนเป็นขนมจากร้านฉีฟังไจ

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าบิดาจริงใจ…ไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

นางเลิกผ้าม่านเกี้ยวขึ้นแล้วมองไปข้างหน้า

 

 

เกี้ยวสีเขียวของบิดาเคลื่อนตัวให้เห็นอยู่เนืองๆ ด้านหน้า ทำให้นางรู้สึกจสงบเป็นอย่างยิ่ง

 

 

หลังจากที่ขึ้นเรือมาแล้ว โจวเจิ้นชี้ไปที่ทิวทัศน์ระหว่างทางแล้วเล่าเรื่องต่างๆ ให้พวกนางฟัง ไม่เพียงสองพี่น้องตระกูลโจวเท่านั้น แม้แต่หลี่ซื่อเองก็ฟังอย่างสนใจด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

โจวเสาจิ่นถามบิดาว่า “เมื่อวานตอนที่ท่านไปจวนหลักนั้นได้พบกับท่านน้าฉือหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดถึงไม่เห็นเขามาร่วมทานมื้อเย็นด้วย”

 

 

โจวเจิ้นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่บุตรสาวคนเล็กถามถึงเฉิงฉือขึ้นมา แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าช่วงนี้บุตรสาวคนเล็กไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน เป็นไปได้ว่าคงมีโอกาสได้พบกับเฉิงฉือไม่น้อย จึงไม่ได้คิดอะไรมากอีก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้พบนายท่านสี่ฉือแล้ว แต่ดูเหมือนว่านายท่านสี่ฉือจะยุ่งมาก ข้าสนทนากับเขาเพียงไม่กี่ประโยคก็กล่าวอำลา คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่จวนหลักเป็นเวลานานขนาดนั้น ได้ยินว่ายังได้เจอกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยอย่างนั้นหรือ” เขาตั้งใจชื่นชมบุตรสาวต่อหน้าหลี่ซื่ออยู่เล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “หลายปีมาแล้วที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รับแขก เห็นทีว่าข้ากลับมาในครั้งนี้จะได้รับอานิสงส์จากชูจิ่นและเสาจิ่นเสียแล้ว! ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะได้นั่งเรือดีขนาดนี้”

 

 

เรือที่พวกนางนั่งลำนี้เป็นเรือของตระกูลเฉิง

 

 

โจวชูจิ่นเข้าใจเจตนาของบิดาดีจึงเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดถึงสาเหตุที่เฉิงฉือไม่มาร่วมทานมื้อเย็นที่เรือนเจียซู่ ในเมื่อบิดาไม่ได้เล่าให้นางฟังอย่างชัดเจน นางเองก็ไม่ควรถามให้มากความอีก…ไม่แปลกใจที่ชาติก่อนเฉิงฉือจะเหมือนกับบุคคลไร้ตัวตนผู้หนึ่ง นางอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงมาสิบกว่าปีแต่กลับไม่เคยเจอเขามาก่อนเลยสักครั้ง

 

 

เขาไม่ไปกราบไหว้บรรพชนบ้างเลยหรือ

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นคิด ก็รู้สึกอับอายขึ้นมา

 

 

บรรพชนของตระกูลเฉิง ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะไม่รู้ว่าเฉิงฉือปรากฏตัวออกมาหรือไม่

 

 

กระทั่งกราบไหว้บรรพชนเสร็จ ก็ล่วงเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ จึงทานมื้อเที่ยงอย่างเรียบง่ายอยู่บนเรือ เมื่อกลับมาถึงเมืองจินหลิงตะวันก็ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

…………………………………………………………………..