บทที่ 133 ค่าความรู้สึกดีติดลบได้ด้วย!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เฉินชางกลับมาที่ห้องทำงาน สวมเสื้อกาวน์สีขาวแล้วนั่งลง

ฉินเยว่วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามา “เฉินชาง สุดยอดไปเลยค่ะ! ไปฉายเดี่ยวถึงโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลเชียว ดูถูกไม่ได้จริงๆ! พวกเขาให้มาเท่าไหร่หรือคะ?”

เฉินชางชะงักไปแล้ว!

ใช่แล้ว! ดูเหมือนว่า…ถานจงหลินไม่ได้ให้เงินตนเลยสักแดงเดียว?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บใจ อา! ไม่ได้เจ็บใจเลยจริงๆ

ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้รับทักษะที่ยอดเยี่ยมมาสองทักษะต่างหาก หนึ่งคือทักษะการเย็บเส้นประสาทระดับสูง อีกหนึ่งคือการกระตุ้นทักษะการผ่าตัดเชื่อมต่อนิ้วระดับสูง

ทักษะที่สองนี่แหละสุดยอด!

อย่างไรก็นับเป็นการผ่าตัดชั้นสาม ซึ่งที่โรงพยาบาลอันดับสองไม่ได้พัฒนาในส่วนนี้ รอให้เครื่องมือและอุปกรณ์ของหัวหน้าอันมาถึงก่อน เฉินชางจะกลายเป็นเสาหลักคนใหม่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่าตนควรรีบใช้เวลาให้มีคุณค่าเพื่อพัฒนาระดับพื้นฐานของตน ตอนนี้เขาระดับสิบเจ็ด…ห่างจากระดับยี่สิบไม่มากแล้ว ควรถือโอกาสตอนที่ [คำชี้แนะจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง] ยังทำงานอยู่ รีบเพิ่มระดับเสีย!

ฉินเยว่เห็นเฉินชางไม่พูดอะไรอยู่นานจึงกระทุงแขนเฉินชาง พูดว่า “รีบบอกมาสิคะ? อึกอักอยู่ได้ ใครไม่รู้ยังคิดว่าคุณเป็นมนุษย์ป้าซะอีก!”

เฉินชางหันไปมองฉินเยว่ด้วยใบหน้าเขินอาย “ผมบอกคุณได้แค่ว่า…ผมลืมถามเขาไปเลยน่ะครับ?”

ฉินเยว่เห็นท่าทีเช่นนี้ของเฉินชางก็หัวเราะออกมาทันที “คิกๆๆ…เฉินชาง คุณนี่ตลกจัง!”

หวังเชียนก็รีบเดินเข้ามา “ชางเอ๋อร์ ได้ฉายเดี่ยวแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ? เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ!”

เฉินชางย้อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม…ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก พอไปถึงโรงพยาบาลก็มีคนออกมาต้อนรับ พอเข้าไปผ่าตัดก็มีคนสวมเสื้อกาวน์ให้ ยื่นมือก็มีคนส่งอุปกรณ์ให้ ก้มหน้าก็มีคนดึงตะขอให้ เงยหน้าก็มีคนซับเหงื่อให้ หมุนตัวไปก็มีคนหลีกทางให้ พอผ่าตัดเสร็จก็มีคนเข้ามาพูดอวย…”

หวังเชียนถลึงตากว้าง เต็มไปด้วยความอิจฉา!

“ว้าว…ให้ตายสิ…การผ่าตัดนี่มันสบายจริงๆ! นี่สิถึงจะเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของศัลยแพทย์”

“ชางเอ๋อร์ ปรึกษาหน่อยสิครับ ต่อไปถ้ามีโอกาสพาผมไปด้วยเป็นนะครับ เป็นไง?”

เฉินชางกลอกตาใส่ “ถ้าเกิดเรื่องแล้วคุณรับผิดชอบ ผมก็จะพาคุณไปด้วย!”

หวังเชียนได้ยินดังนั้นก็ตบไหล่เฉินชาง “ชางเอ๋อร์ ผมเข้าใจคุณสุดๆ แล้ว เป็นเพื่อนกันแค่เปลือกนอกสินะ!”

เฉินชางยิ้ม มองไปทางหวังเชียนด้วยท่าทางคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง

[หวังเชียน ค่าความรู้สึกดี: 30]

[ฉินเยว่ ค่าความรู้สึกดี: 32]

เฉินชางหันไปมองหมอในแผนกที่ค่อนข้างสนิทกับตน ความจริงคนเราก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับคนอื่นๆ เป็นอย่างไร ใครดีกับตน ใครไม่ดีกับตน ปกติก็สัมผัสได้อยู่ในใจ

[สือน่า ค่าความรู้สึกดี: 30]

……

คนในแผนกมีไม่มาก หากดูผ่านข้อมูลพวกนี้ ค่าความรู้สึกดีประมาณสามสิบแสดงว่าความสัมพันธ์ค่อนข้างดี

ตอนนี้เอง เฉินชางเห็นหยวนฟางเดินเข้ามา เขายิ้มมองเฉินชางแล้วพูดว่า “เฉินชาง สุดยอดไปเลยครับ ได้ออกไปฉายเดี่ยวด้วย แบบนี้ต้องเลี้ยงข้าวซะแล้ว ใช่หรือเปล่า?”

เฉินชางยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร แต่หัวใจเต้นตึกตัก

[หยวนฟาง ค่าความรู้สึกดี: -10]

เฉินชางชะงักไป ที่แท้ค่าความรู้สึกดีก็มีค่าติดลบด้วย เมื่อดูเช่นนี้ ค่าความรู้สึกดีเป็นศูนย์ คงเป็นค่าความรู้สึกดีของคนธรรมดา หากเป็นจำนวนบวกแสดงว่าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่พอใช้ได้กับตนเอง ส่วนค่าติดลบคงหมายถึงความสัมพันธ์แย่ หรืออาจไม่ชอบตน

เฉินชางไตร่ตรองดูเช่นนี้แล้ว จู่ๆ ก็คิดว่าค่าความรู้สึกดีนี่ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็มีหยวนฟางที่ดูผิวเผินคล้ายสนิทสนมกับตน แต่ในใจไม่ได้ชอบตนจริงๆ

หยวนฟางเห็นเฉินชางไม่พูดอะไรก็หรี่ตาเดินผ่านไป พูดด้วยท่าทีอิจฉาว่า “เฉินชาง ไปคราวนี้อย่างน้อยก็คงได้เงินเกือบพันหยวนเลยสินะครับ? หาเงินได้สบายจริงๆ พวกเราทำงานเหนื่อยแทบตายอยู่ที่โรงพยาบาล เดือนหนึ่งยังได้ไม่กี่พัน คุณออกไปฉายเดี่ยวไม่กี่ครั้งก็เท่ากับรายรับทั้งเดือนของพวกเราแล้ว! คุณต้องเลี้ยงข้าวพวกเรามื้อใหญ่เลยนะครับ”

ฉินเยว่ยู่ปาก จากนั้นจึงพูดยิ้มๆ ว่า “หึๆ…เฉินชางบอกว่าลืมรับเงินมาน่ะค่ะ!”

หยวนฟางชะงักไป อดยิ้มออกมาไม่ได้ นี่มันจะเชื่อได้หรือ? แต่ว่า…เมื่อคิดว่าเฉินชางฉายเดี่ยวได้แล้ว หยวนฟางก็ไม่พอใจ

เฉินชางพูดยิ้มๆ “หมอหยวนล้อเล่นแล้ว ผมเป็นพนักงานชั่วคราวมาสองปี เดือนหนึ่งเพิ่งจะได้เงินสองพันกว่า แต่หมอหยวนได้มากกว่าผมหลายพัน รายได้หนึ่งเดือนของคุณเท่ากับรายได้ครึ่งปีของผมเลย…หมอหยวน คุณควรเลี้ยงข้าวชดเชยสองปีนี้หรือเปล่าล่ะครับ?”

หยวนฟางได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปทันที ถึงกับหน้าดำคล้ำ ฝืนพูดยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวเฉิน นิสัยขี้งกของคุณนี่ควรเปลี่ยนได้แล้วนะครับ คุณได้บรรจุอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งยังได้ออกไปผ่าตัดฉายเดี่ยวอีก งกขนาดนี้ไม่ดีเลยนะครับ”

เฉินชางยิ้ม ไม่ได้สนใจอีก

[ติ๊ง! ค่าความรู้สึกดีของหยวนฟาง: -5!]

เฉินชางส่ายหน้า ในชีวิตคนเรามีคนประเภทนี้ไม่น้อยเลย ตอนคุณตกอับก็ไม่เคยมาช่วยเหลือคุณทั้งยังดูถูกด้วยซ้ำ แต่ในตอนที่คุณได้ดีกลับอิจฉาจนทนไม่ไหว เห็นคุณหาเงินได้ก็จะให้เลี้ยงข้าว ไม่ก็คิดหาเหตุผลต่างๆ นานามาขอยืมเงินจากคุณ ถ้าคุณไม่เลี้ยงข้าว ไม่ให้เงิน ก็จะพูดจาว่าร้ายคุณไปทั่ว

สรุปแล้วคือทนเห็นคุณได้ดีไม่ได้ พูดจาแต่ละคำก็บอกว่าคุณขี้งก แต่ตัวเองไม่เคยเลี้ยงข้าวสักมื้อ

ฉินเยว่ก็ไม่พอใจแล้ว จึงพูดสวนไปว่า “หยวนฟาง คุณบอกว่าเฉินชางขี้งก จริงๆ พวกเราเข้ามาทำงานที่แผนกฉุกเฉินสองปีแล้ว เฉินชางยังเคยเลี้ยงข้าวพวกเราบ้าง แต่ฉันไม่เห็นคุณเลี้ยงข้าวเลยนะคะ!”

ประโยคเดียวทำเอาหยวนฟางหน้าดำคล้ำ

[ติ๊ง! ค่าความรู้สึกดีของหยวนฟาง: -5!]

เฉินชางตกตะลึง ให้ตายสิ แบบนี้ก็ได้หรือ?

ฉินเยว่พูดว่าคุณ แต่ผลร้ายกลับตกมาอยู่ที่ผม สหาย ทำแบบนี้จะเกินไปหรือเปล่า?

ดูท่าทางค่าความรู้สึกดีก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง จะอย่างไรคนเราก็รู้หน้าไม่รู้ใจ เมื่อมีค่าความรู้สึกดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าตนจะถูกทำร้ายลับหลัง

หวังเชียนตบไหล่เฉินชางพร้อมรอยยิ้มบางๆ

……

……

เมื่อถึงเวลาใกล้เลิกงาน เฉินชางก็ได้รับโทรศัพท์จากกัวเฉิง

“เสี่ยวเฉิน คุณเลิกงานกี่โมงครับ ผมจะส่งคนไปรับ มากินข้าวเที่ยงด้วยกันสักมื้อนะครับ” กัวเฉิงในโทรศัพท์พูดเจือเสียงหัวเราะ

ความจริงแม้กัวเฉิงคนนี้จะมีฝีมือผ่าตัดจำกัด แต่จัดการเรื่องต่างๆ ได้ไม่เลวเลย มิฉะนั้นคงไม่ได้เป็นหัวหน้าแผนกของโรงพยาบาลซื่อปาตั้งแต่อายุยังน้อยหรอก

แม้ฝ่ายศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาลซื่อปาจะไม่ค่อยมีพัฒนาการนัก แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด เพราะจะอย่างไรก็เป็นโรงพยาบาลเก่าแก่ รับผิดชอบสุขภาพของผู้คนมากมาย

เฉินชางตอบว่า “หัวหน้ากัว ผมเลิกงานตอนเที่ยงครับ ไม่ต้องกินข้าวหรอก อีกเดี๋ยวผมไปหาก็พอแล้วครับ”

กัวเฉิงหัวเราะ “ไม่ใช่ผมหรอกครับ เป็นจิ้นชิงจื้อลูกชายของจิ้นตงต่างหาก สองวันมานี้พ่อของเขาฟื้นตัวได้ดีเยี่ยม จึงรู้สึกขอบคุณคุณมาก เขากลัวว่าหากเขาเชิญคุณด้วยตัวเองคุณจะไม่ยอมไป เลยให้ผมเชิญคุณไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ”

เฉินชางไม่ได้ปฏิเสธอีก พยักหน้าตอบรับไป “แบบนั้นก็ได้ครับ ผมเลิกงานตอนเที่ยงตรง เดี๋ยวเจอกันที่ประตูตะวันตกของโรงพยาบาลอันดับสองนะครับ”

กัวเฉิงยิ้ม “ได้ครับ!”

เมื่อคนเราอยู่ในสังคมย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติไปได้ เฉินชางเองก็เป็นเช่นนี้

ความจริงอาชีพหมอเป็นอาชีพที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้ง่าย คนไข้ของคุณมีหลากหลาย พบเจอพูดคุยกันสิบกว่าวัน ก็พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้ง่ายแล้ว

ในจุดนี้เฉินปิ่งเซิงทำได้ดีมาก หลังจากคนไข้ของเขาออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังรักษาความสัมพันธ์กับเขาเอาไว้จนสนิทกันเหมือนเพื่อน

ในเรื่องการการเข้าสังคมแบบนี้ เฉินชางคิดว่าตนควรเข้าร่วมสักหน่อย