ตอนที่ 69 จิ่วเยี่ยต้องการปลิดชีพ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

แม้เสียงครางจะชวนให้คิดไกล ทว่าในความเป็นจริง หลังจากที่มู่เฉียนซีกลับถึงจวน นางกับเยวี่ยเจ๋อประลองฝีมือกันอีกครา

การประลองฝีมือของทั้งสองถือว่ายืดเส้นยืดสายได้ดีทีเดียว

จบการประลองเล็ก ๆ เยวี่ยเจ๋อสภาพเฉกเช่นถูกทุบตี บนเรือนร่างเต็มไปด้วยรอยแผล มู่เฉียนซีจึงให้เขาไปแช่ร่างกายกับยาฟอกกระดูกชะล้างชีพจรที่นางปรุงขึ้นมาด้วยตนเอง

เยวี่ยเจ๋อยามได้แช่ยาอาบ ปากอ้ากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทว่าสุดท้ายกลับรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวชั่วทั้งยามราตรี

หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวลือกันว่าท่านผู้นำตระกูลมู่ชอบทำร้ายผู้อื่นอย่างโหดร้ายทารุณ ตัวอย่างคือเยวี่ยเจ๋อ  พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจนึกสงสารคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเยวี่ย

‘เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเยวี่ยนี่ไม่ง่ายเลย’

ยามอรุณรุ่ง…

มู่เฉียนซีกล่าว “เยวี่ยเจ๋อ เมื่อคืนเจ้าหลับสบายหรือไม่ ?”

ดวงตาเยวี่ยเจ๋อในเวลานี้ดำคล้ำ ทว่าเขารู้สึกสมรรถภาพร่างกายตนเองดีขึ้นสามถึงสี่เท่า  ทั้งพลังในกายยังก้าวข้ามไปถึงจุดสูงสุด เขาเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับหกแล้ว

“ก็ถือว่าดี” เขากล่าวอย่างฝืดฝืนใจเล็ก ๆ  มันเป็นความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง

“พลังของเจ้าก้าวข้ามเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับหกแล้วสินะ เช่นนั้นตอนนี้เลื่อนขั้นไประดับเจ็ดด้วยกันกับข้าเลยดีไหมล่ะ ?”

“ด้วยกันรึ ? เลื่อนขั้นไประดับเจ็ดหรือ ?” เยวี่ยเจ๋อไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

ในเมื่อเขากลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับหกแล้ว เช่นนั้นการจะเลื่อนขั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดคงไม่ไกลเกินเอื้อม

แม้ว่าตนจะมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง การที่จะทะลวงพลังเลื่อนไประดับเจ็ดได้นั้นอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งค่อนปี ทว่าพี่ใหญ่ของเขากล่าวว่าตอนนี้…

จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ?

“อืม ข้าให้เจ้าเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ใจเจ้าจะเลือกเลย” กล่าวจบ มู่เฉียนซีหยิบยาลูกกลอนกับยาเหย้าจี้มาชนิดละหนึ่งขวดยื่นให้เยวี่ยเจ๋อเลือก

“นี่มัน…”

“ยาทะลวงพลังหยวนระดับสอง และยาเหย้าจี้ที่ข้าปรุงขึ้นมาใหม่ซึ่งเทียบเท่ากับยาวิญญาณหยวนระดับสาม แต่ต่ำกว่าขั้นจอมภูต” มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก

ดวงตาของเยวี่ยเจ๋อเบิกกว้างแทบถลนออกนอกเบ้า  ยาระดับสองกับยาระดับสาม! ยาเหล่านี้ล้ำค่ามากมิอาจหาซื้อได้ง่าย ๆ แต่พี่ใหญ่กลับนำออกมาให้เลือกราวกับเป็นน้ำเปล่า มันช่าง…

มู่เฉียนซีกล่าว ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม “เจ้าค่อย ๆ เลือกไปแล้วกัน ข้าดื่มก่อนล่ะ”

นางหยิบขวดยาออกมาอีกขวดหนึ่ง กระดกลงคอไปทันที

ทันใดนั้น ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนราวกับสวรรค์และโลกผนวกเข้าด้วยกัน เยวี่ยเจ๋อมองขวดยาอย่างตื่นตะลึง

ยานี้มันช่างวิเศษดีแท้!

เยวี่ยเจ๋ออดใจรอไม่ไหว พลันหยิบยาทะลวงพลังหยวนยัดเข้าปากและกลืนลงไป ผลเป็นไปตามอย่างที่คาดไว้ พลังยาทะลวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่แล่นเข้าสู่เส้นลมปราณ เขารู้สึกราวกับตนทะลวงกำแพงระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย

— กร๊อบ! —

— กรึบ! —

— ซ่า! —

เสียงกระดูกภายในร่างกายของเขาดังเป็นระยะ ๆ  เยวี่ยเจ๋อรู้สึกได้ว่าภายในร่างกายเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ดวงตาสีดำดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลเปล่งแสงสว่างวาบวาว เขาได้เป็นผู้บำเพ็ญภูติระดับเจ็ดดั่งปรารถนาแล้ว

ถึงอย่างไร ระดับของผู้บำเพ็ญภูตในระดับเจ็ดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากพลังเหนือระดับเจ็ดไป ถึงจะนับว่าประสบความสำเร็จ

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดได้รวดเร็วเช่นนี้

มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมา แน่นอนว่านางเองก็ก้าวไปสู่ผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดอย่างราบรื่นไร้กังวล

“เยวี่ยเจ๋อ ในที่สุดเจ้ากับข้าก็สำเร็จการเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดแล้วสินะ  เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวท่านพ่อเจ้าจะเป็นกังวลเอาได้”

“ยาลูกกลอนและยาเหย้าจี้เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกพลังของเจ้า เจ้าชอบแบบไหนก็เลือกเอาตามแต่ใจเจ้า แต่หากเจ้าไม่ชอบกินยาเหย้าจี้ เจ้าจะเอาให้ใครก็แล้วแต่เจ้าเลย”

“ส่วนยานี่เป็นยาสมานแผล ช่วยรักษาบาดแผลต่าง ๆ…”

มู่เฉียนซียัดทั้งยาลูกกลอนและยาเหย้าจี้ให้กับเยวี่ยเจ๋อกองหนึ่ง ผลประโยชน์จากการไปจวนตระกูลโอวหยางครั้งนี้นางได้รับอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังออกจากจวนตระกูลโอวหยางโดยปลอดภัย  เยวี่ยเจ๋อผู้นี้ช่วยนางได้ไม่น้อยเลย นางอยากตอบแทนเขาบ้าง

เยวี่ยเจ๋อเบิกตากว้าง กล่าวขึ้น “โอ้! เยอะขนาดนี้เชียวรึพี่ใหญ่ ?”

“พี่ใหญ่ ข้ารับไว้ไม่ได้จริง ๆ  มันมากเกิน อีกอย่าง ยาเหล่านี้หากคิดเป็นเงินก็มีมูลค่ามากมาย”

มู่เฉียนซีกลอกตาใส่เขา นางกล่าวว่า… “มันจะมีมูลค่ามากมายอะไรกันนักหนา สมุนไพรวิญญาณข้าก็เอามาจากสวนหลวง อีกทั้งยังได้มาจากจวนตระกูลโอวหยางไม่น้อยเลย ต่อไปเจ้าจะเอาไปกินแทนข้าวก็กินไม่หมดเสียด้วยซ้ำ”

“พี่ใหญ่ ท่านไปเอายาลูกกลอนกับยาเหย้าจี้มากมายเหล่านี้มาจากที่ใดกัน ?”

“เจ้าติดตามข้ามาหลายวัน เจ้าเดาไม่ออกหรอกหรือว่าข้ามู่เฉียนซีเป็นนักปรุงยา ยาทั้งหมดนี่ข้าปรุงเองหลอมเองทั้งหมดนั่นแหละ เห็นไหม ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องเกรงใจข้า เจ้าเอาไปเถอะ เอาไปเยอะ ๆ เลย หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้ามาอีกที”

เยวี่ยเจ๋อแทบลมจับ คิดในใจ ‘ยาเหล่านี้มู่เฉียนซี… นางเป็นคนปรุงเองกับมือ นั่นก็แสดงว่านางเป็นนักปรุงยาระดับสองเป็นแน่แท้’

‘โอ…! นางยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ?!’

เยวี่ยเจ๋อหอบยาทั้งหมดออกจากจวนตระกูลมู่โดยที่สภาพร่างกายมิบาดเจ็บแต่อย่างใด

หลังจากที่เยวี่ยเจ๋อกลับไป เสียงอ่อนโยนอันนุ่มนวลชวนฟังก็ดังขึ้น

“ซีเอ๋อร์…”

มู่เฉียนซีอึ้งงัน นางกล่าว “ท่านอาเล็ก ยามอรุณเช่นนี้อากาศหนาว ท่านอามาได้อย่างไรรึ ?”

“มีซีเอ๋อร์คอยดูแล ร่างกายของข้าแข็งแรงกว่าคนปกติเสียอีก ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาดูว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเยวี่ยลักพาตัวหลานสาวของข้าไปแล้วหรือยัง” มู่อวู่ซวงกล่าว น้ำเสียงเจือความขื่นขมจาง ๆ ประหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ

หากซีเอ๋อร์โดนบุรุษลักพาตัวไปจริง ๆ ผู้เป็นอาอย่างตนคงไม่มีวันอภัยให้ตัวเอง ไหนเลยจะยังมิกล้าเอาหน้าไปเจอกับพี่ใหญ่ พี่รอง และชิงเฉิน

หากคนเหล่านั้นทราบว่าซีเอ๋อร์โดนบุรุษลักพาตัวเมื่อใด  เขาคงต้องเผชิญคลื่นอารมณ์โกรธของทั้งสามและอาจถูกปลิดชีพ

มู่เฉียนซีมุมปากกระตุกเล็กน้อย “ท่านอาเล็ก ท่านกลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? เยวี่ยเจ๋อเป็นน้องชายข้า ตระกูลมู่เรายังอ่อนแอนัก ยืมทหารของตระกูลเยวี่ยมาเสริมความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องดี และเยวี่ยเจ๋อเขาก็ดี ข้าจึงช่วยให้เขามีพลังเพิ่มเพื่อตอบแทนเพียงเท่านั้นเอง”

“ข้าเข้าใจเจ้า” มู่อวู่ซวงยิ้มเล็ก ๆ พลางจับมือทั้งสองข้างของหลานรัก “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าหักโหมมากนัก ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”

มู่เฉียนซีรู้สึกอบอุ่นขึ้นภายในใจ นางส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ท่านอา ข้าไม่ได้หักโหมสักหน่อย ก็แค่คิดบัญชีให้ถูกต้องตามสมควรเพียงเท่านั้น”

แววตาของนางเปล่งประกายความเยือกเย็น ขณะเอ่ยคำ “ไม่เอาคืนพวกที่มาทำร้ายเรา มิใช่นิสัยของข้าผู้นำตระกูลมู่ มู่เฉียนซี!”

มู่อวู่ซวงยิ้ม กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นซีเอ๋อร์อยากทำอะไรก็ตามใจ  มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าไม่ยอมให้มีใครมารังแกเจ้าได้ง่าย ๆ แน่นอน”

หลังจากที่ส่งอาเล็กกลับไปไม่นาน  มีแขกมาเยือนมู่เฉียนซีอีกครั้ง

ทั่วทั้งลานบ้านเสมือนเปลี่ยนกลายเป็นนรกอสุระ  มู่เฉียนซีเดินออกมาก็เห็นร่างเย็นยะเยือกที่คุ้นเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ของนาง

ใบหน้าคมคายไร้ที่ติมีทั้งความเยือกเย็น ความชั่วร้าย และความงดงามผสมรวมอยู่ด้วยกัน นัยน์ตาสีฟ้าใสทว่าดูเย็นเยียบนั้นลึกล้ำราวหุบเหวลึก ดูน่ากลัวจนมิอาจคาดเดาได้ว่าจะกระเพื่อมกลืนกินวิญญาณมนุษย์เมื่อใด จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากเรียวบางแดงระเรื่อทว่าซ่อนความชั่วร้ายอยู่

เขาเปรียบเสมือนราชาผู้เหี้ยมโหด เหมือนปิศาจร้ายหาที่เปรียบมิได้

“จิ่วเยี่ยมาได้อย่างไร ?”

การมาของจิ่วเยี่ยทำให้นางประหลาดใจยิ่งนัก

เยี่ยอ๋องแห่งแคว้นจื่อเยี่ยผู้นี้ทำตัวลึกลับซับซ้อนเดาใจไม่เคยได้

จิ่วเยี่ยจ้องมองมู่เฉียนซี แววตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าสังหาร เขากล่าว

“เยวี่ยเจ๋อผู้นั้น ข้าต้องการปลิดชีพ”

เจตนาฆ่าของจิ่วเยี่ยทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดอย่างยิ่ง

มู่เฉียนซีขมวดคิ้วมุ่น “อะไรของเจ้า ? เยวี่ยเจ๋อเป็นน้องชายของข้า แม้แต่เจ้าก็จะมาฆ่าเขามั่ว ๆ ไม่ได้ เจ้าไม่มีเหตุผลรึ ? หากเขาทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจเจ้าบอกข้าสิ  เราจะได้มาหาวิธีแก้ไขกัน เจ้าว่าอย่างไรล่ะ ?”

“การรบราฆ่าฟันมันโหดร้ายเกินไป และมันไม่ใช่เรื่องที่คนสง่าอย่างเราควรทำ” มู่เฉียนซีกล่าวสำทับวาจาตนเองด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

การที่นางกล่าววาจาเช่นนี้ แทบจะทำให้จิ่วเยี่ยกระอักเลือดสามระลอก ดูเหมือนว่านางจะยอมแพ้แก่เขา ทว่าสิ่งที่นางยืนยันนั่นก็คือ…ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามฆ่าบุรุษแซ่เยวี่ยผู้นั้น

จิ่วเยี่ยกล่าวถาม น้ำเสียงเยียบเย็นบาดลึก

“เมื่อคืนเขานอนที่จวนเจ้ารึ ?”

.