มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย ลอบพูดอยู่ในใจ  ‘เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่ หรือว่าเพราะเยวี่ยเจ๋อมาอยู่กับข้าที่นี่เมื่อคืน เขาก็เลยจะฆ่าเยวี่ยเจ๋อ!  โชคดีที่เขาไม่ได้ลงมือ ไม่เช่นนั้นเยวี่ยเจ๋อคงได้ตายอย่างไม่เป็นธรรม’

“จิ่วเยี่ย  เยวี่ยเจ๋ออาศัยอยู่กับข้าที่นี่คงจะไม่ได้กระทบอะไรกับเจ้านะ ทำไมเจ้าถึงจะฆ่าเขาล่ะ ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม นางขบคิดเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ

ในที่สุดนางก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดผู้คนในแคว้นจื่อเยี่ยถึงได้กลัวซวนหยวนจิ่วเยี่ยผู้นี้นัก  ดูเสียก่อน ดูเหตุผลที่เขาจะฆ่าคนเสียก่อน ใครเล่าจะคาดเดาได้!

หรือไม่ก็… อาจเป็นเพราะเยวี่ยเจ๋อกำลังทำเรื่องอะไรที่อาจจะธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเจ้าก้อนน้ำแข็งโผล่มาเห็นเข้า กลับรู้สึกไม่ชอบใจจนอยากจะฆ่า

พลังของเขาแข็งแกร่งนัก  หากเขาจะฆ่าใคร ไม่มีทางใดที่คนผู้นั้นจะสามารถต่อกรกับเขาได้เลย หากถูกเจ้านี่หมายหัวละก็ จุดจบสุดท้ายคือไปร้องขอความเป็นธรรมเอาในยมโลก

จิ่วเยี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ “เจ้าเป็นเพื่อนร่วมหอของข้า!”

“นั่นมันแค่ในสำนักศึกษา แต่ที่นี่เป็นบ้าน ที่สำคัญที่นี่เป็นบ้านของข้า”

มู่เฉียนซีกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา สิ่งที่เจ้าก้อนน้ำแข็งพูด เป็นเหตุผลแปลกประหลาดอันใด ?

“ข้าอยากให้เขาตาย” จิ่วเยี่ยกล่าว ความอำมหิตเยือกเย็นแผ่ออกจากกาย

มู่เฉียนซีรู้สึกว่าบทสนทนากับซวนหยวนจิ่วเยี่ยเริ่มไม่ราบรื่น เช่นนั้นนางจึงคิดพูดเข้าประเด็น แม้ต้องแตกหักก็ต้องยอม

“เจ้าพูดกับข้าตรง ๆ เลยเถอะ เจ้าต้องการอย่างไรถึงจะยอมเปลี่ยนความคิดอันนำไปสู่การนองเลือด ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

“เจ้าไปอยู่กับข้า” จิ่วเยี่ยกล่าวง่าย ๆ  ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้

มู่เฉียนซียังไม่ทันตอบกลับ ถูกโอบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันเย็นยะเยือก ฉับพลันสองร่างกระตุก ก่อนที่ร่างกายจะรู้สึกเสมือนอันตรธานหายไปกลางอากาศ

ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะให้นางได้โต้เถียง…

เมื่อมาถึงจวนเยี่ยอ๋อง จิ่วเยี่ยจ้องมองมู่เฉียนซี

“แล้วเขายังไปทำอะไรในจวนของเจ้าอีกบ้าง ?”

มู่เฉียนซี “ก็ไม่ได้ทำอะไร? แค่เรียนรู้ยุทธ์ซึ่งกันและกัน ขยับเส้นสายนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“อยู่ที่จวนข้า ข้าเป็นคู่มือให้เจ้าได้” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเย็นเยียบ

มู่เฉียนซีอ้าปากค้าง “จิ่วเยี่ย เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ? เจ้าจะมาฝึกซ้อมให้ข้า นั่นมันเป็นการอัดข้า เจ้าคิดจะทารุณข้าชัด ๆ!”

“ข้าจะไม่ใช้พลังวิญญาณ อย่างไรเสียขั้นพลังวิญญาณที่เจ้ามีมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับไม่มี”

มู่เฉียนซีมุมปากกระตุก “จิ่วเยี่ย เจ้าไม่ได้แค่โจมตีผู้อื่นธรรมดา ๆ  เจ้าอาจ… อาจพลั้งมือสังหาร”

จิ่วเยี่ยจับมือมู่เฉียนซีไว้แน่น ปากก็พูด “ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ”

มู่เฉียนซีพยักหน้า “เฮ้อ… ข้าไม่ปฏิเสธก็ได้ แท้จริงแล้วมีคู่ฝึกที่แข็งแกร่งเยี่ยงเจ้าฝึกเป็นเพื่อนข้าก็ดี  ฝึกกับผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมดึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ข้างในออกมาได้ แต่เจ้าต้องออมมือหน่อยนะ”

“สำหรับหญิงสาวที่ข้าปกป้องอยู่ ข้าไม่สร้างบาดแผลให้อยู่แล้ว” จิ่วเยี่ยกล่าวพลางผงกหัว

วันต่อมา

จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีไปฝึกซ้อมด้วยกัน  ความสามารถของจิ่วเยี่ยช่างอาจหาญจนเกินจริง แม้ยังมิได้ใช้พลังวิญญาณในการสู้กับนาง ก็ยังทำให้นางรู้สึกเหมือนขยับเขยื้อนไม่ได้

วันนี้เขาจงใจจะใช้ความสามารถที่มีให้น้อยที่สุด ทั้งยังควบคุมความรวดเร็วให้ต่ำที่สุด

ตอนนี้มู่เฉียนซีมองเห็นชัดเจนแล้ว ยามพบกันเมื่อครั้งแรก วันนั้นที่จิ่วเยี่ยโจมตีนาง เกรงว่าเขาจะใช้เรี่ยวแรงไม่ถึงแม้หนึ่งในพันส่วนของเขาด้วยซ้ำ

— ปัง!  ปัง!  ปัง! —

เงาสีม่วงสีดำตัดสลับกัน เข็มยานับไม่ถ้วนลอยตกลงมา เข็มพวกนั้นถูกจิ่วเยี่ยปัดออก เขาป้องกันอย่างสบาย ๆ

ในด้านมู่เฉียนซี นางเข้าโจมตีอีกครั้ง พลันใช้เข็มยาทั้งหมดที่มีในมือ เคลื่อนกายเข้าไปใกล้ร่างสีดำ โจมตีระยะประชิด  การเคลื่อนไหวนั่นรวดเร็วมาก ทั้งสองสู้กันไปเป็นร้อยกระบวนท่า

— ปัง! —

มู่เฉียนซีที่ทั้งร่างอาบไปด้วยเหงื่อถูกจิ่วเยี่ยจับตัวไว้ได้  ทว่า…

มือของเขาดันไปจับโดนในที่ที่ไม่ควรเสียได้

ทั่วทั้งร่างมู่เฉียนซีแข็งทื่อ!

ไอสังหารจากร่างจิ่วเยี่ย แผ่ไปทั่วทั้งร่างของนาง

“จิ่วเยี่ย ข้าอยากตัดมือทั้งสองข้างของเจ้าจริง ๆ”

ขาของนางยกขึ้นในแนวขวาง เตะใส่ร่างสูง ลูกเตะนั้นทำให้มวยผมของเขาหลุดออก

จิ่วเยี่ยที่ในเวลานี้ถูกสตรีสกุลมู่ก่นด่าในใจว่า ‘เจ้าคนไร้ยางอาย’ กล่าวอย่างสบาย ๆ “อา… รู้สึกสบายมือดี” พูดจบเขาก็เตรียมเข้าไปลองสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง

มู่เฉียนซีใบหน้าร้อนฉ่า นางตะโกนลั่น “จิ่วเยี่ย เจ้าช่างไร้ยางอาย!”

ในใจของนางนั้นโกรธมาก เจ้าจิ่วเยี่ยนี่ดูเหมือนจะเป็นคนเยือกเย็น ไม่ได้มีความต้องการในสิ่งใด  คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับเป็นคนหน้าเนื้อใจเดรัจฉาน

แววตามู่เฉียนซีบ่งบอกว่านางแทบอดไม่ได้ที่จะสับเขาเป็นหมื่น ๆ ชิ้น เมื่อมีลมพัดพาฝุ่นผงบริเวณนั้นผ่านเข้ามา มู่เฉียนซีรวบรวมกำลังทั้งหมดโจมตีจิ่วเยี่ยเพื่อเป็นการระบายความโกรธให้แก่ตนเอง

“ผนึกมังกรวารี!”

“ห่าฝนบุบผา!”

“มังกรวารีสะเทือนฟ้า!”

“กลองลั่นระรัว!”

พลังธาตุวารีระเบิดออกมาจนถึงขีดสุด พุ่งโจมตีจิ่วเยี่ยเต็มแรง

“ย๊าก!” นางตะเบ็งสุดเสียง

ครานี้จิ่วเยี่ยกลับไม่หลบหรือป้องกัน เขายอมให้พลังธาตุวารีพุ่งอัดบนร่างของตน

ในฉับพลันท่านอ๋องผู้โหดร้ายกลายเป็นซุปไก่เปียกปอน ไข่มุกสีเลือดและคริสตัลกระเด็นหลุดออกจากมวยผมของเขา

แม้มันจะดูน่าอับอาย ตัวเขากลับยังคงสง่างามน่าชื่นชมไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น สีหน้าประหลาดใจ “จิ่วเยี่ย เหตุใดเจ้าถึงไม่ป้องกันเล่า ?”

จิ่วเยี่ย “ตอนนี้สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง ?”

มู่เฉียนซีถลึงตามอง ใบหน้างงงันชัดเจน “หือ ? เจ้าตั้งใจที่จะไม่หลบ เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะให้อภัยในสิ่งที่เจ้าทำไปรึ ?”

ฝ่ามือของมู่เฉียนซีถูกมือเย็นยะเยือกคู่หนึ่งมาประกบไว้ “เช่นนั้นเจ้าก็มาจับของข้าบ้าง ถึงแม้ว่าส่วนนั้นของพวกเราจะไม่ค่อยคล้ายกันสักเท่าไรนัก”

จิ่วเยี่ยก้มหน้าลงมองหน้าอกหน้าใจของมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีแทบเป็นลมล้มลง “มันไม่ได้เหมือนกันแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าเป็นผู้ชายมีอะไรให้น่าสัมผัสรึ ? อย่างไรข้าก็เสียเปรียบอยู่ดี”

“ข้าไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรก” จิ่วเยี่ยตอบกลับอย่างซื่อ ๆ

มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  จากน้ำเสียงกอปรกับท่าทางของเขา เท่าที่นางเห็น  เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่ไม่ได้พูดโกหก

เขาไม่ได้มีความคิดในเรื่องความแตกต่างของหญิงชายแม้แต่น้อย  สำหรับเขาแล้วความแตกต่างระหว่างคนก็คงมีแค่คนเป็นกับคนตายเท่านั้น

ไปโกรธเคืองคนเช่นเขาก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา

มู่เฉียนซีกล่าว “วันนี้ฝึกกันเท่านี้แล้วกัน ข้าจะกลับไปพักผ่อน”

“ช้าก่อน ร่างเจ้ามีรอยฟกช้ำ ข้าจะดูแลให้เจ้า” ว่าแล้วจิ่วเยี่ยก็ดึงมูเฉียนซีไปที่ห้องของเขา

“ไม่ต้อง ๆ  เจ้าเป็นคนที่ทำการรอบคอบ ไม่ได้ทำอะไรให้ข้าบาดเจ็บ” มู่เฉียนซีรีบกล่าว

“เจ้าใช้พลังกายไปมาก ข้าจะช่วยเจ้าผ่อนบรรเทา” จิ่วเยี่ยยืนกราน

มือเรียวยาวคู่หนึ่งยื่นมาจับข้อเท้าของมู่เฉียนซีไว้ มือที่เย็นเฉียบคู่นั้นทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นเข้าร่าง

“อย่าเลย เรื่องแบบนี้ข้าว่าหาหญิงรับใช้ให้มาทุบ ๆ ไหล่นวด ๆ เอวข้าก็พอใจแล้ว เจ้าไม่เห็นต้องมาทำให้เลย”

“ที่จวนของข้า นอกจากพ่อบ้านไป๋แล้ว ไม่มีคนอื่นอีก เช่นนั้นข้าจึงต้องลงมือทำเอง”

“ฮื้มมมม” มู่เฉียนซีฮัมเสียงไม่พอใจในลำคอ

จิ่วเยี่ยไม่สนใจ  เขาค่อย ๆ ออกแรงที่มือเบา ๆ  มีเสียงอิดออดมาจากมู่เฉียนซีอยู่ช่วงหนึ่ง

“จิ่วเยี่ย!” มู่เฉียนซีอยากที่จะหนีออกไปเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งจิ่วเยี่ยได้

มือทั้งสองข้างจับอยู่บนบ่าของนาง นวดคลึงเบา ๆ  ถูกนวดไปมาชักจะรู้สึกสบาย ถึงกับต้องบอกในใจว่าฝีมือการนวดคลึงของจิ่วเยี่ยยอดเยี่ยมทีเดียว สามารถทำให้กระดูกทั้งตัวของนางคล้ายจะอ่อนลงได้

“ฮู่ว!” มู่เฉียนซีในเวลานี้ ฮัมเสียงพอใจในลำคอ

จิ่วเยี่ยถามขึ้น “สบายหรือไม่ ?”

“อืม ไม่เลวเลย เจ้าฝีมือดีไม่เบา”

หลังจากที่ได้บีบนวดแล้ว มือสง่างามของจิ่วเยี่ยค่อย ๆ เผยคำออกมาสี่คำ “พรุ่ง นี้ ฝึก ต่อ”

นางเรียนรู้ต่อไป บีบเค้นพลังที่ซ่อนอยู่ในตนเอง รีดเค้นพลังกาย  จากนั้นเยี่ยอ๋องก็ได้ฝึกปรือฝีมือการนวดของเขาไปด้วย  มู่เฉียนซีสามารถเป็นพยานได้ว่าฝีมือการนวดของของเยี่ยอ๋องพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

นานวัน… ความเป็นอยู่ของมู่เฉียนซีในจวนเยี่ยอ๋องเป็นไปอย่างดีเยี่ยม  ทั้งการกิน การดื่ม การนอน  มียอดฝีมือคอยช่วยฝึกยุทธ์ มีหมอนวดผู้งามสง่าดูแล ช่างเป็นสุขเสียจนแทบจะลืมจวนตนเอง

เวลานั้น องครักษ์เงามาถึงจวนเยี่ยอ๋อง ซึ่งเวลานี้เสมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผู้นำตระกูลมู่แล้ว พวกเขาแทรกซึมเข้ามาเพื่อส่งข่าวสารให้แก่มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ ทว่าสิ่งที่น่ากลัวในจวนเยี่ยอ๋อง ไม่ทำร้ายพวกเขา

“ท่านผู้นำตระกูล แย่แล้วขอรับ! เกิดเรื่องแล้ว!” เสียงนั้นถูกส่งมาจากองครักษ์เงา

.