บทที่ 120: ฉันมีอำนาจ

โรเอลรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมากกับความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ร่วมของอลิเซีย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงชอบพูดกันเสมอว่าลูกสาวเป็นดั่งหมอนนุ่ม ๆ ของผู้เป็นพ่อ แม้ว่าโรเอลจะเป็นเพียงแค่พี่ชาย แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากอลิเซีย เขาดึงเธอเข้ามากอดและลูบผมสีเงินแวววาวของเธอ เด็กชายรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังสงบลงอย่างช้า ๆ อีกครั้ง

สำหรับอลิเซียแล้ว… เด็กสาวรู้สึกว่าพี่ชายของเธอช่างมีชีวิตที่ยากลำบากจริง ๆ

พี่ใหญ่โรเอลต้องผ่านอะไรมามากมาย ต้องเติบโตขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว เขาเสียแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อย และพ่อของเขาแทบไม่มีเวลาให้เขาเลย ความสามารถทางด้านพลังเหนือธรรมชาติของเขาเองในตอนแรกก็ยังไม่ดีนัก ส่งผลให้หลายคนสงสัยว่าเขาไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติรึเปล่า

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเราสองคนที่จะได้ค้นพบความอบอุ่นของกันและกันเช่นนี้ แต่แล้วทันใดนั้นราชวงศ์ก็เข้ามาครอบงำ ด้วยแผนการของชายชราผู้มีใบหน้าอันอ่อนโยน และองค์หญิงผู้ไร้เหตุผล ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะเอาเปรียบพี่ใหญ่โรเอล

พวกมันทุกคนช่างชั่วร้ายจริง ๆ!

อลิเซียคร่ำครวญอย่างขุ่นเคืองในใจ เห็นได้ชัดว่าเธอมีอคติอย่างมากต่อตระกูลเซไซต์ เธอรู้สึกว่าชีวิตอันสงบสุขของเธอกับโรเอลปั่นป่วนไปตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกับนอร่า

ราวกับว่าชีวิตยังลำบากไม่พอสำหรับเขา โรเอลต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องแม่เลี้ยงอีก! แค่คิดว่าชีวิตของโรเอลน่าสลดใจแค่ไหน ก็ทำให้หัวใจของอลิเซียแตกสลายแล้ว

โอ้เทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมโลกนี้ถึงช่างโหดร้ายกับพี่ใหญ่โรเอล?

ในความคิดของอลิเซีย โรเอลเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์แบบ ความยากลำบากใด ๆ ที่เขาเผชิญล้วนเกิดจากความไม่แน่นอนของโลกหรืออุบายของผู้อื่น ด้วยความเชื่อดังกล่าว ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่เธอโอบกอดโรเอลในอ้อมกอดของเขา

“พี่ใหญ่ คิดว่าท่านพ่อจะฟังความเห็นของพวกเราแล้วยอมแพ้หรือไม่?”

คำพูดของอลิเซียทำให้โรเอลสะดุ้งเล็กน้อย เขาเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเด็กสาวในอ้อมกอด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ

เกือบลืมไปเลยว่าพ่อของอลิเซียเสียชีวิตในสนามรบ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะทำความคุ้นเคยกับตระกูลแอสคาร์ด การที่พ่อของเราต้องมุ่งหน้าไปยังสนามรบอีกคน อาจจะไปกระตุ้นความบอบช้ำในใจของเธอสินะ

โรเอลรู้สึกขัดแย้งภายในเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะโกหกอลิเซีย เขาจึงทำได้เพียงแค่ให้คำตอบกับเธอ ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความไม่สบายใจของเด็กสาวได้เล็กน้อย

“มันอาจจะยากสักหน่อย เพราะท้ายที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา”

ผู้ที่รับราชการทหารย่อมมีความภาคภูมิใจในตนเอง พวกเขาเชื่อมั่นในบทบาทของพวกเขา แม้ว่ามันจะจบลงด้วยความตาย นั่นก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้คนที่พวกเขารัก

แม้คาร์เตอร์จะเป็นผู้นำของตระกูลแอสคาร์ด แต่ถ้าหากตัดสินจากการกระทำที่เขาทุ่มเทความพยายามและเวลาของตนให้กับกองทัพจนละเลยเขตการปกครองแอสคาร์ด อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นทหารก่อนสิ่งอื่นใด เขาใช้ชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะยอมถอย แม้ว่าคาร์เตอร์อาจจะละทิ้งอาชีพการงานของเขาได้ แต่เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะทิ้งสหายของเขาในช่วงวิกฤตแน่

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามาร์ควิสคาร์เตอร์เลือกที่จะถอยกลับมาที่นี่ มันก็จะทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องเสื่อมเสีย แวดวงขุนนางนั้นถือว่าเกียรติยศของตนสูงส่งยิ่งกว่าชีวิต เพราะชื่อเสียงของพวกเขาไม่ใช่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนในตระกูลของพวกเขาด้วย

ด้วยความเข้าใจทั้งหมดของโรเอลในสิ่งเหล่านี้ ทำให้เด็กชายไม่สามารถห้ามคาร์เตอร์ได้ไม่ว่าเขาจะกังวลมากแค่ไหนก็ตาม

“แต่ถึงกระนั้น หนูไม่คิดว่ามันถูกต้องสำหรับท่านพ่อที่จะเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของลูก ๆ นะคะ อย่างน้อย ๆ เขาก็ควรฟังความกังวลของพี่ใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ?”

อลิเซียถามทั้งน้ำตา

พี่ใหญ่โรเอลเป็นสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ด อีกทั้งยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวด้วย ดังนั้นเขาควรจะสนใจคำพูดของพี่ใหญ่โรเอลสิ!

ถ้าคาร์เตอร์แต่งงานใหม่และมีลูกหลานมากขึ้น ตำแหน่งของโรเอลในฐานะผู้สืบทอดก็อาจจะถูกคุกคามได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าคาร์เตอร์ถูกผู้หญิงแย่ ๆ หลอกลวง มันก็อาจจะลงเอยที่คาร์เตอร์โปรดปรานลูก ๆ คนอื่นของเขา ยกเว้นโรเอล…

อลิเซียใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการรวบรวมโครงเรื่องละครอันซับซ้อน ทำให้เธอรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้น

ไม่ เราจะปล่อยให้พี่ใหญ่โรเอลต้องโศกเศร้าเพราะสาเหตุนั้นไม่ได้!

อลิเซียกำหมัดแน่นแล้วรวบรวมความกล้าออกมา

“ถ้าพี่ใหญ่ไม่สะดวกที่จะพูดคุยกับท่านพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนูจะเป็นคนไปคุยเองค่ะ”

“หืม? เธอจะทำมันงั้นเหรอ?”

“ค่ะ พี่ใหญ่ ได้โปรดให้หนูเป็นคนโน้มน้าวท่านพ่อให้เปลี่ยนใจด้วยเถอะ!”

เมื่อได้เห็นแววตาอันแน่วแน่ของอลิเซีย โรเอลก็กะพริบตาพร้อมวิเคราะห์สถานการณ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

อืม… ถ้าให้อลิเซียเป็นคนพูดแทนล่ะก็ มันอาจจะได้ผลมากกว่าก็ได้ คาร์เตอร์เองก็เป็นผู้ปกครองของเธอ และเขาก็สัญญาว่าจะดูแลเธออย่างดี แม้ว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวไม่ให้คาร์เตอร์ไม่เข้าร่วมในการต่อสู้เลย แต่ก็คงจะดีกว่าถ้าเราโน้มน้าวให้เขาถอยกลับไปที่แนวหลัง และจัดการกับการหน่วยขนส่งหรืออะไรแทน อย่างน้อยมันก็จะปลอดภัยขึ้นกว่าเดิมมาก

ด้วยความคิดดังกล่าว โรเอลพยักหน้า พร้อมกับแสงที่เริ่มกลับมายังแววตาของเขา

“อลิเซีย พี่ขอมอบเรื่องนี้ให้เธอจัดการ! ทำในสิ่งที่เธอต้องการได้เลย แต่อย่าไปเครียดกับเรื่องนี้ให้มากล่ะ ไม่ว่าเธอจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม พี่จะไม่โทษเธอสำหรับเรื่องนี้หรอกนะ”

“ค่ะ พี่ใหญ่!”

อลิเซียกำหมัดแน่นพร้อมบอกกับตัวเองว่าเธอจะต้องโน้มน้าวคาร์เตอร์ให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ส่วนทางด้านโรเอลก็เผยรอยยิ้มแห่งความโล่งใจ แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังอย่างมากออกมาอย่างชัดเจน

สหายทั้งสองรีบทานอาหารเย็นจนเสร็จอย่างรวดเร็วก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสมุดระหว่างรอคาร์เตอร์กลับมา

กว่าการรอจะสิ้นสุดก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง จนแอนนาต้องมาเกลี้ยกล่อมให้เด็ก ๆ ทั้งสองคนกลับไปนอนแทนถึงสองครั้ง แต่ในที่สุดเสียงรถม้าก็มาถึงจากทางเข้าของคฤหาสน์เขาวงกต

หลังจากการประชุมอันเหน็ดเหนื่อย ซึ่งกินเวลานานเกือบ 9 ชั่วโมง ในที่สุดมาร์ควิสคาร์เตอร์ที่เหนื่อยล้าก็กลับมาถึงบ้านและได้พักผ่อนในที่สุด

แต่ทว่าทันทีที่เขาเดินผ่านเข้ามาทางประตู โรเอลและอลิเซียก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองกำลังเฝ้ารอคาร์เตอร์ให้กลับมาอยู่

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเด็ก ๆ ทั้งสองทำให้คาร์เตอร์ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ ทำให้เขาส่งสาวใช้และคนรับใช้ทั้งหมดออกไป ก่อนที่จะพาพวกเขาทั้งสองเข้าไปที่ห้องรับรองแขก คาร์เตอร์นั่งลงบนโซฟาก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

“พวกเจ้าคงจะกังวลกันมากสินะ ถึงได้อยู่จนดึกดื่นเช่นนี้เพื่อรอการกลับมาของข้า พูดในสิ่งที่พวกเจ้ามีอยู่ในใจออกมาได้เลย”

มาร์ควิสคาร์เตอร์รู้สึกอบอุ่นในหัวใจจริง ๆ เมื่อได้เห็นเด็ก ๆ ทั้งสองคน เขาพอจะรู้ว่าพวกเขาจะพูดเรื่องอะไร และถึงแม้เขาไม่เห็นด้วยกับคำขอของเด็ก ๆ ทั้งสอง แต่คาร์เตอร์ก็รู้สึกว่าเขาควรรับฟังคำพูดของทั้งคู่ มิฉะนั้น ถ้าเกิดอะไรกับเขาขึ้นมา เด็ก ๆ ทั้งสองอาจจะโทษตัวเองไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว โรเอลและอลิเซียก็สบตากัน อลิเซียพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นไปข้างหน้า ดวงตาสีแดงเข้มของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคนที่เธอรัก

“ท่านพ่อ หนูมีเรื่องจะขอร้อง หนูอยากจะให้ท่านพ่อพิจารณาความรู้สึกของพี่ใหญ่มากกว่านี้เกี่ยวกับการแต่งงานใหม่ของท่าน!”

“เดี๋ยวนะ แต่ฉัน… เอ๋? เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

ชายทั้งสองคนของตระกูลแอสคาร์ด นิ่งงันไปกับคำพูดของเด็กสาว

10 นาทีต่อมา หลังจากชี้แจงสถานการณ์ทั้งหมดกับอลิเซียแล้ว โรเอลก็ขอโทษคาร์เตอร์อย่างงุ่มง่ามในเรื่องนี้ เขาไม่เคยคิดว่าแม้อลิเซียจะดูเหมือนรู้ทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่แท้จริงแล้วเธอไม่ได้รู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกกลายพันธ์ุเลย เขารู้สึกผิดที่บอกให้อลิเซียจัดการได้เลยโดยที่ไม่ได้ชี้แจงอะไรกับเธอ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดครั้งใหญ่นี้

ขณะเดียวกันอลิเซียก็รีบพูดขอโทษก่อนจะวิ่งไปหลังโซฟาเพื่อซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำ เธอไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพี่ชายคนโตหรือพ่อของเธอได้อย่างไรหลังจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เธอเพิ่งทำไป

เมื่อเห็นสิ่งนี้ โรเอลก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ และคาร์เตอร์เองก็หัวเราะออกมาอย่างหาได้ยาก

แม้คาร์เตอร์จะตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของอลิเซียในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้วเขาค่อนข้างขบขันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความผิดพลาดของอลิเซียช่วยคลายความตึงเครียดจากการประชุมอันยาวนานของเขาได้เป็นอย่างดี อย่างน้อย ๆ การแสดงออกของเขาก็ไม่แข็งกระด้างอีกต่อไปแล้ว

คาร์เตอร์รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นลูกชายและลูกสาวของเขา มาร์ควิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสนใจโรเอลก่อน

“โรเอล ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะพูดอะไร และข้าก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเช่นกัน ขอโทษที่ทำตัวเป็นพ่อที่ดีไม่ได้ ข้ารู้ว่าข้าได้ละเลยเจ้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากงานของข้า และข้าก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเรื่องนี้”

“เรื่องราวที่เกิดขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดในวันนี้ ไม่มีพวกเราคนไหนคาดหวังให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากศัตรูได้มารวมตัวกันที่หน้าประตูของพวกเรา มันจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องส่งผู้คนไปแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พวกเราตระกูลแอสคาร์ดเป็นขุนนางที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของเขตการปกครองแอสคาร์ด มันเป็นความรับผิดชอบของพวกเราที่จะต้องออกไปยืนอยู่ ณ แถวหน้าของสนามรบ ปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามภายนอก นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเราจะสามารถสร้างความมั่นใจและรักษาขวัญกำลังใจของประชาชนเอาไว้ได้”

“อย่าลืมว่าข้าเป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของกองทัพจักรวรรดิเซนต์เมซิท เช่นเดียวกับรองผู้บัญชาการของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องเพื่อนร่วมชาติของข้า แม้ว่าในมุมมองของมนุษยชาติ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงอย่างข้าก็ถือเป็นกำลังสำคัญต่อภัยคุกคามจากภายนอก ไม่ว่าเจ้าจะมองเรื่องนี้ในมุมไหน ข้าก็จำเป็นจะต้องมุ่งหน้าไปทางตะวันออกและปะทะกับพวกกลายพันธุ์ขี้ขลาดเหล่านั้น”

โรเอลไตร่ตรองคำพูดของบิดาอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งอลิเซียเองก็มองออกมาจากโซฟาที่เธอซ่อนอยู่ข้างหลังและค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนขึ้นอีกครั้ง เด็ก ๆ ทั้งสองคนได้รับผลกระทบจากคำพูดของคาร์เตอร์อย่างชัดเจน

ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่โรเอลจะสามารถคิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลแอสคาร์ดเป็นเสาหลักที่สำคัญของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ถ้าคาร์เตอร์เสียชีวิตในสงครามล่ะก็ มันอาจจะทำให้สมดุลอำนาจของจักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่มั่นคง

คาร์เตอร์อดทนฟังการโต้เถียงของโรเอล ก่อนที่จะเสนอคำตอบสำหรับข้อสงสัยของโรเอล

“อันที่จริง สิ่งที่เจ้าพูดถึงก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกนำมาพิจารณาในการประชุมด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนี้ข้าจึงถูกย้ายไปส่วนอื่น”

“หืม? ย้าย?”

“ปัจจุบันข้าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านการขนส่งโดยรวมของป้อมปราการทาร์กความรับผิดชอบหลักของข้าคือการจัดหาเสบียง และทำให้แน่ใจว่ามันจะถูกส่งไปยังกองทัพอย่างปลอดภัย”

“นี่ก็หมายความว่า…”

“ใช่แล้ว มันหมายความว่ามีโอกาสที่ข้าจะไม่ได้เข้าร่วมในสงครามจากแนวหน้า”

สีหน้าที่ขมขื่นของคาร์เตอร์สร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรอยยิ้มอันร่าเริงของโรเอล ภายใต้สถานการณ์ปกติ คาร์เตอร์ควรจะได้รับมอบหมายให้เป็นรองผู้บัญชาการของป้อมปราการทาร์ก แต่ในระหว่างการประชุม ราชวงศ์ได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับตระกูลพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวขึ้นมา ซึ่งตระกูลแอสคาร์ดก็ตกอยู่ภายใต้หมวดหมู่นี้เช่นกัน ซึ่งส่งผลให้คาร์เตอร์ถูกย้ายไปที่แผนกขนส่งเสบียง

“เนื่องจากมันเป็นการต่อสู้ป้องกัน เส้นทางการจัดหาเสบียงทั้งหมดจึงอยู่ในอาณาเขตของมนุษย์ บทบาทของข้าในฐานะเจ้าหน้าที่ขนส่งเสบียงจึงค่อนข้างที่จะปลอดภัย”

ในที่สุดโรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อลิเซียเองก็วิ่งออกจากที่ซ่อนของเธอด้วยความตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม คำพูดของคาร์เตอร์นั้นยังไม่จบ

“นั่นคือข้อมูลล่าสุดของข้า แต่โรเอล เจ้าเองก็รู้ใช่ไหมว่า เจ้ามีภารกิจที่ต้องทำเช่นกัน? พวกเราไม่รู้ว่าสงครามกับพวกกลายพันธุ์จะดำเนินต่อไปยาวนานแค่ไหน อีกทั้งยังมีโอกาสที่ข้าจะไม่ได้กลับมาที่เขตการปกครองแอสคาร์ดเป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียว เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้ากำลังพูดถึงอะไรอยู่?”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของคาร์เตอร์ขณะที่เขาตบไหล่ของโรเอลอย่างแรง

“เจ้าเคยขอสิทธิ์ในการปกครองของเขตการปกครองแอสคาร์ดของพวกเราใช่รึเปล่า? เจ้าได้รับสิ่งนั้นแล้ว เพียงแต่แทนที่เจ้าจะได้รับแค่บางส่วน คราวนี้เจ้าจะได้รับสิทธิ์การปกครองทั้งหมดไปแทน!”

“โรเอล แอสคาร์ด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือตัวแทนผู้ปกครองของเขตการปกครองแอสคาร์ด!”