บทที่ 121: ของขวัญจากลา

วันรุ่งขึ้นหลังจากมอบตำแหน่ง ‘ตัวแทนผู้ปกครองของเขตการปกครอง’ ให้กับโรเอล คาร์เตอร์ก็เดินทางออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไป

ในสงคราม หน่วยขนส่งจะต้องเป็นหน่วยที่เดินทางออกไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนกองทหารหรือกองทหารม้า แม้ว่าการดำเนินการด้านการขนส่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็มีความสำคัญอย่างมาก จึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด อย่างที่บางคนเคยพูดกันไว้ว่าสงครามคือการต่อสู้ของทรัพยากร

เนื่องจากนี่เป็นสงครามกับพวกกลายพันธุ์ ตามข้อตกลงการป้องกันเผ่าพันธุ์มนุษยชาติระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ทำให้แต่ละอาณาจักรจะต้องส่งกองกำลังมาประจำการที่ชายแดนตะวันออกเพิ่ม ดังนั้นความต้องการในทรัพยากรจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร อาหารม้า และอื่น ๆ

ซึ่งหมายความว่าหน่วยขนส่งจะต้องขยายขอบเขตการดำเนินงานอย่างมาก เพื่อให้ทันกับความต้องการ

อย่างไรก็ตามการขยายขอบเขตการขนส่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

เส้นทางลำเลียงส่วนใหญ่ที่เคยใช้ในสงครามครั้งก่อนได้เสื่อมโทรมลงไปมากจากเวลาที่ล่วงเลยไปหลายทศวรรษ ซึ่งหมายความว่าฝั่งมนุษยชาติจะต้องซ่อมแซมเส้นทางเหล่านี้เสียก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางเหล่านี้เองก็มีความยาวอย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากมันเป้นเส้นทางที่เชื่อมประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ดังนั้นการซ่อมแซมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังดีกว่าการสร้างเส้นทางลำเลียงขนส่งใหม่ตั้งแต่ต้น

ไม่ว่าจะในกรณีใด งานหนักในการซ่อมแซมเส้นทางขึ้นใหม่ก็อยู่ในมือของหน่วยขนส่งเสบียง และในฐานะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบหน่วยนี้ มาร์ควิสคาร์เตอร์จะต้องตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบเป็นการส่วนตัวและตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางให้ได้อย่างแม่นยำ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นคนกลุ่มแรกที่ต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อน

หลังจากที่โบกมือลาคาร์เตอร์ในช่วงเช้า โรเอลก็มองดูแผ่นหลังของบิดาและเหล่าทหารติดตามที่เดินจากไปพลางถอนหายใจยาว ๆ

แม้โรเอลจะเคยคุยกับคาร์เตอร์เกี่ยวกับการจัดการบริหารเขตการปกครองอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองเลย เปรียบได้กับการรับช่วงต่อแผนกเดียว กับทั้งบริษัทในคราวเดียว มันแตกต่างกันมาก

จำนวนงานต่าง ๆ ที่โรเอลจะต้องรับผิดชอบนั้น มากเสียจนทำให้เขาปวดหัว

อย่างไรก็ตามก็ยังมีด้านที่สดใสอยู่ มาร์ควิสคาร์เตอร์นั้นได้จัดการเกี่ยวกับเอกสารทางกฎหมายต่าง ๆ เมื่อคืนวานนี้จนเรียบร้อยแล้ว เขาได้เขียนเอกสารมอบอำนาจ มอบสิทธิ์ในฐานะตัวแทนเขตการปกครองให้กับโรเอล และส่งมันไปยังพระราชวังเพื่อให้ทุกอย่างเป็นทางการ ทำให้โรเอลมีอำนาจในทางกฎหมายอยู่เคียงข้าง เมื่อเขาขึ้นรับตำแหน่งเป็นตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ด

หลังจากที่คาร์เตอร์จากไปแล้ว โรเอลและอลิเซียเองก็เริ่มเตรียมการ เพื่อที่จะเดินทางกลับไปยังเขตการปกครองแอสคาร์ด ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ที่แม้พวกเขาจะอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาเกือบสามเดือนนับตั้งแต่งานเลี้ยงวันเกิดของนอร่า แต่เขตการปกครองแอสคาร์ดก็ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีผู้ปกครอง

สมกับเป็นเขตการปกครองแอสคาร์ดจริง ๆ! การละเลยในหน้าที่ของผู้ปกครองในรุ่นต่าง ๆ ทำให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้สินะ!

หากมองจากมุมนี้ โรเอลก็รู้สึกว่าเขาอาจจะไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด กลับกันแล้ว มันอาจจะเป็นเพียงงานว่าง ๆ ด้วยซ้ำ

ตลอดทั้งวัน โรเอลและอลิเซียใช้เวลาคิดว่าพวกเขาควรจะนำอะไรกลับไปด้วยบ้าง เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นเมืองที่มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์มากที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ดังนั้นจึงมีสินค้ามากมายที่นี่ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น

โดยปกติแล้ว ขุนนางจะต้องไปกล่าวคำอำลาเพื่อนสนิททุกคนก่อนจะกลับ ซึ่งบางครั้งอาจจะถึงกับไปเยี่ยมพวกเขาถึงที่ แต่เนื่องจากโรเอลและอลิเซียยังเด็กอยู่ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำพิธีการดังกล่าว ทั้งคู่จึงส่งคนส่งสารไปที่พระราชวังแทน

ทว่า ก่อนเที่ยง เมื่อคนส่งสารกลับมาที่คฤหาสน์ เขาไม่ได้กลับมาคนเดียวแต่อย่างใด เขามาพร้อมกับกองทหารองครักษ์ขนาดใหญ่และรถม้าของราชวงศ์

อืม ก็พอจะเดาได้ล่ะนะว่าต้องเกิดเรื่องแบบนี้…

โรเอลไม่แปลกใจกับเหตุการณ์นี้เท่าไหร่ ส่วนใบหน้าของอลิเซียนั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เธอทราบดีว่าการไปเยี่ยมคนที่กำลังจะเดินทางจากไปถือเป็นการแสดงความเป็นมิตร ดังนั้นเธอจึงต้องกล้ำกลืนฝืนอดทนต่อการมาเยี่ยมเยียนของอีกฝ่าย

“พวกเจ้าทั้งสองคนตั้งใจจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้จริง ๆ หรือ?”

ในห้องรับรองแขก นอร่านั่งร่วมโต๊ะกับสองพี่น้องตระกูลแอสคาร์ดพลางถอนหายใจอย่างคร่ำครวญ

เมื่อโรเอลกลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ด นอร่าจะต้องคิดถึงเขามากอย่างแน่นอน แต่นอกเหนือจากเขาแล้ว เด็กสาวรู้สึกว่าเธอก็คงจะคิดถึงอลิเซียมากด้วยเช่นกัน

นอร่าสนใจอลิเซียค่อนข้างมาก เนื่องจากเด็กสาวคนนี้เป็นหนึ่งในเด็กรุ่นเดียวกันไม่กี่คนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคาม ถ้าเป็นไปได้นอร่าก็อยากจะแข่งขันกับอลิเซียต่อ

การสูญเสียทั้งคนรักและคู่ต่อสู้ในคราวเดียว คงทำให้ชีวิตของนอร่ากลับคืนสู่คืนวันอันน่าเบื่ออีกครั้ง ช่างเป็นยาเม็ดที่ยากจะกลืนลงไปโดยแท้ ถึงกระนั้น เด็กสาวก็รู้ดีว่าเขตการปกครองมีความสำคัญต่อชนชั้นสูงเพียงใด ดังนั้นเธอจึงไม่คิดที่จะพยายามกักขังพวกเขาไว้ในเมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์

… ถึงแม้จริง ๆ แล้วจะเป็นเพราะว่านอร่าไม่รู้ว่าตระกูลแอสคาร์ด ‘จัดการ’ เขตการปกครองของพวกเขาอย่างไรก็เถอะ

เด็กสาวคงคิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีคนแบบผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ด ที่มอบอำนาจการบริหารจัดการเขตการปกครองโดยสมบูรณ์ให้อยู่ในมือของผู้ใต้บังคับบัญชา มิฉะนั้นนอร่าคงจะพยายามรั้งพวกเขาทั้งสองคนไว้ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่ออีกสองเดือนเพื่อติดตามเธอ

“เธอน่าจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในกองทัพแล้วใช่ไหม?”

“เจ้าหมายถึงเรื่องเกี่ยวกับพวกกลายพันธุ์รึเปล่า? ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังแล้ว ตอนนี้ท่านลุงคาร์เตอร์น่าจะออกเดินทางไปก่อนแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ เขาเดินทางออกไปตั้งแต่เช้า และมอบอำนาจให้ฉันเป็นตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ด ดังนั้นฉันจะต้องกลับไปที่เขตการปกครองโดยเร็วที่สุดเพื่อเข้ารับหน้าที่ต่อจากพ่อ”

นอร่าพอจะเข้าใจถึงความกังวลของโรเอล แต่หลังจากที่เหลือบมองไปทางอลิเซียแล้ว เธอก็ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล

“ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถกลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ดได้ แต่เจ้าจะต้องเขียนจดหมายถึงข้า”

“เขียนจดหมาย?”

“ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้าแล้ว เจ้าจะคอยบอกสถานการณ์ของเจ้าให้ข้าทราบ อืม ขอลองคิดดูก่อนนะ… สัปดาห์ละหนึ่งฉบับ”

นอร่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

แน่นอนว่าข้อเสนอของเธอทำให้อลิเซียไม่พอใจ

“ฝ่าบาท หากมองข้ามความจริงที่ว่าจดหมายมีส่วนน้อยมากในการปกป้องท่านพี่ ท่านไม่คิดหรือว่าความถี่สัปดาห์ละครั้งนั้นบ่อยเกินไป? ท่านพี่มีภาระมากมายในฐานะตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครอง ดิฉันจึงไม่คิดว่ามันจะเหมาะสมเท่าไหร่ ที่จะเพิ่มภาระให้กับเขาไปมากกว่านี้”

“โอ้… การเขียนจดหมายถึงข้าถือเป็นภาระ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าขอร้องเรื่องนี้กับคนอื่นเลยนะ โรเอล เจ้าเองก็ไม่ชอบความคิดนี้งั้นเหรอ?”

“อ่า ไม่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าอันสิ้นหวังขององค์หญิงที่มีท่าทางเหมือนว่าความภาคภูมิใจของเธอได้รับบาดเจ็บ โรเอลก็โบกมือเพื่อหักล้างคำพูดของนอร่า ทำให้รอยยิ้มกลับมาที่ริมฝีปากของนอร่าอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะหันไปหาอลิเซีย

“อลิเซีย ข้าคิดว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่เจ้าจะมาตัดสินใจว่าอะไรดีไม่ดีสำหรับโรเอล แม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องสาวของเขา แต่ใครจะไปรู้? สิ่งที่เจ้าไม่ชอบอาจจะเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็ได้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฝ่าบาทชอบพูดล้อเล่นจริง ๆ ดิฉันรับรองได้เลยว่า ดิฉันรู้ถึงความชอบของท่านพี่ดีกว่าใคร ๆ ในโลก ดิฉันสามารถบอกได้ว่าใครเป็นภาระสำหรับเขา”

เมื่อมองไปยังสาว ๆ สองคนที่กำลังปะทะกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะมีฝ่ายไหนถอย โรเอลก็ก้มหน้าลงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลืนหายไปกับอากาศ เขาไม่สามารถขัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เด็กชายทำได้คือพยายามรวมตัวเข้ากับฉากหลัง

ถ้ามีใครถามโรเอลล่ะก็ เขาคงจะบอกว่าตัวเองไม่สบาย และถ้าหากบุคคลนั้นยังคงถามต่อไปอีก คราวนี้เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแกล้งเป็นลม

บางทีทั้งสองคนอาจจะสัมผัสได้ถึงความอึดอัดของโรเอลหรือการปรากฏตัวของสาวใช้ ทำให้พวกเธอต้องอดกลั้นลงไปเล็กน้อย ทั้งสองคนจ้องตากันครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับด้วยท่าทางอันเยือกเย็น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ตามสถานการณ์ปกติ เจ้าควรจะส่งจดหมายมาให้ข้าหนึ่งฉบับต่อสัปดาห์ แต่ถ้ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ข้าก็อนุญาตให้เจ้าส่งเป็นรายปักษ์ ข้าจะดีใจมาก ถ้าเจ้าเขียนมันด้วยตนเอง”

“แน่นอน ฉันจะเขียนจดหมายส่งไปให้เธอเป็นการส่วนตัว เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

เมื่อนอร่าคลายเงื่อนไขลงเล็กน้อย โรเอลก็ยอมรับข้อเรียกร้องของเธอโดยไม่มีการลังเลใด ๆ ทำให้เด็กสาวพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มอันสวยงามบนริมฝีปากของเธอ

แม้พวกเขาทั้งสองสามารถสนทนากันได้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ทุกสัปดาห์ผ่านเอสเซนด์วิง อย่างไรก็ตามการสนทนาดังกล่าว จะไม่ได้ถูกบันทึกไว้และไม่สามารถเก็บไว้ได้ ถ้านอร่าอยากจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาสนิทสนมกันจริง ๆ ล่ะก็ การเขียนจดหมายเป็นหลักฐานทางกายภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

แท้จริงแล้ว สาเหตุที่นอร่าขอจดหมายจากโรเอลนั้นเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจ ไม่ว่าเธอจะพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน แต่ลึก ๆ เธอก็ยังคงเป็นเด็กสาวที่ยังใหม่เกี่ยวกับความรัก นอร่าค่อนข้างอ่อนไหวต่อความเฉยเมยของคนรัก และเกลียดมันเป็นพิเศษ เมื่อมีคนอื่นมาถามถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา

แค่การมีอลิเซียอยู่ข้าง ๆ โรเอลตลอดเวลาก็แย่มากพออยู่แล้ว นอร่าคงจะไม่สามารถทนได้แน่ หากมีเรื่องแทรกซ้อนอื่น ๆ เกิดขึ้นอีก แต่ไม่ว่าจะในกรณีใด ตอนนี้เด็กสาวก็รู้สึกยินดีมากที่เธอได้รับผลตอบรับที่น่าพึงพอใจ

เนื่องจากโรเอลและอลิเซียยังคงยุ่งอยู่กับการจัดกระเป๋าเดินทาง มันจึงไม่สะดวกเท่าไหร่ที่นอร่าจะอยู่ที่นี่นาน หลังจากคุยกันได้สักพักเธอก็บอกลาพวกเขาและจากไป อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามของนอร่าไม่ได้กลับไปกับเธอทั้งหมด นอร่าได้ทิ้งทหารองครักษ์ครึ่งหนึ่งไว้กับโรเอล

“นี่คือ…”

“ของขวัญสำหรับเจ้า พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดของราชวงศ์ จากนี้ไปพวกเขาจะถูกส่งไปยังเขตการปกครองแอสคาร์ด โดยมีเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของพวกเขา”

โรเอลจ้องไปที่กองทหารกว่าร้อยคนที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครันเบื้องหน้าเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นทหารชั้นยอด แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 5 เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นกองกำลังพิเศษที่ถูกระดมมาเพื่อวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ในสนามรบก็ว่าได้

ถึงกระนั้น นอร่าก็มอบพวกเขาให้กับโรเอล นี่ถือเป็นของขวัญอันล้ำค่าโดยแท้จริง

“เจ้าชอบพวกเขาไหมล่ะ?”

“แน่นอน แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อย…”

“ถ้าเจ้าชอบ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือพูดว่า ‘ขอบคุณ’ ต่างหาก”

นอร่าพูดด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์

ทว่าเมื่อเธอหันไปมองโรเอลอีกครั้ง เธอก็ต้องประหลาดใจกับใบหน้าอันจริงจังของเขา การแสดงออกของเขาจริงจังมากจนทำให้เธอมึนงงไปครู่หนึ่ง

“ขอบคุณนะนอร่า”

“ไม่ มัน… ไม่เท่าไหร่หรอก… ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า ดังนั้นมันถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ข้าจะต้องทำเช่นนี้”

เมื่อต้องเผชิญกับการขอบคุณอย่างจริงใจของโรเอล ใบหน้าของนอร่ากลายเป็นสีแดงเข้ม

หลังจากอำลากันและกันแล้ว โรเอลก็จ้องไปยังรถม้าที่กำลังแล่นจากไปพร้อมกับอารมณ์อันซับซ้อนในใจ

เวลาสามเดือนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวเขาเอง อลิเซีย หรือนอร่า ทั้งสามคนต่างไปจากเมื่อก่อนมาก พวกเขาเติบโตขึ้นและความสัมพันธ์ของพวกเขาเองก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

โรเอลหันไปมองทหารชั้นยอดหลายร้อยคนที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ และอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น ทหารชั้นยอดหลายร้อยนายเหล่านี้ไม่ใช่ของเขตการปกครองแอสคาร์ด แต่เป็นของตัวโรเอล เอง พวกเขาเหล่านี้เป็นกองทัพส่วนตัวของโรเอลจริง ๆ โดยคำสั่งของราชวงศ์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่

กองกำลังทหารนี้เป็นหนึ่งในไพ่ตายของโรเอลที่เขาสามารถพึ่งพาได้เมื่อกลับไปสู่เขตการปกครองแอสคาร์ด หากใครพยายามทำให้โรเอลลำบากล่ะก็ ทั้งหมดที่เขาต้องทำมีเพียงแค่การโบกมือ จากนั้นทหารของเขาก็จะจัดการคนคนนั้นให้ในทันที…

แม้ว่าจะตื่นเต้น แต่โรเอลก็รู้ดีว่าเขายังไม่ได้รับความเคารพจากทหารเหล่านี้ เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาทุกคนล้วนเป็นชนชั้นสูงจากราชวงศ์ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าพวกเขาน่าจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองมากพอสมควร จากนี้โรเอลจะต้องหาโอกาสที่จะซื้อใจพวกเขาเหล่านี้เพื่อปลูกฝังความภักดี

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎที่กำลังเต้นเป็นจังหวะภายในร่างกายของเขา รอยยิ้มอันมั่นใจก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของโรเอล เหนือสิ่งอื่นใด เด็กชายมั่นใจในความสามารถการวางตัวของเขาเป็นอย่างยิ่ง

“เร็วเข้า เอาสำเนาเอกสารเหล่านี้บรรทุกขึ้นบนรถเข็นแล้วส่งไปที่ตระกูลแอสคาร์ด! ตะกร้าแรกเต็มรึยัง? ถ้าเต็มแล้วจะรออะไรอีก? ถ้าเต็มก็รีบออกไปสิ!”

“หัวหน้าบรรณารักษ์ พวกเราไม่ได้จะเก็บสำเนาพวกนี้ไว้เองหรอกเหรอ? ราชสำนักจะไม่ตำหนิพวกเราเหรอ? ถ้าเราส่งเอกสารมากมายขนาดนี้ให้กับตระกูลแอสคาร์ด?”

“ไม่เป็นไรน่า เอกสารฉบับดั้งเดิมยังคงอยู่กับเรา ดังนั้นในอนาคตพวกเราจะทำสำเนาเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนเรื่องข้อตำหนิจากพระราชวัง…”

คาร์เมนมองไปที่รองหัวหน้าบรรณารักษ์ที่เพิ่งถามคำถามด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม ราวกับว่าเขากำลังจ้องมองไปที่คนโง่ แค่นึกถึงภาพที่โรเอลและนอร่ากางปีกแสงออกมาพร้อมกัน ทำให้เกิดแสงศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านกลางพิธีการปกป้องคุ้มครองก็น่าจะมากเกินพอแล้วจะตอบคำถามนั้น

“ข้อตำหนิเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาจะกล่าว มีเพียงแค่การที่เราคิดจะเสียเวลาไปขออนุญาตจากพวกเขา ดังนั้นหยุดเสียเวลากับการพูดคุยอันไร้ประโยชน์นี่ แล้วเอาสำเนาไปเติมรถเข็นกันต่อได้แล้ว เร็วเข้า!”