ตอนที่ 130 ขอมาเป็นหลานสะใภ้

แม่สาวเข็มเงิน

เมื่อกุยช่ายในลานบ้านของเจียงป่าวชิงสูงพอที่จะถูกตัดมาทำเกี๊ยวได้แล้ว อาการพิษที่ขาของกงจี้ก็มีความคืบหน้าขึ้นในที่สุด

 

 

 

 

 

หลังจากที่เจียงป่าวชิงฝังเข็มให้กงจี้เสร็จแล้วในบางครั้ง ขาซ้ายของกงจี้ก็ขยับเล็กน้อย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการขยับที่เล็กน้อยมาก แต่เจียงป่าวชิงที่สายตาเฉียบแหลมก็แทบจะพบได้ในทันที นางตื่นเต้นและดีใจมาก “นี่… เมื่อสักครู่ขาซ้ายของเจ้าขยับนิดหน่อยใช่หรือไม่ ?”

 

 

 

 

 

กงจี้ขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็ดึงความสนใจไปรวมอยู่ที่ขาซ้ายของเขา และพยายามอย่างสุดกำลังที่จะควบคุมขาข้างที่ไม่เคยใช้การมาตลอดสิบปีของเขา

 

 

 

 

 

ขาซ้ายยกขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ร่วงตกลงไปอีกครั้ง

 

 

 

 

 

กงจี้ไม่เคยส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่ครั้งเดียวแม้ว่าเขาจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม แต่สีหน้าของเขาขาวซีดและมีเหงื่อเกาะอยู่เต็มหน้าผาก

 

 

 

 

 

แต่ใครจะคิดว่าแค่เพียงขยับขามันจะยากลำเค็ญเช่นนี้ ทว่านี่กลับเป็นการตอบรับเดียวในรอบสิบปีที่ผ่านมา

 

 

 

 

 

กงจี้เงยหน้าขึ้นมองเจียงป่าวชิง ความสดใสในดวงตาค่อย ๆ หายไป แทบจะทำให้เจียงป่าวชิงหลงใหลอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

“เจียงป่าวชิง” กงจี้เรียกนางเสียงเบา

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงไม่เคยได้ยินกงจี้… เรียกชื่อนางอย่างตั้งใจและอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อนเลย

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผู้นี้ ชื่อของนางที่ออกมาจากปากของเขาล้วนเป็นน้ำเสียงโมโหไม่ก็เหน็บแนมมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อนางด้วยเสียงแผ่วเบาขนาดนี้

 

 

 

 

 

ในใจของเจียงป่าวชิงเหมือนมีคนตีกลองอยู่ในนั้น นางเองรู้สึกปากคอแห้งผากแปลก ๆ เช่นกัน

 

 

 

 

 

“อะ… อะไร ?” เจียงป่าวชิงพูดติดอ่างเล็กน้อย

 

 

 

 

 

“ขอบคุณ…” กงจี้สบตากับเจียงป่าวชิงและเอ่ยคำขอบคุณนางอย่างตั้งใจ

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงกุมหัวใจทันที นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกโจมตีอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

ผู้ชายหล่อเหลาอย่างกงจี้คนนี้ หากว่าตั้งใจพูดดี ๆ ขึ้นมาก็เอาชีวิตนางได้เหมือนกันนะ!

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นสงบ นางพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “มะ… ไม่เป็นไร เจ้าเองก็ใจสู้เช่นกัน การรักษาจึงราบรื่น” พูดเสร็จ นางก็แทบจะหนีเตลิดทันที

 

 

 

 

 

กงจี้มองแผ่นหลังของเจียงป่าวชิงอย่างครุ่นคิด

 

 

 

 

 

……

 

 

 

 

 

กลับมาถึงที่บ้าน เจียงป่าวชิงก็ล้างหน้าติดต่อกันถึงสองครั้ง ถึงจะสามารถทำให้อุณหภูมิร้อน ๆ บนใบหน้าลดลงได้บ้าง นางพึมพำกับตัวเองว่า “เฮ้อ… ความงดงามช่างทำให้คนเข้าใจผิดได้จริง ๆ…” 

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงส่ายหน้าไปมาก่อนจะถูใบหน้าตัวเองเบา ๆ จากนั้นก็ไปตัดกุยช่ายในลานบ้านมาสองสามกำมือ ใบกุยช่ายสีเขียวสมบูรณ์และสดใหม่ มันช่างทำใหผู้คนที่ได้เห็นชื่นชอบมันดีจริง ๆ

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงทำให้เตาร้อน จากนั้นก็วางน้ำมันหมูลงไปในหม้อและทำการทอดไข่เจียวสองสามฟอง นางตั้งใจจะทำเกี๊ยวยัดไส้กุยช่ายและไข่ ตอนที่กำลังนวดแป้งก็ได้ยินคนเรียกจากนอกบ้าน

 

 

 

 

 

อันที่จริง ตั้งแต่เจียงป่าวชิงย้ายออกมา เนื่องจากบ้านที่นางอาศัยอยู่ค่อนข้างเปลี่ยว ประกอบกับไม่ค่อยมีใครมาหา บ้านหลังเล็กจึงเงียบสงัดอยู่พอสมควร ในเมื่อเวลานี้มีคนมาเรียกอย่างกะทันหัน อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังฟังดูชัดเจนเป็นพิเศษ เจียงป่าวชิงจึงตื่นตัวอยู่เล็กน้อย

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงฟังเสียงแล้วเหมือนเป็นเจียงเฟยจากบ้านของเจียงเหล่าหวู่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

เจียงหยุนชานที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในบ้านก็ออกมาเพราะได้ยินเสียงเช่นกัน เมื่อเขาเปิดประตูออกไปดูก็เห็นว่าเป็นเจียงเฟยจริง ๆ เจียงเฟยกำลังผลักรถเข็นซึ่งบนนั้นมีกระสอบวางอยู่เต็มไปหมด ทว่าก็ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้ข้างในบ้าง

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงล้างมือจนสะอาดแล้ว นางก็ออกมาดูและรู้สึกไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย “พี่สาม นี่อะไรหรือเจ้าคะ ?”

 

 

 

 

 

เจียงเฟยตบกระสอบพลางยืดอก “มันคือข้าวสาลีตอนปลายบนที่ดินห้าไร่ของบ้านเจ้าซึ่งเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปีนี้การผลผลิตให้เก็บเกี่ยวค่อนข้างดี ท่านปู่ข้าให้ข้าเอาค่าเช่าที่ร้อยละยี่สิบมาให้พวกเจ้า เขากลัวว่าจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ท่านปู่จึงให้ข้ามาที่นี่ตอนฟ้ามืด น่าจะยังมีอีกสี่ถุง ข้าลากอีกสองครั้งก็เสร็จแล้วล่ะ”

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีเรื่องค่าเช่าที่นี้ด้วย ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ถือว่าใจกว้างอยู่พอสมควร ถึงขั้นเป็นฝ่ายนำส่วนของค่าเช่าที่มาให้เองเช่นนี้

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงเป็นคนที่ถ้าหากว่าคนอื่นเกรงใจเรา เราก็จะยิ่งเกรงใจเขาประมาณนั้น ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ใจกว้างถึงขนาดนี้ เจียงป่าวชิงก็ใจกว้างมากกลับไปเช่นกัน “พี่สาม ข้ากับพี่ชายกินเสบียงอาหารสองกระสอบนี้ก็พอแล้ว ถ้ามากไปคงกินไม่ไหว เอาเช่นนี้ดีไหม ข้าอาจจะรบกวนครอบครัวพี่อีกครั้ง ให้ช่วยข้าเอาข้าวสาลีสี่ถุงนี้ไปขายให้หน่อยได้หรือเปล่า ?”

 

 

 

 

 

บอกว่าช่วยขาย แต่ความเป็นจริงคือถามพวกเขาว่าต้องการไหมต่างหากล่ะ

 

 

 

 

 

เจียงเฟยตาเป็นประกายทันที สมาชิกในบ้านเขาค่อนข้างเยอะ ทุกปีเสบียงอาหารจะไม่พอกินเสมอ เขาจึงรีบพยักหน้าทันที “ประเดี๋ยวข้ากลับไปถามท่านปู่ข้าก่อนก็แล้วกัน เขารู้เรื่องนี้ดี”

 

 

 

 

 

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เจียงเหล่าหวู่ก็เป็นคนมาด้วยตัวเอง

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่ถูมือและทำการปรึกษากับเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง ได้ยินว่าเจ้าจะขายเสบียงอาหารสี่ถุงนั้นรึ ?”

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงขานรับยิ้ม ๆ

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย “น้ำปุ๋ยของเราไม่ไหลสู่ทุ่งนาของคนอื่น บ้านข้าขาดแคลนเสบียงอาหารอยู่พอดี เพื่อที่เราจะได้ไม่ทรมาน เจ้าขายให้บ้านข้าก็ได้”

 

 

 

 

 

เจียงป่าวชิงเองก็ยิ้มเช่นกัน “ท่านปู่ห้าพูดถูกเจ้าค่ะ ขายให้ใครก็ไม่สะดวกเท่าขายให้คนของตัวเอง”

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่ยิ้มแย้มแจ่มใส เจียงป่าวชิงก็ยอมให้เล็กน้อย สุดท้าย เจียงเหล่าหวู่ก็ซื้อเสบียงอาหารสี่ถุงนั้นกับเจียงป่าวชิงในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดเกือบสิบส่วนในร้อยส่วน

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่รู้สึกอิ่มเอมใจ เขามองเจียงป่าวชิงอย่างสนิทสมมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

เมื่อเจียงเหล่าหวู่กลับมาถึงบ้าน เขาก็ปรึกษาเมียของเขา “ข้าว่าป่าวชิงนางไม่เลวเลย การกระทำใจกว้าง อีกทั้งยังปฏิบัติกับคนอื่นอย่างใจกว้างอีกด้วย หลานคนที่สามของเราใกล้จะขอสะใภ้แล้ว เจ้าว่า… เราขอนางมาเป็นหลานสะใภ้เราเป็นอย่างไร ?”

 

 

 

 

 

หมายถึงเจียงเฟย

 

 

 

 

 

เมียของเจียงเหล่าหวู่ได้ฟัง นางก็มีความไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย “ประเดี๋ยวนะ เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงชอบเจียงป่าวชิงขึ้นมาได้ล่ะ ?”

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่ได้ยินน้ำเสียงเมียของเขา เขาก็มีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “ทำไม เจียงป่าวชิงไม่ดีตรงไหนรึ ? วันนี้ข้าไปที่บ้านนางมา นางกับพี่ชายดูแลบ้านกันสองคน และจัดเก็บบ้านได้อย่างสะอาดหมดจด เจ้าไม่เห็นนี่ว่าบ้านเก่าของนางก่อนหน้านี้ดูแย่เพียงใด ทว่าตอนนี้บ้านดูดี อ้อ และพวกเขายังเลี้ยงหมาและปลูกผักในลานบ้านด้วย ดูมีชีวิตที่สนุกสนานขึ้นมาก เป็นเช่นนี้จะไม่คู่ควรกับหลานชายเจ้าที่ไหนกัน ? ไม่พูดถึงอย่างอื่น แต่เจ้าอย่าลืมว่าป่าวชิงยังให้บ้านเราเช่าที่ดินห้าไร่ของนางด้วย”

 

 

 

 

 

ริมฝีปากเมียของเจียงเหล่าหวู่กระตุกเล็กน้อย สุดท้ายนางก็แค่นออกมาหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ต่อให้นางจะดีอย่างไร เราก็ไม่สามารถเสียหลานชายไปได้!”

 

 

 

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” เจียงเหล่าหวู่ไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย “ดูแล้วทำไมถึงเหมือนหลานชายคนที่สามของเราใฝ่สูงอยากคบหากับนางเลยเล่า ทำไมถึงเรียกว่าเสียเขาไป ? ใช่ว่าจะแต่งเข้าไปเป็นลูกเขยสักหน่อย”

 

 

 

 

 

เมียของเจียงเหล่าหวู่เห็นผัวตัวเองเอาแต่พูดปกป้องเจียงป่าวชิง นางจึงโมโหเช่นกัน “แต่งเข้าไปเป็นลูกเขยของคนอื่นยังดีกว่า! เจียงป่าวชิงงั้นรึ ? หึ! ต่อให้นางดีแค่ไหน แต่เจ้าอย่าลืมสิว่าชะตาชีวิตของนางแข็งมาก เล่นงานพ่อแม่ตัวเองจนตาย ไม่วายยังเล่นงานพี่ชายตัวเองจนแขนหักทำให้ทำลายการเรียนของพี่ชายเละไม่เป็นท่า ชะตาชีวิตที่เลวร้ายขนาดนี้ ทำไมถึงยังจะเอานางแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ได้อีก ?!”

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่โมโหจนมือสั่น เขาชี้หน้าเมียของเขาอย่างสุดทน “เช่าที่ดินของนางและด่าว่านางเล่นงานคนในครอบครัวไปพร้อมกัน นี่เขาเรียกว่าถือถ้วยกินข้าว พอวางถ้วยก็ด่าว่าแม่ไม่ใช่รึ ?!”

 

 

 

 

 

เมียของเจียงเหล่าหวู่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่นางก็บ่นเล็กน้อยและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เลือกที่จะเปลี่ยนทิศทางที่สมจริงมากขึ้นแทน “ได้ เราจะไม่พูดเรื่องนี้ก่อน เรามาพูดเรื่องโรคปัญญาอ่อนก่อนหน้านี้ของเจียงป่าวชิงกันดีกว่า เจ้าปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะสิ ? นางปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปี จู่ ๆ ก็กลับมาดี แต่ใครก็บอกไม่ได้ว่านางจะไม่กลับมาเป็นโรคปัญญาอ่อนนั้นอีกไหม แล้วถ้าเกิดลูกปัญญาอ่อนตามแม่มันขึ้นมาล่ะ ? เจ้าลืมเรื่องตอนนั้นที่ตระกูลของเหล่าสิงถูกลูกชายปัญญาอ่อนของเขาทำให้เดือดร้อนจนตายไปแล้วรึ ? นี่เท่ากับว่าเจ้าทำร้ายหลานคนที่สามของเรานะ หลานของเราไม่ดีตรงไหน ? พอแม่สื่อหลายคนรู้ว่าเรากำลังหาเมียให้หลานของเรา ช่วงนี้พวกนางจึงแย่งมาตีสนิทข้ากันหนาตา แบบนี้เจ้ายังกลัวหลานของเราขอเมียไม่ได้อีกรึ ?”

 

 

 

 

 

เมียของเจียงเหล่าหวู่พูดยาวเหยียด นางพูดจนอารมณ์ร้อนในใจของเจียงเหล่าหวู่หายไปจนหมดสิ้น

 

 

 

 

 

เจียงเหล่าหวู่โบกมืออย่างใจร้อน: “ไม่แน่หรอก ค่อยว่ากันแล้วกัน ค่อยว่ากัน…”

 

 

.