ตอนที่ 76: ใช้ไทเก๊กกับศัตรู

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 76: ใช้ไทเก๊กกับศัตรู

เจี้ยนเฉินถอยหลังออกไปกว่า 20 เมตรก่อนที่จะหยุด ใบหน้าของเขาดูหนักใจอย่างมาก ตอนนี้เขาหน้าซีดไปแล้ว

มีความแตกต่างกันมากระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขา เจี้ยนเฉินไม่อาจต่อสู้ได้แม้กระทั่งความเร็ว แต่เขาก็เพิ่งพ่ายแพ้จากการที่อาวุธปะทะกัน แม้ว่าจะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเขามาก แต่พลังเซียนของชายวัยกลางคนก็แข็งแกร่งกว่าของเจี้ยนเฉินหลายเท่าและการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้กระบี่วายุโปรยของเขาสั่นสะท้านน้อย ๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บภายใน

ชายคนนั้นจ้องมองเจี้ยนเฉิน มันเป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาอาจจะได้รับความบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าดูแคลนเจี้ยนเฉินอีกต่อไป แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะอ่อนแอกว่าเขา แต่เขาก็มีเพียงความเร็วเท่านั้นที่มากกว่าเจี้ยนเฉิน นี่เป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อชายคนนั้นและเขาก็ยอมรับว่าเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งกว่าบางคนที่อยู่ในระดับเดียวกับชายคนนั้น

อย่างไรก็ตามจณะที่เขากำลังมองสภาพของเจี้ยนเฉิน เขาก็เข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเริ่มหัวเราะ เจ้าเด็กเหลือขอ ข้ายอมรับว่าเจ้าเร็วมาก แต่ความแข็งแกร่งของเจ้ายังอ่อนด้อยเกินไปนัก โดยไม่รีรอให้เจี้ยนเฉินได้มีเวลาพักหายใจ เขาก็พุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินที่ห่างออกไป 2 เมตรทันที ง้าวของเขาก็พร้อมที่จะแยกตัวเจี้ยนเฉินออกเป็นสองส่วน

เนื่องจากการปะทะกันระหว่างกระบี่วายุโปรยและง้าวทำให้เจี้ยนเฉินได้รับความบาดเจ็บ เนื่องจากคู่ต่อสู้ของเขาห่างจากตัวเขาถึง 2 ระดับและยังเป็นถึงเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลาง ปะทะกันเบา ๆ เขาก็ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ ท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ใช้ย่างก้าวพริบตาเพื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้ด้วยพลังที่มากที่สุดเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่อาจว่องไวได้เหมือนเก่าอีกต่อไป เพียงแค่หลบการโจมตีเขาก็ต้องใช้พลังไปมากแล้ว

เมื่อชายคนนั้นยังโจมตีกับเจียนเฉิยนไม่หยุดหย่อน เขาก็ตระหนักได้ว่าภัยคุกคามของเจี้ยนเฉินนั้นได้ลดลงไปแล้ว ในทำนองเดียวกันเขาก็ใช้พลังทั้งหมดของเขาพุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉินโดยไม่เสียดายชีวิต ความเร็วของเขาก็เร็วยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของชายคนนั้น เจี้ยนเฉินจึงต้องใช้พลังมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเขาอยู่ในสถาพที่สมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เจี้ยนเฉินจะสามารถหลบได้ง่าย ๆ แต่เขาก็สามารถที่จะโจมตีโต้ตอบได้เช่นกัน แต่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่อาจหลบหลีกได้ง่าย ๆ และเนื่องจากความเร็วของชายคนนั้นเพิ่มขึ้น การเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉินเพื่อหลบหลีกก็ทำได้เพียงฉิวเฉียดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ชายคนนั้นเริ่มโจมตีเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาสามารถโจมตีได้หลายสิบครั้งภายในกระบวนท่าเดียว ไม่นานก็มีรอยเลือดปรากฏอยู่บนเสื้อผ้าของเจี้ยนเฉิน เนื่องจากเขาไม่อาจโต้ตอบได้อีกต่อไป อน่างไรก็ตามก็สามารถเห็นได้ว่าบาดแผลของเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้ลึกสักเท่าไรนัก

มีแสงสีฟ้าสว่างภายใต้ยามค่ำคืนออกมาจากง้าวของชายคนนั้นที่พุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉิน

แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะพยายามอย่างมากเพื่อหลบคมง้าว แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลงเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจหลบง้าวของชายคนนั้นได้อย่างหมดจดอีกต่อไป ง้าวได้ทิ้งรอยบาดที่ลึกจนเห็นกระดูกบนหน้าอกของเจี้ยนเฉินและเลือดจำนวนมากก็เริ่มที่จะไหลออกมาย้อมเสื้อผ้าของเขา

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างดุดันในขณะที่เขายังคงฟันต่อไป ใช้ประโยชน์ที่เจี้ยนเฉินไม่ได้ขยับอีกต่อไป ชายคนนั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เร็วดั่งสายฟ้า เขาเตะเท้าขวาที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าไปยังหน้าอกของเจี้ยนเฉิน

“ปัง!”

การเตะของชายคนนั้นได้ส่งเจี้ยนเฉินปลิวไปด้านหลังดั่งลูกกระสุน ในขณะที่ร่างของเจี้ยนเฉินยังคงลอยอยู่บนอากาศ เจี้ยนเฉินไม่อาจทำอะไรได้นอกจากกระอักเลือดออกมาคำโต ขณะที่เขาลอยไปด้านหลัง 20 เมตรพร้อมกับผ่านหน้าโจรไปสองสามคนก่อนที่จะตกลงที่พื้น หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็กระเลือดออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับคนตาย

ชายคนนั้นก็เดินเข้าหาเจี้ยนเฉินพร้อมกับแสงสีฟ้าที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรและพูดว่า ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับเจ้า หากเจ้ามีความลับอะไรที่ทำให้ความเร็วของเจ้าเท่ากับข้า ข้าจะปล่อยชีวิตของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน ! ดวงตาของชายคนนั้นเปล่งประกายด้วยความอยากรู้และหัวใจของเขาก็เต้นเร็วพอ ๆ กับความคิดของเขาพร้อมกับหวังที่จะได้ทักษะของเจี้ยนเฉิน ความเร็วของธาตุลมเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับเขา แม้ว่าเขาจะไม่กล้าใช้ความเร็วของเขาไปจนถึงระดับใหม่แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาได้และเพิ่มสถานะในกลุ่มโจรไร้ขอบเขต

เมื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายคนนั้นก็ตื่นเต้นอย่างมาก เขาสั่นราวกับว่าเขานั้นโกรธมาก แต่จริง ๆ แล้วมันสั่นมาจากสภาวะทางอารมณ์ที่อดกลั้นไม่ให้แสดงออกมาของเขา

เจี้ยนเฉินเช็ดเลือดออกจากปากของเขาและค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาจ้องมองไปยังชายคนนั้นด้วยท่าทีที่เยือกเย็น พร้อมกับพูดเยาะเย้ยน้อย ๆ ว่า ข้าเกรงว่าเจ้าไม่อาจแข็งแกร่งพอที่จะใช้มัน แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้กลัวความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขา

ขณะที่เขาพูด เจี้ยนเฉินก็จัดท่าทางให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดอย่างผ่อนคลายราวกับว่าเขาไม่สนใจที่จะป้องกันอีกแล้ว มือขวาของเขากำกระบี่หลวม ๆ สถานภาพตอนนี้ของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก

คำพูดของเจี้ยนเฉินทำให้ใบหน้าชายคนนั้นมืดครึ้ม เขาตะโกนกลับมาว่า เจ้าเด็กเหลือขอ ด้วยกำลังของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดถึงเรื่องนี้ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะบอกข้า เจ้าก็ควรเตรียมพร้อมที่จะรับผลจากการกระทำของเจ้าเอง เมื่อจบคำพูดชายคนนั้นก็วิ่งเข้าหาเจี้ยนเฉินพร้อมกับแกว่งง้าว ให้ปลายง้าวไปยังด้านขวาฟันสะพายแล่งลงไปที่เจี้ยนเฉิน

แม้จะเห็นวิธีการที่ชายคนนั้นทำ เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้แสดงออกว่าเขาจะหลบ เขายกกระบี่ของเขาขึ้นมาแทน แม้ว่ากระบี่ของเขาจะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่เท่ากัน แต่ดูเหมือนว่ากระบี่นั้นจะเบาราวกับขนนกและลอยอยู่กลางอากาศได้อย่างดี สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับจิตสังหารที่ได้ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้

กระบี่วายุโปรยและง้าวปะทะกันโดยไม่มีเสียงใด ๆ เกิดขึ้น หลังจากนั้นกระบี่วายุโปรยก็เหมือนจะเกาะติดง้าวอย่างนุ่มนวล มันเกาะง้าวราวกับหนอนเกาะอยู่บนต้นไม้และเบนวิถีของง้าวออกไป มันหมุนควงอยู่สองสามครั้งจากนั้นก็กระชากง้าวไปด้านข้างก่อนที่ตัวง้าวจะตกลงพื้น

ใบหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไปเมื่อเขามองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างประหลาดใจ ตอนนี้เขาไม่อาจควบคุมการเคลื่อนไหวของง้าวได้อีก หากเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอว่าเขาเพียงเล็กน้อย เขาจะไม่ประหลาดใจมากนัก แต่กับเจี้ยนเฉินซึ่งอ่อนแอกว่าเขามาก ทำให้เขาไม่อาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

นี่มันเพลงกระบี่อะไร ? ชายคนนั้นถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ

ไทเก๊ก เจี้ยนเฉินตอบ เมื่อพูดถึงไทเก๊กเขาก็ไม่ได้มีความชำนาญเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามเขายังฝึกมันได้มากพอที่จะเข้าใจปรัชญาของไทเก๊กที่ว่า อ่อนสยบแข็ง มันเป็นหลักการในการเบี่ยงอาวุธ ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่อ่อนแอกว่าคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในสภาพที่พลังจะหมดไปอีกต่างหาก แต่ตอนนี้เจี้ยนเฉินถูกบังคับให้ใช้เคล็ดวิชาไทเก๊ก ซึ่งเขาไม่ชำนาญในการปัดป้องการโจมตี

ไทเก๊กเน้นไปที่ความคิด อ่อนสยบแข็ง เพื่อให้คนที่อ่อนแอสามารถเอาชนะคนที่แข็งแกร่งกว่าได้ ด้วยความสามารถที่ใช้เบี่ยงเบนการโจมตีในลักษณะนี้ มันพิสูจน์ได้ว่ามันมีประโยชน์อย่างมากต่อเจี้ยนเฉินในตอนนี้ ข้อบกพร่องมันเพียงอย่างเดียวคือเจี้ยนเฉินมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวคิดของไทเก๊กและมันก็ไม่แย่เท่าไรนัก ในที่สุดเขาก็เชี่ยวชาญในการปลดอาวุธ ถึงอย่างนั้นก็มีประโยชน์กับเจี้ยนเฉินในเวลานั้น

คิ้วของชายคนนั้ก็ขมวดเข้าหากันขณะที่เขาพูดออกมา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า ไทเก๊ก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ดวงตาของมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่าสับสนก่อนที่จะหัวเราะ เจ้าเด็กเหลือขอ แต่เจ้าก็ยังอ่อนแอกว่าข้ามาก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้เคล็ดวิชามากมาย ดูเหมือนว่าการจะฆ่าเจ้าจะเป็นการสิ้นเปลือง ข้าควรจะจับเจ้าแทน นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัวเจ้าเช่นกัน ชายคนนั้นเคลื่อนไหวไปหาเจี้ยนเฉินอีกครั้งพร้อมกับเสริมความสามารถเข้าไปในง้าวที่อยู่ในมือ เขาได้ตัดสินใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะจับเจี้ยนเฉิน แม้ว่าเคล็ดวิชาไทเก๊กไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจจะเรียนรู้ แต่ชายคนนั้นต้องการที่จะเข้าใจเคล็ดวิชาที่ทำให้เจี้ยนเฉินสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

เจี้ยนเฉินใช้ไทเก๊กเพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ของเขา ด้วยวิธีการที่ลึกซึ้งในการรับมือกับการโจมตีแต่ละครั้งจากชายคนนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจควบคุมง้าวของเขาได้อีกต่อไป

แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาก แต่ไทเก๊กของเจี้ยนเฉินก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาดูเหมือนจะไม่มีความหมายเลย อย่างไรก็ตามมันใช้ความพยายามอย่างมากในส่วนของเจี้ยนเฉินแม้ไทเก๊กจะทำให้เขาสามารถเบี่ยงเบนการโจมตีของอีกฝ่าย เจี้ยนเฉินเป็นเพียงเซียนดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานทั้งหมดของเขาเพื่อสลายพลังส่วนใหญ่ของเขาจากง้าวและส่งไปที่อื่น ดังนั้นในขณะที่ดูง่ายแต่จริง ๆ แล้วมันก็ยากที่จะใช้ออกมา

แต่การที่ใช้ไทเก๊กนั้นเป็นวิธีการป้องกันชั่วคราวและเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ตลอดโดยไม่ใช้โอกาสเหล่านี้ตอบโต้กลับได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นความจริงที่ว่าฝ่ายตรงข้ามถูกกดดันจากการโจมตีของเขา เจี้ยนเฉินจะไม่ใช้วิชาไทเก๊กแน่นอน

หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีของการต่อสู้ระยะใกล้ชายคนนั้นก็เริ่มโกรธและโกรธมากขึ้น ทุกครั้งที่เขาโจมตีไปกับคนที่อ่อนแอกว่า เจี้ยนเฉินก็ได้ใช้วิชาแปลก ๆ ของเขาเพื่อเบี่ยงวิถีโจมตี สิ่งนี้ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมอาวุธของเขาและสำหรับเขานี่คือความอัปยศสูงสุด

เจ้าบัดซบ ข้าไม่เชื่อว่านี่คือทั้งหมดที่ข้าจะสามารพจัดการเจ้าได้ ! ชายคนนั้นโกรธจนถึงขีดสุด เขาไม่อาจเก็บความโกรธของเขาได้อีกต่อไปขณะที่เขายังคงสบถใส่เจี้ยนเฉินอย่างดุดัน

หลังจากนั้นไม่นานความแข็งแกร่งของชายคนนั้นก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เจี้ยนเฉินต้องดิ้นรนในการป้องกันมากขึ้น ใบหน้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อขณะที่พลังเซียนของเขาเริ่มหมดลง