ตอนที่ 120 เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

การตกลงของหลิงหลานทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหานจี้จวินลุ่มลึกขึ้น แววตาส่องประกายมากยิ่งขึ้น บางทีหานจี้จวินอาจจะหาเกมที่เขาอยากเล่นเจอแล้ว ดังนั้นแววตาถึงได้ตื่นเต้นคึกคักเล็กน้อย

ฉีหลงใช้ไหล่สะกิดลั่วล่างเบาๆ ในตอนที่หานจี้จวินไม่สนใจก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ ว่า “อาจารย์แรกเริ่มของพวกนายจัดเตรียมภารกิจอะไรไว้หรือเปล่า?”

ลั่วล่างทำหน้าประหลาดใจราวกับคาดไม่ถึงว่าฉีหลงจะรู้สึกไวขนาดนี้ เนื่องจากฉีหลงให้ความรู้สึกว่าเป็นคนหุนหันไม่แยแสอะไร ไม่รอบคอบอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเขาเก็บอารมณ์ได้รวดเร็วมาก ขยับคางลงเบาๆ จนแทบจะหาไม่เจอ บอกฉีหลงว่าเขาเดาไม่ผิดเลย

ฉีหลงยิ้มขึ้นมา มีเพียงเขาที่รู้ว่าเขาไม่ได้ประสาทสัมผัสไว แต่ว่าอาจารย์แรกเริ่มของเขาก็มอบหมายภารกิจอย่างหนึ่งมาให้เหมือนกัน ดังนั้นพอเห็นหานจี้จวินเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นกะทันหันแบบนี้ก็คิดโยงไปถึงตัวเองถึงได้สงสัยขึ้นมา

“เอาแบบนี้ละกัน เรื่องนี้ก็ให้ฉีหลงรับผิดชอบไป” ตอนนี้หลิงหลานตั้งใจฝึกฝนฉีหลงให้กลายเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของทีมพวกเขาต่อคนภายนอก เพราะว่าบรรยากาศภาพลักษณ์ของฉีหลงดูสดใสเต็มเปี่ยม ได้รับความเชื่อถือจากคนอื่นได้ง่ายมาก ต่อไปจะทำภารกิจอะไร เขาจะมีประโยชน์อย่างไม่คาดฝันเมื่อร่วมมือกับคนอื่น

เนื่องจากหลิงหลานเคยถูกใบหน้ายิ้มแย้มของอาจารย์หมายเลขสามกับหมายเลขห้าหลอกลวงติดต่อกัน ดังนั้นเธอเลยคิดว่าคนที่ยิ้มอย่างพวกผู้ดีมักจะเป็นตัวแทนของความใจดำ คนเลวที่ท้องเต็มไปด้วยแผนการร้ายเสมอ ด้วยเหตุนี้เองเธอเลยไม่ค่อยชอบรอยยิ้มแบบนี้มากนัก บวกกับเธอเคารพนับถืออาจารย์หมายเลขหนึ่งมาก เคารพรักอาจารย์หมายเลขเก้าอย่างยิ่งยวด และอาจารย์สองคนนี้ก็เป็นตัวแทนแบบอย่างของใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ทำให้การแสดงสีหน้าและน้ำเสียงการพูดจาของเธอค่อยๆ เขยิบไปทางอาจารย์สองคนนี้อย่างไร้ขีดจำกัด จากคำกล่าวของเสี่ยวซื่อ ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในช่วงบ่มเพาะเป็นหนุ่มน้อยโชตะ[1]ที่มีใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก…

“เอ่อ…?” การจัดการของหลิงหลานทำให้ฉีหลงตะลึงงันไปทันที เขาต้องรับหน้าที่อะไรนะ?

“หมายความว่า หลินจงชิงคือลูกน้องติดตามของนายไง ให้นายรับผิดชอบ” ในเมื่อให้ฉีหลงยืนอยู่หน้าเวที ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ผู้ติดตามที่เหมาะสมกับเขาสักคนสิ! นอกจากนี้ความลับของหลิงหลานยังมีเยอะมากเกินไป ไม่เหมาะให้มีคนติดตาม

“ไว้อีกเดี๋ยว ตอนที่ต่อสู้บนสนามประลอง นายก็ต้องพยายามเข้าละกัน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีลูกน้องนะ…” หลิงหลานตบบ่าของฉีหลงบ่งบอกว่าให้กำลังใจ หลังจากนั้นก็ชี้นิ้วสั่ง ไม่ลงมือทำเอง

อย่างไรก็ตาม ฉีหลงไม่ได้คิดอะไรกับการที่หลิงหลานวางภาระไว้ที่เขาอย่างไร้สาเหตุ เขากำลังรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่าในฐานะที่เขาเป็นคนบ้าการต่อสู้ เมื่อได้ยินว่าต่อสู้บนสนามประลองก็เลือดเดือดพล่านแล้ว แทบอยากจะรีบขึ้นไปบนเวทีต่อสู้สักยกให้ถึงอกถึงใจไปเลย ถึงแม้ว่าไอ้หลี่อิงเจี๋ยนั่นจะทำเรื่องที่ไม่น่าไว้ใจ แต่ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขาไม่เลวมากๆ มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

ส่วนทางด้านนั้น หานจี้จวินตัดสายอุปกรณ์สื่อสารของหลินจงชิงแล้ว ให้เขาแอบเข้ามาในห้องเล็กที่พวกเขาเปิดการประลองส่วนตัวขึ้น การประลองแบบนี้เป็นการต่อสู้ส่วนตัว ถ้าไม่ใส่รหัสผ่านก็จะเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อหานจี้จวินเตรียมรับหลินจงชิงเข้าทีม ยังไงก็ต้องสั่งสอนหลี่อิงเจี๋ยสักยก ถือโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากตัวหลี่อิงเจี๋ยให้มากขึ้น ดังนั้นเขาไม่อาจให้หลี่อิงเจี๋ยรู้ว่าหลินจงชิงได้เข้าทีมพวกเขาแล้ว

หลินจงชิงเดินเข้ามาในห้องประลองส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อหลินจงชิงเข้ามาในห้องประลองก็ไม่เห็นใครเลย ในขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้นก็มองไปยังตรงมุมอับของประตูห้อง พวกหลิงหลานกำลังยืนรอเขาอยู่ตรงนั้น เนื่องจากหานจี้จวินกังวลว่าจะมีคนตั้งใจตามหลินจงชิงมา ดังนั้นถึงได้จัดการให้ทุกคนเดินไปที่มุมอับ กำจัดความเป็นไปได้ที่จะถูกพบอย่างเด็ดขาด

เมื่อเห็นประตูห้องปิดแล้ว พวกหลิงหลานถึงค่อยเดินออกมา หลินจงชิงเหลือบมองหลิงหลานที่อยู่ตรงกลางด้วยความระมัดระวังแวบหนึ่ง รอคอยผลสรุปของเขา

หากสามารถเข้าทีมของหลิงหลานได้ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่ที่หลิงหลานช่วยเขาไว้โดยที่ไม่แสดงออกครั้งนั้น หลินจงชิงก็ตื้นตันใจอย่างยิ่ง ตอนนั้นเขาก็เคยรู้สึกขัดแย้งในใจว่าควรก้มหัวขอเข้าทีมหลิงหลานเองดีหรือไม่ ขอการคุ้มครองจากพวกเขา เพียงแต่ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเข้าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือและกลายเป็นนักเรียนห้องสเปเชียลเอ ในใจตนเองมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ไม่อยากกลายเป็นเครื่องประดับเพิ่มเติมของใคร ยิ่งไปกว่านั้นเขามั่นใจว่าจะหลีกหนีการบีบบังคับของหลี่อิงเจี๋ยได้ ดังนั้นความคิดแบบนั้นจึงหายไปโดยธรรมชาติ

ทว่าความเป็นจริงช่างโหดร้าย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่อิงเจี๋ยแย่ลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็แทบจะเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะก้าวหน้าอย่างมั่นคงมาโดยตลอด แต่ว่ายิ่งเรียนเยอะก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของเขากับห้าอันดับแรกของห้องสเปเชียลเอ หลิงหลาน ฉีหลง หลี่อิงเจี๋ย อู่จย่ง เยี่ยซวี่คือรายชื่อห้าอันดับแรกตายตัว ความสามารถของพวกเขาเหนือกว่าพวกนักเรียนห้องสเปเชียลเอยู่ช่วงหนึ่ง พูดได้ว่าไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของพวกเขาได้

ในหมู่ห้าคนนี้ เยี่ยซวี่เป็นคนที่อ่อนแอที่สุด ส่วนความสามารถของหลี่อิงเจี๋ยกับอู๋จย่งสูสีกัน ความสามารถโดยรวมของฉีหลงกดพวกเขาได้หนึ่งช่วงหัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิงหลานที่นักเรียนรุ่นนี้ต่างก็ยอมรับว่า No:1 ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งมาได้ แต่ว่าขอเพียงเห็นฉีหลงลูกน้องของเขาคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งติดต่อกันได้สามปีก็รู้ความน่ากลัวของเขาแล้ว

หลินจงชิงเคยสู้กับเยี่ยซวี่และอู๋จย่งในศึกจัดอันดับชั้นปีมาก่อน เขายืนหยัดได้มากสุดแค่ห้าสิบหกสิบกระบวนท่าเท่านั้น ในใจหลินจงชิงรู้ดีว่า ถ้าหากอีกฝ่ายใช้ท่าไม้ตายออกมาจริงๆ ละก็ เขายืนหยัดได้มากขนาดนี้ไม่ไหวแน่นอน บางทีอาจจะประคับประคองไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ความกดดันที่มาจากระดับนั้นทำให้หลินจงชิงพ่ายแพ้โดยที่ไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ เลย

เทียบกับสี่คนที่เหลือแล้ว ความจริงหลินจงชิงอยากรู้เกี่ยวกับหลิงหลานมากกว่า ถึงขนาดที่พูดได้ว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย เขาเคยตรวจสอบภูมิหลังครอบครัวของหลิงหลานอย่างอ้อมๆ มาแล้ว หลิงหลานเป็นเด็กในครอบครัวชนชั้นกลาง และก็เป็นลูกที่เกิดหลังบิดาเสียชีวิตแล้ว บิดาของเขาได้เข้าร่วมสงครามของสหพันธรัฐและพลีชีพในตอนที่เขายังอยู่ในท้องมารดา นอกจากฐานะทางบ้านที่ดีกว่าเขานิดหน่อยแล้ว พวกเขามีปัจจัยอื่นๆ ไม่ต่างกันมาก พวกเขาไม่มีวิชาต่อสู้พิเศษ ไม่มีผู้อาวุโสมาเล่าประสบการณ์ต่อสู้ให้ฟัง แต่ทำไมเขาถึงมีพลังรบที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ล่ะ? หรือว่าเป็นปัญหาเรื่องยีน? แต่พวกเขาเองก็ด้อยกว่าหลิงหลานหนึ่งระดับเท่านั้น ว่าตามทฤษฎีแล้วไม่มีทางแตกต่างกันได้มากขนาดนี้

หลินจงชิงเคยศึกษาการต่อสู้ของหลิงหลานมาก่อน และพบว่าการต่อสู้ของเขาประณีตแม่นยำมาก ไม่มีความอืดอาดยืดยาดเลย (ก็ใช้แค่กระบวนท่าเดียวก็ต้องอืดอาดยืดยาดไม่ได้อยู่แล้ว) นอกจากนี้ไม่มีสักครั้งที่พละกำลังในการโจมตีของเขาจะแข็งแกร่งจนไม่สามารถต้านทานได้ และก็ไม่ได้เร็วจนทำให้คนมองไม่เห็น กระบวนท่าเรียบง่ายที่ไม่มีความตระการตามากเกินไป โจมตีตรงไปที่จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของคู่ต่อสู้

แน่นอนว่าเขาเองก็คุ้นเคยกับพวกกระบวนท่าโจมตีที่หลิงหลานใช้มากๆ มันเป็นทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ และก็มีบางท่าที่เป็นท่าไม้ตายที่แอบขโมยเรียนจากนักเรียนคนอื่นๆ

เดิมทีหลินจงชิงก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเห็นท่าไม้ตายของฉินอี้ถูกปล่อยออกมาจากในมือหลิงหลานโดยไม่พลาดสักนิดเดียว กระบวนท่าเดียวก็เอาชนะเยี่ยซวี่ได้ เขาก็รู้แล้วว่าหลิงหลานมีความสามารถเหนือธรรมชาติที่เลียนแบบและดูดซับท่าไม้ตายของคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว และก็ทำให้เขาเข้าใจสาเหตุนิดหน่อยว่าทำไมหลิงหลานถึงแข็งแกร่งขนาดนี้

หลิงหลานไม่มีภูมิหลังครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ และก็ไม่มีทักษะการต่อสู้พิเศษอะไร (เด็กน้อยที่ถูกหลอกลวงอีกคน) ทว่าสามารถกลายเป็น No:1 ของรุ่นพวกเขาได้ หลินจงชิงชื่นชมและนับถือหลิงหลานจากใจจริง เขาคิดว่าหลิงหลานนำเกียรติยศมาให้กลุ่มครอบครัวคนธรรมดาอย่างพวกเขา เรื่องเดียวที่ทำให้เขาเสียใจก็คือ หลิงหลานเย็นชามาก เขาไม่ค่อยสนใจนักเรียนที่อยู่รอบข้างมากนัก นอกจากไม่กี่คนที่สนิทกับเขามาตั้งแต่แรกแล้ว หนึ่งปีให้หลังก็ยังเป็นคนพวกนั้นที่สนิทกับเขา

และครั้งนี้เขาก็ตกหลุมพรางโดยไม่คาดคิดเข้า เขาถูกบีบให้ต่อสู้กับหลี่อิงเจี๋ย หลินจงชิงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่อิงเจี๋ยแน่นอน แต่เขาก็ไม่ยอมกลายเป็นลูกน้องของหลี่อิงเจี๋ยอย่างอัดอั้นตันใจหรอกนะ ดังนั้นเขาเลยนึกถึงหลิงหลาน ในเมื่อต้องกลายเป็นลูกน้องของใครสักคนเหมือนกัน เขายินดีเป็นลูกน้องของหลิงหลานมากกว่า ถึงแม้ว่าอู๋จย่งเองก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก แต่หลินจงชิงกลับไม่มีความคิดแบบนี้เลย

ดังนั้นเขาเลยติดต่อไปหาหานจี้จวินที่ออนไลน์อยู่ บอกคำขอร้องของเขาออกมา เขาคิดว่าตัวเองจะรู้สึกรับไม่ได้แน่นอน ถึงยังไงเขาก็ต่อต้านมาได้หนึ่งปีกว่าแล้ว แต่สุดท้ายยังหลุดพ้นจากโศกนาฏกรรมที่ต้องเป็นลูกน้องไม่ได้ เรื่องเดียวที่สามารถปลอบใจตัวเองได้ก็คือครั้งนี้เขาเป็นคนเลือกเอง แต่นึกไม่ถึงว่า เมื่อเขาเอ่ยปากออกมาก็ไม่คาดคิดว่าจะรู้สึกโล่งใจราวกับว่าปลดเปลื้องภาระหนักหน่วงลง บางทีเขาอาจจะมีความคิดแบบนี้มานานมากแล้ว เพียงแต่ความทระนงหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองทำให้เขาไม่อยากคิดแบบนี้

ตอนนี้หลินจงชิงมาอยู่ตรงหน้าคนที่สามารถตัดสินชะตาในอนาคตของเขาแล้ว หัวใจที่เดิมทีสงบนิ่งก็เริ่มเต้นระรัวขึ้นมา ให้ตายสิ เขารู้สึกเครียดแล้ว มีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ด้านใน เขากลัวว่าจะถูกปฏิเสธ…

“หลินจงชิง ฉันรับปากคำขอร้องของนาย แต่ว่าฉันเคลื่อนไหวตามลำพังมาตลอด ดังนั้นต่อไปนายติดตามพวกฉีหลงเถอะ” คำพูดของหลิงหลานทำให้หลินจงชิงทั้งดีใจและหนักอึ้งในใจ ดีใจว่าในที่สุดเขาก็สามารถเข้าร่วมทีมของหลิงหลาน ได้รับการคุ้มครองจากพวกเขา เรื่องที่หนักอึ้งในใจก็คือเขาได้ยินหลิงหลานปฏิเสธออกมา หลิงหลานไม่อยากรับเขาเป็นลูกน้องถึงได้มอบเขาให้พวกฉีหลงจัดการ

ไม่นึกเลยว่าเขาเองก็มีช่วงเวลาที่ถูกคนรังเกียจเหมือนกัน หลินจงชิงไม่รู้ว่าควรจะบรรยายความรู้สึกตัวเองยังไงดี เขาได้แต่พยักหน้าอย่างขอไปที บ่งบอกว่าทราบแล้ว

การรับคนเข้าทีมต้องให้หัวหน้าทีมเชิญเท่านั้น คนที่อยู่ตัวคนเดียวไม่สามารถหาทีมขอสมัครเข้าทีมเองได้ ดังนั้นพอหลิงหลานเห็นหลินจงชิงพยักหน้าตกลง ในฐานะที่เธอเป็นหัวหน้าทีมก็ใช้อุปกรณ์สื่อสารเชื่อมต่อกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ยื่นเอกสารคำร้องขออยากให้หลินจงชิงเข้าทีม เมื่อคำร้องผ่านแล้ว ออปติคัลคอมพิวเตอร์จะติดต่อกับสมาชิกทีมที่ยื่นเอกสารคำร้อง เวลานี้สมาชิกทีมจะต้องกรอกรหัสอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองลงไปหลังจากนั้นก็จะเข้าร่วมทีมได้สำเร็จ

ออปติคัลคอมพิวเตอร์ตรวจสอบข้อมูลของหลินจงชิงเร็วมาก เมื่อยืนยันแล้วว่าตอนนี้เขายังอยู่ในสถานะบุคคลอิสระก็ส่งคำเชิญของหลิงหลานไปที่อุปกรณ์สื่อสารของหลินจงชิง

หลินจงชิงสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วกดปุ่มยืนยันโดยไม่ลังเลและใส่รหัสของตัวเองลงไป เมื่อเขาเห็นข้อความว่ายินดีที่ได้เข้าร่วมทีมของหลิงหลานแล้ว หลินจงชิงก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ เขารู้สึกว่าเรื่องราวสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามเขาก็สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว ไม่ให้คนอื่นๆ ในห้องสังเกตเห็น

“ฉีหลง ฉันมอบเรื่องการประลองให้นายจัดการนะ” หลิงหลานก็ได้รับข้อความว่ารับคนสำเร็จแล้วเหมือนกัน และก็ได้รับข้อมูลทั้งหมดของหลินจงชิง ในฐานะที่เป็นทีม พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ข้อมูลของสมาชิกทุกคนถูกเปิดเผยไว้ และความแค้นที่หลินจงชิงแบกรับไว้ทั้งหมดในเวลานี้ก็จะแผ่ขยายออกไปทั่วทั้งทีมเช่นกัน พูดอีกอย่างก็คือ สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมสามารถออกไปต่อสู้แทนหลินจงชิงได้ นี่ก็เหมือนกับเหตุผลที่หลี่อิงเจี๋ยวางแผนล่อให้หลินจงชิงติดกับได้

………………………………………………………….

[1] หมายถึง เด็กหนุ่มที่หน้าตาน่ารัก