นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เกิดการดวลรูปแบบศัตรูคู่อาฆาตในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ วิธีการที่หลินจงชิงกับหลี่อิงเจี๋ยเดิมพันอนาคตกันนั้นเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาในหมู่เด็กชั้นปีต่ำๆ นี่ก็เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมวันนี้หอต่อสู้ถึงมีคนมามากมายขนาดนี้
หลี่อิงเจี๋ยขึ้นไปบนเวทีประลองรอคอยการมาของหลินจงชิงอยู่นานแล้ว ตอนนี้ในใจเขารู้สึกพึงพอใจมาก เขาเชื่อว่าหลินจงชิงเป็นเหยื่อในกำมือเขาแล้ว ขอเพียงรอการประกาศผลสุดท้ายเท่านั้น หลี่อิงเจี๋ยมั่นใจว่าอาศัยความสามารถของเขาจัดการหลินจงชิงนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากๆ
หลี่อิงเจี๋ยยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาเหมือนกับมองเห็นฉากที่หลินจงชิงโค้งคำนับยอมจำนนต่อเขา….
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่อมากลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ ในตอนหนึ่งนาทีสุดท้ายก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เขาเห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามไม่ใช่หลินจงชิง หากแต่เป็นฉีหลง หลี่อิงเจี๋ยก็รู้แล้วว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายตลบหลัง เขาเอ่ยอย่างคลุ้มคลั่งว่า “ทำไมถึงเป็นนายล่ะ?”
ฉีหลงกล่าวพลางหัวเราะอย่างวางโตว่า “ทำไมจะเป็นฉันไม่ได้ล่ะ?” ในสายตาของหลี่อิงเจี๋ยตอนนี้ รอยยิ้มที่เดิมทีดูเบิกบานเปิดเผยนั้นกลับเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน เยาะเย้ยเขาที่ตกเป็นเหยื่อให้กับความฉลาดของตัวเขาเอง
“ไม่นึกเลยว่าหลินจงชิงจะเป็นสมาชิกทีมของนาย ยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าพวกนายจะยอมเสียโควตาให้หมอนั่นไปแบบนี้” หลี่อิงเจี๋ยวางแผนไว้นานแล้วว่า พอเขาเอาชนะหลินจงชิงแล้ว สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือจะดับโอกาสไม่ให้เขาเข้าทีมอื่นๆ ในเมื่อหลินจงชิงไม่ยอมจำนนต่อเขา เช่นนั้นเขาก็จะทำลายหลินจงชิงให้สิ้นซาก หลังจากนั้นก็จะให้หลินจงชิงกลายเป็นสุนัขต่ำต้อยที่เขาทุบตีด่าทอได้ตามใจชอบ!
“นายยังยอมให้คนของห้องธรรมดาเข้าร่วมทีมตัวเองเลย อย่างน้อยที่สุดหลินจงชิงก็เป็นนักเรียนห้องสเปเชียลเอนะ รับเขาเข้าทีมก็ไม่ได้น่าขายหน้าเลย” ฉีหลงพูดไม่ออกกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ตอนนี้เขามองหลี่อิงเจี๋ยยังไงก็คิดว่าสมองของเขามีปัญหาอยู่นิดหน่อย ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดยังไง สมาชิกทีมคือพันธมิตรที่สนิทที่สุดที่จะเติบโตไปด้วยกัน นอกจากนี้ยังเป็นเพื่อนสนิทที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในอนาคตด้วย
ดังนั้นหัวหน้าทีมแต่ละคนจะรับคนทีก็ต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก การรับสมาชิกทีมที่ทำให้ความแข็งแกร่งของทีมตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเพียงเพื่อจะแก้แค้นคนที่ไม่อยากเข้าร่วมกลุ่มของเขาเหมือนกับหลี่อิงเจี๋ยนั้น สำหรับฉีหลงแล้ว การกระทำแบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเลย มันเป็นการกระทำที่ไร้สมองแน่นอน
คำพูดของฉีหลงยิ่งจุดโทสะของหลี่อิงเจี๋ย ตอนนี้ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเขาตกหลุมพรางของทีมหลิงหลานแล้ว เขาคิดว่านี่เป็นแผนการกำจัดคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างเขาที่ทีมของหลิงหลานตั้งใจวางขึ้นเพื่อที่จะคว้าตำแหน่งราชาของรุ่นที่ 4738
จำเป็นต้องบอกว่า หลี่อิงเจี๋ยคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมมากเกินไป เขามองทีมของหลิงหลานเป็นคู่แข่งของเขามาตลอด ดังนั้นเมื่อพบว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อเขา ความคิดแรกของเขาก็คือ เขาตกหลุมพรางแล้ว
หลี่อิงเจี๋ยถูกมัวเมาอยู่ในความโกรธจนไม่อาจรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป เมื่ออาจารย์กรรมการพูดว่าเริ่มได้แล้ว เขาก็พุ่งไปหาฉีหลงที่อยู่ตรงข้ามด้วยสองตาที่แดงฉาน แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลย เดิมทีความสามารถของเขาก็ด้อยกว่าฉีหลงเล็กน้อย หลังจากที่สูญเสียความเยือกเย็นไป ความแตกต่างก็ยิ่งเห็นได้ชัด ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า หลี่อิงเจี๋ยก็ถูกฉีหลงกดดันทุกทางแล้ว
มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ การแข่งขันครั้งนี้ฉีหลงคว้าชัยชนะแน่นอน
………….
ในมุมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเวทีประลอง อู่จย่งที่กำลังชมการต่อสู้เห็นถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “เยี่ยซวี่ พวกเราไปกันเถอะ”
“ได้!” เยี่ยซวี่พยักหน้าตอบรับ จากความสามารถของพวกเขามองออกว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง เดิมทียังคาดหวังการต่อสู้ของหลี่อิงเจี๋ยกับฉีหลงอยู่ คิดไม่ถึงว่าจิตใจของหลี่อิงเจี๋ยจะเสียสมดุลไป เมื่อสูญเสียความเยือกเย็น การต่อสู้ก็เปลี่ยนเป็นไปตามที่คิดไว้ และก็ทำให้พวกเขาสูญเสียความสนใจไปเช่นกัน
สาเหตุที่พวกอู่จย่งกับเยี่ยซวี่มาชมดูที่สนามประลอง ความจริงแล้วมีเป้าหมายอยู่อย่างหนึ่ง พวกเขาเองก็อยากรับหลินจงชิงเข้าทีมเหมือนกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้หลินจงชิงจะอยู่ที่อันดับสิบห้าของชั้นปี ดูแล้วไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ว่าเขาสามารถเลื่อนจากอันดับสุดท้ายเข้ามาที่ระดับบนของห้องเอได้ภายในเวลาเกือบสองปี ขอเพียงหลินจงชิงรักษาการก้าวหน้าแบบนี้ต่อไป ต้องมีสักวันที่เขาสามารถเลื่อนสู่ระดับท็อปได้อย่างแท้จริง อู่จย่งกับเยี่ยซวี่ต่างก็มองอนาคตของเขาไปในทางที่ดี ดังนั้นพวกเขาเลยยินดีมอบหนึ่งในโควตารับสมาชิกทีมอันล้ำค่าให้กับหลินจงชิง
อู่จย่งกับเยี่ยซวี่เองก็เชื่อมั่นอยู่แล้วว่า ขอเพียงหลินจงชิงยินดีเข้าทีม อาศัยตำแหน่งของตระกูลพวกเขาในโลกทหารมาเจรจากับหลี่อิงเจี๋ยดีๆ อีกฝ่ายไม่มีทางไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม อู่จย่งคาดไม่ถึงว่าหลิงหลานจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าพวกเขาก้าวหนึ่ง…ในใจอู่จย่งรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง คิดว่าเขาเสียหมากไปหนึ่งตา เดิมทีเขาอยากรอถึงตอนที่หลินจงชิงหมดหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาก็จะยื่นมือช่วยเหลือ แบบนี้ก็จะสามารถได้รับความซาบซึ้งใจของหลินจงชิงมากยิ่งขึ้น ไม่นึกเลยว่าทีมของหลิงหลานกลับสอดเท้าเข้ามาตัดทางเขาเสียได้ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้แต่แรก เขาไม่ควรเลือกรอคอยเพราะอยากให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด แต่ควรจะติดต่อกับหลินจงชิงก่อนในตอนที่รู้ว่าหลี่อิงเจี๋ยวางแผนใส่หลินจงชิง…
“ไอ้ฉีหลงนั่นแม่งเคลื่อนไหวเร็วจริงๆ ชิงนำหน้าพวกเราไปก่อนหนึ่งก้าวจนได้หลินจงชิงไป” เยี่ยซวี่มองฉีหลงที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมั่นคงพลางพูดด้วยความไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“ฉีหลง? หมอนั่นเป็นแค่คนบ้าการต่อสู้เท่านั้น จะคิดมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน ถ้าเกิดไม่มีคนๆ นั้น หลินจงชิงจะเลือกเข้าทีมพวกเขาได้ยังไง” อู่จย่งทำท่าบอกให้เยี่ยซวี่มองไปยังหลิงหลานที่ยืนอยู่ตรงมุมด้วยแววตาที่ระมัดระวังสุดขีด
“หลิงหลาน…” สีหน้าของเยี่ยซวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาย่อมจำเหตุการณ์ตอนที่ตัวเองถูกหลิงหลานเอาชนะในกระบวนท่าเดียวได้ ครั้งนั้นเกือบจะทำลายความมั่นใจของเขาจนยับเยิน โชคดีที่อู่จย่งหาเขาพบ พวกเขาที่พ่ายแพ้ย่อยยับให้กับหลิงหลานเหมือนกันก็ร่วมมือไปด้วยกัน สุดท้ายก็ตั้งทีมขึ้นมาได้สำเร็จกลายเป็นทีมที่มีอยู่เพียงสามกลุ่มของชั้นปีพวกเขาในเวลานี้ และก็ทำให้ชื่อเสียงอิทธิพลของพวกเขาในห้องไม่ด้อยไปกว่าทีมของหลิงหลานเลย กลายเป็นกลุ่มที่คานอำนาจไปแล้ว
ส่วนทีมของหลี่อิงเจี๋ย ความจริงแล้วในสายตาพวกเขา มันไม่มีอำนาจคุกคามอะไรเลย แต่ตัวหลี่อิงเจี๋ยยังตาบอดคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของห้อง….
สุดท้ายแล้วอู่จย่งก็ดูถูกหลี่อิงเจี๋ยอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าลูกหลานสายตรงของตระกูลอันดับหนึ่งนี้จะมีความสามารถในการต่อสู้ไม่เลวมากๆ แต่ว่าสมองนั้นแย่กว่าที่อู่จย่งคิดไว้จริงๆ เอาแต่ทำเรื่องวุ่นวายใส่ตัวเองกับคนอื่นไม่มีเรื่องดีอะไรเลย
กลุ่มของอู่จย่งหายไปจากหอต่อสู้อย่างเงียบเชียบ ส่วนบนเวทีประลองก็ได้ผลสรุปลงรวดเร็วมาก เดิมทีหลี่อิงเจี๋ยยังสามารถต้านทานฉีหลงได้หลายร้อยกระบวนท่า แต่คราวนี้กลับแสดงความสามารถของอันดับห้าห้องเอออกมาไม่ได้เลย สู้ไปได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็ถูกฉีหลงต่อยจนกระเด็นออกไปจากเวทีประลอง โดนตัดสินว่าพ่ายแพ้ทันที
หลังจากที่หลี่อิงเจี๋ยพ่ายแพ้แล้วก็มีตัวเลือกสองอันเด้งขึ้นมาบนอุปกรณ์สื่อสาร หนึ่งคือยอมรับความพ่ายแพ้จากการเดิมพัน ส่วนอีกอันคือเลือกไถ่ถอนตัวเอง ใช้แต้มผลการรบมาแลกเปลี่ยนกับอิสระของตัวเอง
จากนิสัยของหลี่อิงเจี๋ย เขาย่อมต้องเลือกไถ่ถอนตัวเองแน่นอน ทว่าหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้เลือก หากแต่โมโหจนสลบไปทันที
เนื่องจากหลี่อิงเจี๋ยสูญเสียความสามารถในการเลือกไป สามนาทีให้หลัง ออปติคอลคอมพิวเตอร์หลักของสถาบันจึงมอบสิทธิในการเลือกให้ฉีหลงอัตโนมัติ ให้เขาทำการเลือกเอง
ถ้าหากเลือกลูกน้องก็ต้องให้ทีมของฉีหลงส่งคำเชิญออกไป แต่ถ้าเป็นการไถ่ถอนตัวเองก็ต้องให้ผู้พ่ายแพ้เอาแต้มผลการรบที่กำหนดไว้มาไถ่ตัวเอง
ฉีหลงเห็นหลี่อิงเจี๋ยดีที่ไหนกัน เขารีบเลือกให้หลี่อิงเจี๋ยไถ่ถอนตัวเองทันที หลังจากนั้นก็เห็นค่าไถ่ตัวที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์มอบให้ เลขศูนย์นับไม่ถ้วนทำให้ฉีหลงดูจนตาลาย เดิมทีหลี่อิงเจี๋ยก็กังวลใจว่าหลินจงชิงจะเลือกไถ่ถอนตัวเอง ดังนั้นถึงได้ตั้งราคาไถ่ตัวเองเป็นแต้มผลการรบหนึ่งแสนแต้ม นี่ย่อมเป็นตัวเลขมหาศาล ควรรู้ไว้ว่าฉีหลงที่ผลการรบโดดเด่นในสองปีมานี้ก็ยังคว้าแต้มผลการรบมาได้แค่หนึ่งพันกว่าแต้ม
ความจริงแล้วหลี่อิงเจี๋ยได้เสนอค่าไถ่ตัวนี้เองในตอนที่ให้คนท้าประลองหลินจงชิงในรูปแบบศัตรูคู่แค้น ไม่ว่าหลินจงชิงจะเลือกแบบไหนก็หนีเงื้อมมือของเขาไม่พ้น เขาจะใช้แต้มผลการรบพวกนี้บีบบังคับให้หลินจงชิงทิ้งการเรียน หยุดการทำภารกิจในโลกเสมือนจริงเพื่อมาชดใช้หนี้คืน (แต้มผลการรบของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือกับแต้มเครดิตในโลกเสมือนจริงสามารถใช้แลกเปลี่ยนกันเองได้)
อย่างไรก็ตาม เจตนาชั่วร้ายของหลี่อิงเจี๋ยกลับหล่นทับขาตัวเอง ทำให้ฉีหลงได้ประโยชน์ไป นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมหลี่อิงเจี๋ยถึงโมโหจนสลบไปเลย เพราะเขารู้ว่าค่าไถ่ตัวเองคืออะไร ต่อให้เป็นเขาก็แบกรับไม่ไหวเหมือนกัน
ไม่นานอุปกรณ์สื่อสารของฉีหลงก็ส่งข้อความมา บอกว่าแต้มผลการรบถูกโอนเข้ามาในบัญชีของเขาภายใต้ชื่อหลี่อิงเจี๋ย ออปติคัลตอมพิวเตอร์หลักยังบอกฉีหลงว่า แต้มที่ขาดไปจะถูกโอนเข้ามาในบัญชีเขาอัตโนมัติหลังจากที่หลี่อิงเจี๋ยได้รับแต้มผลการรบ พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ไม่รับหลี่อิงเจี๋ยเป็นลูกน้อง หลี่อิงเจี๋ยก็ต้องทำงานให้ฉีหลงไปจนจบการศึกษาที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือ
หลี่อิงเจี๋ยเสียหายหนักมากเช่นนี้เอง ส่วนหลินจงชิงก็หลุดพ้นจากปัญหาที่ก่อกวนเขามาเกือบสองปีแล้ว อย่างไรก็ตามฉีหลงก็ได้รับแต้มผลการรบที่เหลือจากหลี่อิงเจี๋ย ล้างหนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว ฉีหลงรู้ดีว่านี่น่าจะเป็นผลจากการที่ตระกูลของหลี่อิงเจี๋ยใช้อำนาจอยู่เบื้องหลัง โอนแต้มเครดิตในโลกจริงเข้าไปในบัญชีของหลี่อิงเจี๋ยแล้วค่อยแลกเป็นแต้มผลการรบมาล้างหนี้
ถึงแม้ว่าทางสถาบันจะประกาศต่อสาธารณะว่าไม่สามารถแลกแต้มเครดิตของจริงจากโลกภายนอกได้ แต่เมื่อเผชิญกับตระกูลที่มีความสามารถยิ่งใหญ่สุดขีด มีอำนาจอิทธิพลอย่างแท้จริง ทางสถาบันก็ยังต้องให้การดูแล ฉีหลงเข้าใจการตลบแตลงภายในดี หลังจากที่ได้รับการใช้หนี้แล้วก็ไม่ได้ประหลาดใจเช่นกัน เพียงแต่บอกเรื่องแต้มผลการรบนี้ให้กับหลิงหลานและหานจี้จวิน สุดท้ายหลิงหลานก็ตัดสินใจเหลือหนึ่งหมื่นแต้มให้เธอไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ส่วนแต้มที่เหลือก็ให้หานจี้จวินมีอำนาจรับผิดชอบเต็มที่ หวังว่าจะสามารถอาศัยแต้มก้อนใหญ่นี้หาผลประโยชน์ในโลกเสมือนจริงของสถาบันลูกเสือได้ แน่นอนว่าเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกหลิงหลานคือให้สมาชิกทีมของพวกเขาทุกคนสามารถซื้อพวกยาเพิ่มความสามารถได้โดยที่ไม่ต้องกังวล
แต้มผลการรบมีประโยชน์มาก ถึงขนาดที่สามารถซื้อยาฝึกปรือชั้นหนึ่งที่หาเจอได้ยากมากในสถาบัน ขนาดยากระตุ้นยีนระดับสูงก็ยังมีอยู่ในนี้เช่นกัน เพียงแต่ราคาแพงมาก แต้มผลการรบหนึ่งหมื่นแลกได้หนึ่งหลอด ต่อให้เด็กๆ ของสถาบันจะทำภารกิจสุดชีวิต ท้าประลองต่อสู้อย่างกระตือรือร้น อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาห้าปีถึงจะสะสมแต้มผลการรบได้หนึ่งหมื่นแต้ม
แต้มผลการรบของฉีหลงในตอนนี้สามารถซื้อยากระตุ้นยีนระดับสูงได้แค่สิบหลอดเท่านั้น และปริมาณพวกนี้ก็เป็นปริมาณที่ฉีหลงใช้ดูดซับในหนึ่งปี หลิงหลานคิดว่าเวลานี้ซื้อยาพวกนี้ไปก็ได้ไม่คุ้มเสียอยู่บ้าง ไม่สู้คิดวิธีหาผลประโยชน์ยังไงดีกว่า ยิ่งได้แต้มมากขึ้น ยาที่พวกเขาสามารถได้รับก็จะยิ่งเยอะมากขึ้น
หานจี้จวินก็คิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาเลยรับไว้ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เขารู้สึกมีกำลังใจในการทำงานมาก คิดว่าชีวิตเช่นในยามนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ทุกคนต่างไปทำเรื่องของตัวเอง มีเพียงเสี่ยวซื่อที่คอยพูดพร่ำอยู่ข้างหูหลิงหลานมาตลอดว่า เขาเหมาะสมกับการจัดการแต้มผลการรบพวกนั้นมากกว่าหานจี้จวินนะ
…………………………….