บทที่ 131 องค์ชายที่เชื่อถือไม่ได้

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 131

องค์ชายที่เชื่อถือไม่ได้

องค์ชายสี่ก็ได้จับจ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาถมึงทึง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ให้องค์ชายเป็นหนี้เจ้าไม่ได้หรืออย่างไร?”

“แน่นอนว่าไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรเสียองค์ชายสี่นั้นก็เป็นถึงองค์ชายที่เหนือกว่าผู้ใด!”

หลินซีเหยียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งมาก แต่ใครที่ได้ยินก็รู้ว่านางกำลังประชดประชันอยู่ “ที่ข้าทำก็เพื่อความสบายใจเท่านั้น อย่างไรเสียเงิน 800 ตำลึงทองนี้ก็เป็นเงินที่ลูกชายของข้าทำงานเก็บเงินมา นอกจากนี้องค์ชายก็คงจะจ่ายแน่ๆอยู่แล้ว แค่ทิ้งหนังสือสัญญาเอาไว้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร?”

องค์ชายสองก็ได้พูดเยาะเย้ยด้วยสีหน้าพอใจ “หรือว่าน้องสี่แค่อยากจะทำเป็นหน้าใหญ่ต่อคนอื่นให้เห็นเท่านั้น?”

“เขียนก็ได้ ก็แค่ 800 ตำลึงทองใช่ไหม? อย่าง เปิ่นหวางน่ะไม่สนจำนวนเงินแค่นี้หรอกนะ” เพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นมาดูถูกได้ องค์ชายสี่จึงได้ยอมเขียนหนังสือสัญญายืมเงิน

หลินซีเหยียนจึงได้หยิบเอากระดาษขึ้นมาแล้วส่งให้เทียนเอ๋อ “เอาไปให้เขา”

องค์ชายสี่ก็ได้ยกมือขึ้นมาแล้วมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตามืดดำ ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศคุกคาม

“องค์ชายสี่ไม่ต้องจ้องมาที่ข้าเช่นนี้ก็ได้ ท่านเป็นถึงองค์ชายแต่ถ้าท่านจ่ายเงินโดยไม่เบี้ยวและรังแกผู้อื่นแล้ว ข้าเชื่อว่าท่านจะเป็นเจ้านายของเหล่าขุนนางที่ดีได้” หลินซีเหยียนมองไปที่องค์ชายด้วยดวงตาสายตาที่สว่างไสวปราศจากความกลัว

องค์ชายสี่นั้นนิ่งเงียบแต่แอบเคียดแค้นหลินซีเหยียนในใจ ที่พระราชวังหลวงนั้นเป็นถิ่นของเขา หากว่านางเข้ามาที่พระราชวังเมื่อไร เขาจะไม่ยอมปล่อยให้นางได้ออกไปง่ายๆแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านพ่อของเขาเคยพูดเอาไว้

“รั่วจิ่ง สิ่งนี้เป็นของเจ้าแล้ว” องค์ชายสี่ก็ได้ส่งกล่องนั้นให้กับหลินรั่วจิ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าเปิ่นหวางนั้นจะมีโอกาสได้เห็นจิ่งเอ๋อใส่ไหมนะ?”

หลินรั่วจิ่งก็ได้ก้มหัวของนางอย่างอายๆและกลับไปที่ห้อง เหลือองค์ชายสองกับองค์ชายสี่ทิ้งไว้อยู่ในห้องนั้น

หลินซีเหยียนก็ได้เตรียมที่จะกลับ อย่างไรเสียนางนั้นก็ไม่ได้สนใจที่จะอยู่ดูสาวงามอยู่แล้ว

“อย่าเพิ่งรีบไปนักสิคุณหนูสอง เจ้าไม่อยากที่จะเห็นเหรอว่าน้องสาวของเจ้านั้นจะสวยแค่ไหนน่ะ?” องค์ชายสี่ก็ได้หยุดหลินซีเหยียนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยันบนใบหน้า ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกอยากที่จะตบหน้าเขา

“ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าท่านเคยสอนเทียนเอ๋อว่าสุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทางไม่ใช่เหรอขอรับ?” เทียนเอ๋อมองไปที่องค์ชายสี่แล้วถาม

สีหน้าขององค์ชายสี่ก็ได้มีสีหน้ามืดดำไม่แพ้ก้นหม้อขึ้นมาทันที เขากัดแน่นและฝืนยิ้มออกมาและเตือนตัวเองไม่ให้โกรธและลืมตัวตนของเขา

หลินซีเหยียนก็ได้แอบยิ้มและจูงมือพาเทียนเอ๋อเดินไปอีกทาง แต่นางก็ถูกหยุดหลังจากที่เดินไปก้าวหนึ่งเพราะสวี่เฉินจู๋มาหานางเสียก่อน

“เถ้าแก่ขอรับ”

สวี่เฉินจู๋ยืนอยู่ด้านหลังของเด็กรับใช้ ให้บรรยากาศเหมือนสายลมพันปีที่อบอุ่นและอ่อนโยน เขาสวมชุดเขียวเหมือนกับองค์ชายสี่แต่กลับให้บรรยากาศที่สง่างามกว่า

อย่างที่คิดเขานั้นดูดีมากจริงๆ หลินซีเหยียนจึงผงกหัวอย่างพึงพอใจแล้วถามอย่างภูมิใจ “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“คุณชายที่ท่านฝากให้ดูแลเมื่อวันก่อนนั้นมาที่นี่ในวันนี้ขอรับ และอาการของเขาก็แปลกมากเลยขอรับ ทั้งข้าและท่านหมอจงต่างก็พยายามรักษาอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล”

หากว่าสัญญาสิ่งใดกับใครเอาไว้แล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด คุณชายท่านนั้นหลินซีเหยียนจะต้องช่วยเขาไว้ให้ได้

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปเอาของแล้วตามไปทีหลัง” หลังจากที่กล่าวจบหลินซีเหยียนก็ได้เดินแยกไป

“ผู้หญิงคนนั้นรู้วิชาแพทย์ด้วยงั้นเหรอ?” องค์ชายสองก็มองดูอย่างสงสัยแล้วหันไปมององค์ชายสี่แล้วถาม

ดวงตาขององค์ชายสี่ก็ได้มืดดำขึ้นมาแล้วส่ายหัว เขานั้นก็รู้สึกสับสนขึ้นมาและกำลังครุ่นคิดบางอย่างในหัวอยู่ ผู้หญิงคนนี้ไปประสบกับอะไรมาใน 5 ปีที่ผ่านมากันแน่ ทำไมนางถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้?

คำถามนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครตอบได้ ถ้าอยากที่จะรู้คำตอบก็คงมีแต่ต้องออกมาสืบด้วยตัวเองเท่านั้น

ในขณะที่ทั้งสองคนนั้นกำลังใช้ความคิดกันอยู่นั้น หลินรั่วจิ่งที่สวมปิ่นปักผมดอกบัวไว้บนหัวและสวมชุดหลิวเซียนสีขาวฟ้าป่าหิมะออกมา

หลินรั่วจิ่งมองไปที่ดวงตาที่ตกตะลึงขององค์ชายทั้งสอง แล้วที่มุมปากของนางก็ได้โค้งมากขึ้นเรื่อยๆอย่างชัดเจน “ปิ่นปักผมชิ้นนี้สวยมากจริงๆ ข้าเกรงว่าหากมันอยู่กับข้าแล้ว อาจจะทำให้ค่าของมันหม่นหมองได้”

“ไม่หรอก เจ้าสิ่งนี้มันเกิดมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ” องค์ชายสี่ก็ได้จ้องไปที่หลินรั่วจิ่งอย่างหลงใหล และดวงตาของเขาก็ได้เร่าร้อนขึ้นมาจนทำให้คนอื่นรู้สึกกลัว

“แล้วพี่รองไปไหนแล้วเจ้าคะ?”

แววตาที่มืดดำก็ได้ปรากฏในดวงตาของหลินรั่วจิ่ง แล้วจากนั้นนางก็ได้กล่าวเปิดประเด็นขึ้นมา

“ผู้หญิงคนนั้นคงจะอิจฉาในความงามของรั่วจิ่งและหนีไปเพราะอับอายแล้ว”

ในตอนแรกองค์ชายสี่กับหลินรั่วจิ่งนั้นต่างก็พูดคุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น แต่ในเวลานี้เมื่อมีโอกาสพูดเอาใจกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว องค์ชายสองจึงได้รีบเข้าไปมีส่วนร่วมทันที

ใครก็ตามที่ได้ยินเช่นนี้แล้วย่อมมีความสุขมาก หลินรั่วจิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่เพื่อที่จะสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง นางจึงต้องฝืนทำหน้านิ่งไว้และกล่าว “ท่านพี่รองนั้นสวยงามมาก อย่างข้าน่ะเทียบไม่ได้หรอก”

“รั่วจิ่งไม่ต้องถ่อมตัวมากขนาดนั้นก็ได้”

องค์ชายทั้งสองนั้นเหมือนกับกำลังแบกคนขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยคำพูดของพวกเขา และเตะเขี่ยหลินซีเหยียนลงไปที่โคลนตม

หลินซีเหยียนที่กลับมาจากไปเอาของมาเรียบร้อยแล้วนั้น เมื่อได้ยินเข้าก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจออกมา ปัญญานั้นเป็นของดีแต่ใช่ว่าทุกคนจะมีมันได้จริงๆ

เมื่อคิดว่ายังมีคนที่ยังคงอยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้เดินหลบออกไปโดยไม่เข้าไปยุ่งด้วย แต่ก็ถูกหยุดโดยหลินรั่วจิ่งเข้าเสียก่อน

หลินรั่วจิ่งก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่เหนียมอาย “พี่รอง ปิ่นปักผมอันนี้มันสวยมาก แต่น้องคิดว่ามันเหมาะสมกับท่านพี่มากกว่า ข้าจึงขอคืนให้ท่านพี่เจ้าค่ะ!”

หลังจากที่นางกล่าวจบ นางก็ได้ยื่นปิ่นปักผมนั้นให้กับหลินซีเหยียน แต่ก็ถูกหยุดเสียก่อนโดยหลินซีเหยียนเอง และที่มุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมาหน่อยและมองด้วยใบหน้าที่ภูมิใจ “หลังจากที่จ่ายไปแล้ว ปิ่นปักผมอันนี้ก็เป็นของเจ้าแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันเหมาะสมกับเจ้าด้วยแล้ว ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปทำ ข้าต้องขอตัวก่อน”

หลินซีเหยียนก็ได้รีบจากไปโดยไม่รีรอ

ณ โรงหมอหุยชุน นอกจากตัวประกันรัฐจง จงซู่เฟิง, สาวใช้ช่างช่านกับผู้ติดตามเหลยถิงแล้ว ยังตามมาด้วยเหล่าขุนนางและเหล่าทหาร ซึ่งนำมาโดยองค์ชายสิบสี่เจียงซิงชู

มองไปไกลๆเจียงซิงชูก็พบหลินซีเหยียนและรีบออกมาต้อนรับนาง “พี่สะใภ้สี่ จะปล่อยให้ตัวประกันรัฐจงตายไม่ได้นะขอรับ”

“ใครคือตัวประกันรัฐจง?” หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดและถามอย่างสงสัย

เจียงซิงชูก็ได้เข้ามาข้างในโรงหมอพร้อมกับนาง แล้วจากนั้นก็ได้ชี้ไปที่คุณชายที่เคยพบกับหลินซีเหยียนเมื่อวันนั้นแล้วกล่าว “นั่นน่ะเขาล่ะ ตัวประกันรัฐจง จงซู่เฟิง”

ตัวประกันหมายความเช่นไรนั้นหลินซีเหยียนทราบดี และรู้ถึงความสำคัญในเรื่องนี้ดี นางจึงได้ทำการจับชีพจรโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก

เมื่อนิ้วที่ขาวและเรียวบางแตะลงที่ข้อมือของจงซู่เฟิงแล้ว บรรยากาศในห้องนั้นก็ได้เงียบกริบขึ้นมา ทุกคนต่างก็ระมัดระวังแม้แต่เสียงลมหายใจ ด้วยความกลัวว่าจะไปรบกวนหลินซีเหยียนเข้า

หลังจากที่ผ่านไปสักพักใหญ่หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกล่าว “จะมาได้ทันเวลาพอดี ยังพอที่จะรักษาได้”

หลังจากที่เจียงซิงชูได้ยินเช่นนี้เขาก็ได้โล่งอกออกมา ในเวลานี้เขารู้สึกนับถือพี่สะใภ้สี่ของเขาอย่างมาก

“ข้าจะทำการฝังเข็มให้เขานะ” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างจริงจัง “เส้นลมปราณของเขานั้นติดขัดไปหมดและจำเป็นที่จะต้องคลายออก และเขายังมีอาการเรื้อรังในร่างกายของเขาอีก จึงจำเป็นที่จะต้องรักษาอย่างช้าๆ”

สิ่งที่พี่สะใภ้สี่ของเขากล่าวมานั้นเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เจียงซิงชูรู้ดีถึงความสามารถของนางดี และได้แสดงสีหน้าที่จะสนับสนุนและเชื่อในสิ่งที่หลินซีเหยียนกล่าว

ด้วยเหตุนี้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกยินดีมาก เพราะตั้งแต่ที่เป็นหมอมา น้อยนักที่จะพบกับผู้ที่ร่วมมือในการรักษาอย่างดีเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อของเจียงซิงชูที่มีต่อนางนั้นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเชื่อนางด้วย เหล่าขุนนางที่มาพร้อมกับเจียงซิงชูนั้นกลับมีความคิดเห็นต่างออกไป