บทที่ 132
เหล่าขุนนางที่ไร้ความสามารถ
“หม่อมฉันคิดว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในมือของเด็กสาวที่ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมได้ ควรจะนำองค์ชายจงกลับไปยังพระราชวังเพื่อทำการรักษาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ขุนนางผู้นี้คนเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งมาโดยฮ่องเต้เพื่อคอยดูแลเรื่องนี้ เขานั้นมีอำนาจที่จะทำการตัดสินใจในระดับหนึ่งว่าตัวประกันรัฐจงนั้นจะไปหรือไม่ไปที่ไหนได้
หลินซีเหยียนจึงได้หรี่สายตาลงแล้วจ้องไปที่ตัวแทนพระองค์คนนั้น “ยาที่จ่ายให้กับองค์ชายรัฐจงจนถึงทุกวันนี้จ่ายให้มาโดยหมอหลวงในพระราชวังใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว เพราะร่างกายขององค์ชายรัฐจงนั้นอ่อนแอมาก อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงสงสารที่เขาต้องโดดเดี่ยวจากแดนไกล จึงได้มีรับสั่งให้ดูแลเขาเป็นพิเศษ ซึ่งทางหมอหลวงได้ทำการตรวจอาการและรักษาให้กับองค์ชายรัฐจงทุกครั้ง”
ตัวแทนพระองค์คนนี้ช่างสมกับที่เป็นลิ่วล้อของฮ่องเต้จริงๆ มีความสามารถในการพูดคำสรรเสริญเยินยอฮ่องเต้ได้ยืดยาวมากจนเกินทนไหวจริงๆ
แต่ทว่า ผ่านไปเนิ่นนานอาการป่วยขององค์ชายรัฐจงนั้นก็ยังรักษาไม่ได้ ซึ่งขัดกับความเมตตาของฮ่องเต้นัก
“ท่านตัวแทนพระองค์คงไม่ทราบ ยาที่จ่ายให้โดยหมอหลวงนั้นมีตัวยาที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายบางชนิด ซึ่งไม่ดีต่อโรคขององค์ชายรัฐจงอยู่ด้วย” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา และนึกถึงตอนที่นางรักษาองค์รัชทายาทต้าเยี่ยนก่อนหน้านี้ และพบว่าหมอหลวงนั้นช่างไร้ความสามารถเสียจริงๆ
แต่ตัวแทนพระองค์นั้นกลับไม่เข้าใจที่หลินซีเหยียนพูดและไม่รู้ถึงความสามารถของหลินซีเหยียนด้วย ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าหลินซีเหยียนนั้นพูดจาไร้สาระ
“เจ้าพูดจาเหลวไหล หมอหลวงในพระราชวังหลวงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในประเทศอยู่แล้ว แต่เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงกลับกล้าพูดคำหมิ่นประมาทเช่นนี้ถือเป็นความผิดนะรู้ไหม?” หนวดที่นิ่งของผู้แทนพระองค์ก็ได้กระตุกขึ้นมา แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่ หลินซีเหยียนอย่างสั่นๆ
“ข้ากล้าพูดเลยว่าไม่มีใครที่สามารถรักษาองค์ชายรัฐจงได้นอกจากข้าอีกแล้ว” อาการของผู้ป่วยนั้นรอช้าไม่ได้ หลินซีเหยียนจึงได้ทำการเตรียมฝังเข็มโดยไม่ลังเลอีก
แต่ผู้แทนพระองค์นั้นกลับไม่รู้จักการผ่อนปรนหรือปรับเปลี่ยน เขาที่ตั้งสติได้ก็ได้คิดที่จะเข้าไปหยุดหลินซีเหยียน
สุดท้ายหลินซีเหยียนก็ได้หงุดหงิดจริงๆขึ้นมา จึงจ้องมองไปที่เขาแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าท่านพาเขากลับไปตอนนี้ ต่อให้เป็นเซียนชั้นต้าหลัวก็ยังยากที่จะรักษาเขาได้ ท่านคิดว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ไหวหรือไม่?”
มีใครบ้างที่อยากจะรับผิดชอบ? ผู้แทนพระองค์จึงได้ไม่ขวางนางอีก แต่เผื่อเอาไว้ก่อนเขาจึงได้สั่งให้คนกลับไปที่พระราชวังหลวงแล้วแจ้งเรื่องนี้ให้กับฮ่องเต้เจียง
หลินซีเหยียนจึงได้ก้มหัวลงแล้วตั้งใจกับการฝังเข็ม แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นก็ได้ต้องเข้ากับขนตาที่ยาวของนางเหลือเอาไว้แต่เพียงเงาเล็กน้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ
ถึงแม้ช่างช่านและเหลยถิงนั้นจะยืนอยู่เงียบๆ แต่พวกเขาก็ไม่อาจเก็บซ่อนความกังวลในดวงตาของพวกเขาได้ ร่างกายของเจ้านายของพวกเขาเป็นเช่นไรนั้น พวกเขาต่างก็รู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความหวังว่าแม่นางหลินจะสามารถช่วยเจ้านายของพวกเขาได้
“นี่คือสูตรยา ในเวลานี้เจ้าไปต้มยาตามนี้แล้วนำกลับมาให้ข้าที” หลินซีเหยียนดึงเอาเข็มเงินออก และเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของนางแล้วเดินไปที่โต๊ะและเขียนสูตรยาให้
ช่างช่านจึงได้รีบรับมา
“แม่นาง อาการนายท่านของข้าล่ะ?” เหลยถิงมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างเป็นกังวล และคาดหวังข่าวดีจากนาง
หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างภูมิใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ามีข้าอยู่ด้วยนายท่านของพวกเจ้าจะต้องหายดีแน่นอน”
“ขอบคุณแม่นางหลินมาก” เหลยถิงก็ได้ก้มตัวลงไปอย่างตื่นเต้นและทำท่าคำนับให้หลินซีเหยียน
การคำนับนี้มันมากเกินไปสำหรับหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนจึงได้รีบยื่นมือไปประคองตัวเขาขึ้นมา แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของนาง
“พอได้แล้วแม่นางหลิน ข้าได้รับราชโองการมาจากฮ่องเต้ให้พาเจ้าไปที่พระราชวังหลวงเพื่อไปสอบสวน และยังมีรับสั่งให้พาตัวองค์ชายรัฐจงซู่เฟิงกลับไปพระราชวังหลวงด้วยกัน เพื่อทำการตรวจอาการและรักษาโดยหมอหลวง”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของหลินซีเหยียนมืดดำขึ้นมาทันที แม้แต่เจียงซิงชูก็ได้คิ้วขมวดอย่างไม่พอใจ
“องค์ชายรัฐจงซู่เฟิงนั้นจะไปจากที่นี่ไม่ได้เป็นการชั่วคราว เข็มเงินได้ทำการระงับอาการเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นองค์ชายรัฐจงจำต้องได้รับการรักษาด้วยยาทันที
เดิมทีหลินซีเหยียนเองก็อยากที่จะปรึกษาเรื่องนี้เช่นกัน แต่ดูแล้วเขานั้นไม่คิดจะไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าจะต้องไปพบกับฮ่องเต้เพื่อคุยเรื่องนี้จะเป็นการดีกว่า! และได้ให้ข้าเป็นผู้พาตัวเจ้ากลับไปที่พระราชวังด้วย” กล่าวออกมาอย่างไม่พอใจและน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรังเกียจ
หลินซีเหยียนก็ได้ลูบไปที่หูที่ปวดของนางและจ้องไปที่เจียงซิงชู
เจียงซิงชูก็เข้าใจได้ทันทีว่าหลินซีเหยียนหมายความว่าอย่างไร แล้วเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่ดำมืด แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตวาด “ไม่ว่าเจ้าจะรีบร้อนขนาดไหน เจ้าก็ต้องรอจนกว่าองค์ชายซู่เฟิงจะได้ทานยาจนหมดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นหากว่าองค์ชายซู่เฟิงเป็นอะไรไป เปิ่นหวางนี่แหละจะฆ่าเจ้าก่อน”
“เรียนองค์ชาย แต่ถ้านางไม่เก่งเรื่องการแพทย์จริงแล้วทำให้องค์ชายรัฐจงซู่เฟิงกลับไปล่าช้า ฮ่องเต้จะไม่เพียงแต่ลงโทษนางแต่ยังลงโทษหม่อมฉันด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” ท่านกงกงนอกจากจะไม่กลัว แต่ยังอาศัยบารมีของฮ่องเต้รุกคืบขึ้นมา
ใช่ว่าเจียงซิงชูนั้นจะไม่เข้าใจเขา แต่เขาก็ได้ยิ้มด้วยริมฝีปากบางๆของเขา แล้วจ้องไปที่เขาด้วยสายตาที่เหน็บหนาวแล้วกล่าวอย่างประชดประชัน “ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าหากว่ามีอะไรผิดพลาดไป เปิ่นหวางนี่แหละจะรับผิดชอบเอง”
องค์ชายกล่าวด้วยคำพูดที่น่าทึ่ง ทำให้ท่านกงกงถึงกับพูดอะไรไม่ออกหลังจากที่ได้ยิน แล้วจากนั้นก็ได้หายออกไปด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่ง
ไม่นานนักช่างช่านก็ได้ถือถ้วยออกมา และยาต้มที่รู้สึกได้ถึงความขมทันทีที่กลิ่นโชยออกมา แล้วจากนั้นก็ได้ส่งให้เจ้านายของนางอย่างช้าๆ
แก้มของจงซู่เฟิงที่ซีดและไร้เลือดนั้น หลังจากที่ได้ดื่มยาเข้าไปก็ได้ค่อยๆมีสีแดงขึ้นมา
“ได้โปรดตามหม่อมฉันมาที่พระราชวังหลวงด้วย!” แล้วท่านกงกงก็ได้เดินนำหน้าและนำทางไป แล้วกลุ่มคนก็ได้พากันไปที่พระราชวังโดยมีเจียงซิงชูตามไปด้วย
ณ พระราชวังหลวง ฮ่องเต้เจียงก็ได้จ้องไปที่ประตูท้องพระโรงด้วยสายตาที่มืดหม่น ราวกับว่ากำลังพยายามระงับความโกรธที่บ้าคลั่งเอาไว้อยู่ ในเวลานี้ทั้งตัวของเขากำลังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แล้วสาวใช้ที่ยังอ่อนเยาว์ก็ได้ถือถาดน้ำชาในมือของนางเดินเข้ามา แล้วทำการเตรียมยกชาให้กับฮ่องเต้ด้วยอาการสั่นๆ แต่แล้วก็สะดุดเท้าของตัวเองแล้วทำชาร้อนๆหกใส่ฮ่องเต้เจียงโดยไม่ตั้งใจ
โชคยังดีที่ชานั้นไม่ร้อนมากนั้น แต่ก็ยังเผาไหม้ผิวที่สวยงามจนกลายเป็นรอยแดง
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเพคะ” แล้วสาวใช้ในพระราชวังก็ได้รีบก้มลงคุกเข่าและโขกศีรษะรัวๆ
ฮ่องเต้เจียงก็ได้มีสีหน้าที่มืดหม่นและน่ากลัว และความโกรธของเขาก็ดั่งภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ และไม่สามารถที่จะระงับได้ไหวและปะทุออกมา เขาใช้ขาของเขาเตะเข้าไปที่สาวใช้คนนั้นโดยไม่ปรานี
สาวใช้เองก็ไม่กล้าที่จะหนีหรือหลบไปไหน นางทำได้แค่ก้มหัวอยู่กับที่และกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด
ฮ่องเต้เจียงก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร ในเวลานี้เขาต้องการกระสอบทรายใช้ระบายอารมณ์ออกมา “ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ของประเทศนี้ และมีคนเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่กล้าทำให้ข้ารอได้”
“ขอฝ่าบาทได้โปรดระงับความโกรธด้วยเพคะ” สาวใช้ก็ได้กล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก แต่นางก็พยายามพูดอย่างเต็มที่ “ข้าน้อยทำผิดไปแล้วขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเพคะ”
“อภัยให้เจ้า? เจ้าคิดว่าเป็นใครกันถึงได้กล้ามาขอให้ข้ายกโทษให้เจ้า” ฮ่องเต้เจียงเหมือนได้ยินอะไรที่น่าตลกแล้วกล่าวออกมาอย่างโหดร้ายและกระหายเลือด “พวกเจ้ามาลากนางออกไปแล้วจัดการฆ่ามันด้วยการโบย”
“ฮ่องเต้ได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเจ้าค่ะ!” สาวใช้ก็ได้หน้าซีดและได้ทำได้แค่ร้องขอความเมตตา
แต่นางก็คิดผิด ผู้ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์นั้นย่อมใจแข็งอยู่แล้ว จะไปมีความรู้สึกสงสารกับคนที่ไม่รู้จักเลยได้อย่างไร
แล้วสาวใช้คนนั้นก็ได้ถูกลากออกไปโดยทหารประจำพระราชวังถูกนำไปฆ่าที่ด้านนอกท้องพระโรง แล้วขันทีที่เดินผ่านมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้านิ่งๆโดยไร้ซึ่งความรู้สึกสงสารหรือปวดใจ
ที่พระราชวังหลวงนั้นเป็นสถานที่ที่กินผู้คนอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็นเพียงชนชั้นต่ำไม่ต่างอะไรกับรากหญ้า
หลินซีเหยียนกับคนอื่นๆที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์นองเลือดนี้ทันทีที่เข้ามาในพระราชวัง หญิงสาวที่อายุได้เพียงแค่ 14 กลับถูกโบยจนตายและโชกไปด้วยเลือดที่หน้าท้องพระโรง