บทที่ 133 เข้ามาแทน

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 133

เข้ามาแทน

ภาพเหตุการณ์นองเลือดนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้นั้นกำลังกริ้วและแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความกระหายเลือดของฮ่องเต้ด้วย

“พี่สะใภ้สี่” เมื่อเจียงซิงชูมองไปที่หลินซีเหยียนที่กำลังตกใจ เขาคิดว่านางคงจะกลัว จึงเรียกนางเบาๆ

หลินซีเหยียนจึงได้มองผ่านไปและบิดริมฝีปากของนางและไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับแผ่บรรยากาศที่หนาวเหน็บออกมา ในฐานะที่นางเป็นหมอคนหนึ่งนางย่อมจึงมีหน้าที่รักษาผู้ป่วยและช่วยเหลือผู้คน แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนองเลือดเช่นนี้

โชคร้ายที่นางนั้นอาศัยอยู่ในยุคที่ปกครองเบ็ดเสร็จโดยฮ่องเต้ และฮ่องเต้เปรียบดั่งสวรรค์ ถ้าสวรรค์ต้องการให้ใครตายแล้วก็ต้องตาย ในขณะที่นางนั้นสามารถช่วยเหลือได้แค่คนสองคนเท่านั้น ไม่อาจช่วยเหลือทั้งหมดได้

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้แล้วทำให้ในใจของนางนั้นโกรธจัด

แล้วนางก็ได้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆแล้วเข้าไปในท้องพระโรง ฮ่องเต้นั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าแล้วก้มลงมามอง จากนั้นก็ได้โบกมือแล้วขันทีคนหนึ่งก็ได้ตะโกนขึ้นมาทันที “ทุกคน จับกุมหลินซีเหยียน”

“ช้าก่อน” เจียงซิงชูยืนขวางหลินซีเหยียนเอาไว้แล้วจ้องไปที่เหล่าทหารองครักษ์ “ฮ่องเต้แม่นางหลินทำหน้าที่เป็นอย่างดีในการรักษาองค์ชายซู่เฟิง ไม่เพียงแต่ท่านจะไม่ตกรางวัลนางแล้วแต่ยังจับกุมนางอีก มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยเหรอพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮ่องเต้คิ้วขมวด ใบหน้าของเขามีความน่าเกรงขามปรากฏออกมารางๆอยู่ข้างใต้มงกุฎของเขา แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำแต่กังวานไปทั่วทั้งท้องพระโรง “องค์ชายซู่เฟิงนั้นเดิมทีมีหมอหลวงของรัฐเจียงคอยดูแลรักษาอยู่แล้ว นางต่างหากที่ดันแส่เข้ามายุ่งเรื่องของฮ่องเต้และกักขังองค์ชายซู่เฟิงเอาไว้”

“กราบเรียนฮ่องเต้ การที่ท่านใช้คำว่ากักขังเนี่ยมันออกจะเกินจริงไปหน่อยนะเพคะ เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านองค์ชายซู่เฟิงได้ตกลงกับข้าเอาไว้แล้วว่าจะมาให้ข้ารักษาให้ ในเมื่อเป็นการตกลงกันเรียบร้อยๆแล้วจะเรียกว่ากักขังได้อย่างไรเพคะ?”

หลินซีเหยียนกล่าวด้วยเสียงที่ใส และจ้องไปที่ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงกว่าอย่างตาไม่กะพริบ “ยิ่งไปกว่านั้น อาการขององค์ชายซู่ฟิงนั้นก็แปลกมาก ต่อให้พาตัวเขากลับมาที่พระราชวังก็ไม่มีใครสามารถรักษาเขาได้หรอกเพคะ”

“สามหาว เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นทั้งๆที่ยังมีอายุน้อยแค่นี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ” เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนนั้นคิดที่จะเผชิญหน้ากับเขา ฮ่องเต้เจียงก็ได้ตบไปที่บัลลังก์มังกรด้วยความโกรธ “พวกเจ้ามาลากตัวนางออกไปแล้วทำการโบยนาง 40 ที”

“หม่อมฉันจะไม่ยอมรับคำตัดสินนี้”

“ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ?”

“หากท่านว่าหม่อมฉันไม่ได้พูดความจริง ฮ่องเต้ก็จะต้องพิสูจน์ให้ข้าเห็น แล้วจากนั้นท่านค่อยมาตัดสินโทษข้าอีกที” หลินซีเหยียนยืนหยัดแน่นอยู่ในท้องพระโรงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง

“ถ้าทำเช่นนั้นแล้วเจ้าจะยอมรับได้ ใครก็ได้ไปเรียกตัวหมอหลวงทั้งหมดจากสถาบันแพทย์หลวงมาให้ข้าที” ในใจของฮ่องเต้เจียงนั้นคิดว่าหมอหลวงจากสถาบันแพทย์หลวงนั้นย่อมจะต้องเก่งกว่าหลินซีเหยียน ดังนั้นแล้วเขาก็แค่จำต้องรอผลออกมาเท่านั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

เหล่าหมอหลวงจากสมาคมแพทย์หลวงนั้น ทันทีที่พวกเขาได้ว่าพวกเขาจะต้องไปรักษาท่านองค์ชายซู่เฟิงแล้ว คนจำนวนมากต่างก็พากันถอยในเวลาอันสั้น และเหลือหมอหลวงอยู่เพียงสามคนเท่านั้นที่อาสาที่จะไป

ทั้งสามคนนี้ประกอบด้วย เจ้าสมาคม, รองเจ้าสมาคม และหมอหลวงฉิน

หลังจากที่ทั้งสามคนเข้าพบฮ่องเต้ พวกเขาก็ได้ถูกพามายังห้องข้างๆท้องพระโรง ซึ่งเป็นที่ที่องค์ชายจงซู่เฟิงได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว

“ฮ่องเต้รับสั่งว่าถ้าพวกท่านทั้งสามคนสามารถรักษาโรคเรื้อรังขององค์ชายซู่เฟิงได้ จะตกรางวัลให้พวกท่านอย่างงาม” ขันทีก็ได้แจ้งความประสงค์ของฮ่องเต้ให้พวกเขาฟัง

เจ้าสมาคมแพทย์หลวงนั้นเป็นคนที่ซื่อตรงจึงได้กล่าวความจริงออกไปทันที “ท่านกงกง ข้านั้นทราบถึงอาการของ องค์ชายรัฐจงดี องค์ชายรัฐจงนั้นไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่อ่อนแอ แต่ยังมีอาการป่วยเรื้อรังอีก การที่มีชีวิตรอดอยู่ได้นั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว แล้วจะให้พวกเรารักษาให้ท่านหายได้อย่างไร?”

“ท่านเจ้าสมาคม ท่านคือผู้ที่เก่งกาจมากที่สุดเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวงนี้ แต่ท่านกลับสู้บุตรีของท่านมหาเสนาบดี หลินไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?” ท่านกงกงก็ได้ดึงชุดสีม่วงจนตึงด้วยมือของเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดีอย่างสุดๆ

เจ้าสมาคมของสถาบันแพทย์หลวงก็ได้ถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปมองเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่เหลือ “แล้วพวกเจ้ามีหนทางอะไรดีๆบ้างไหม?”

หมอหลวงฉินก็ได้ส่ายหัว “ความเห็นของข้าก็เหมือนกับของท่านเจ้าสมาคมนั่นแหละ ร่างกายขององค์ชายรัฐจงนั้นถูกเหนี่ยวรั้งด้วยโรคเรื้อรัง ที่ยังมีชีวิตรอดได้นี่ก็ถือว่าบุญโขแล้ว”

จากนั้นรองเจ้าสมาคมจึงได้กล่าวแย้งพวกเขา “ทั้งสองท่าน ฮ่องเต้ก็ได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้ว ว่าพวกเราจะต้องรักษาองค์ชายรัฐจงให้ได้ ถ้าพวกเราทำไม่ได้ข้าไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลย!”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ทำได้แค่โทษตัวเองที่ด้อยความสามารถเท่านั้น” เจ้าสมาคมถอนหายใจ แล้วเขาก็ได้หยิบเอาหมวกประจำตำแหน่งออกจากหัวของเขาอย่างไร้ซึ่งกำลังใจ

ถ้าหากอยากที่จะสวมมงกุฎก็ย่อมที่จะต้องแบกรับน้ำหนักของมันให้ได้ จริงๆแล้วเขานั้นอยากที่จะเลิกรับใช้พระราชวังอยู่นานแล้ว อย่างไรเสียเรื่องในพระราชวังนั้นมันวุ่นวายมากเกิน จนยากที่จะรักษาชีวิตของเขาไว้ได้

“ข้ามีหนทางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านจะเอาด้วยไหม?” แล้วรองเจ้าสมาคมก็ได้บอกทั้งสองคนถึงแผนการที่ได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

แต่หลังจากที่ได้ฟังก็มีเพียงเจ้าสมาคมที่ค้านเสียงแข็ง “นี่มันผักชีโรยหน้าชัดๆ ข้าไม่เห็นด้วย”

ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังระดมความคิดกันอยู่นั้น เจียงหวายเย่ก็ได้เข้ามาในพระราชวังหลวง

“องค์ชายรัตติกาลทั้งๆที่ร่างกายของท่านอ่อนแอ แต่ทำไมวันนี้ท่านถึงได้นึกเข้ามาในพระราชวังเพื่อพบกับข้าได้” ฮ่องเต้เจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ราวกับว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจียงหวายเย่นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะนั่งอยู่ในตำแหน่งของฮ่องเต้ แต่ทุกคนกลับรู้สึกได้ว่าตัวตนของเขานั้นกลับต้อยต่ำกว่าองค์ชายรัตติกาล เหล่าขุนนางและผู้คนต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่า เขาจึงอยากที่จะกำจัดองค์ชายรัตติกาลมากแต่เขาก็ทำไม่ได้

ในเวลานี้ทั้งสามรัฐต่างก็มีอำนาจเทียบเคียงกัน และเจียงหวายเย่ก็เป็นเหมือนผู้คุ้มครองของรัฐเจียง ถึงฮ่องเต้อยากที่จะกำจัดเขามากเพียงใด แต่ก็ยังไม่ใช่ในเวลานี้

เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ที่รถเข็นพร้อมด้วยผ้าคลุมบางๆบนขาของเขา และการแต่งตัวที่ดูหนาเตอะกว่าคนทั่วๆไปแล้ว ทำให้ผู้คนเข้าใจได้ว่าเขานั้นอ่อนแอแค่ไหน

“ฝ่าบาท ที่เปิ่นหวางเข้ามาในพระราชวังวันนี้ก็เพื่อมาทวงหนี้” ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขี้เกียจแต่น่าดึงดูดนี้ทำให้เหล่าสาวใช้ในพระราชวังเกิดหน้าแดงขึ้นมา แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่ฮ่องเต้ด้วยดวงตาที่มืดดำ

“ข้าไปเป็นหนี้องค์ชายรัตติกาลตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ฮ่องเต้เจียงก็ได้หรี่สายตาลงแล้วจ้องไปที่เจียงหวายเย่กลับ เขานั้นไม่สามารถที่จะอ่านองค์ชายผู้นี้ออกได้เลย ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือจนถึงเดี๋ยวนี้

ที่มุมปากของเจียงหวายเย่นั้นก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยหน้ากากหยกขาวบนใบหน้าของเขาและชุดสีดวงจันทร์ที่ตัวของเขา ได้แผ่บรรยากาศที่น่าทึ่งออกมา

“องค์ชายสี่ได้เขียนหนังสือสัญญาเอาไว้ เขียนไว้ว่าเขาเป็นหนี้แม่นางหลิน 800 ตำลึงทอง และองค์ชายสี่ได้กล่าวไว้ว่าจะส่งคนไปมอบให้ภายหลัง แต่แม่นางหลินก็ยังไม่ได้รับจนกระทั่งถึงวันนี้”

เมื่อฮ่องเต้เจียงได้ยินว่า 800 ตำลึงทอง ฮ่องเต้เจียงก็ได้ตะโกนในใจคิดว่าองค์ชายสี่นั้นเป็นตัวด่างพร้อยของตระกูลจริงๆ แต่เขาก็ยังคงรักษามาดของเขาเอาไว้แล้วกล่าว “เมื่อใดกันที่ องค์ชายรัตติกาลนั้นเป็นห่วงเป็นใยแม่นางหลินขนาดนั้น? จนแม้แต่มาทวงหนี้ให้นางด้วยตัวเองเช่นนี้”

“ที่องค์ชายมานั้นหาเพื่อแม่นางหลินอย่างเดียว แต่เพื่อผู้คนจรจัดในเมืองหลวงและไม่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้” เจียงหวายเย่กล่าวเช่นนี้ด้วยสีหน้าที่จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ “คุณหนูรองนั้นคิดที่จะใช้เงิน 800 ตำลึงทองนี้บริจาคให้แก่คนยากคนจน องค์ชายจึงได้ทำเพื่อช่วยเหลือผู้คนตกยากเหล่านั้น”

ในขณะที่ฮ่องเต้เจียงกำลังที่จะพยายามพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้นเอง หมอหลวงทั้งสามก็ได้เดินเข้ามา พร้อมด้วยจงซู่เฟิงที่สีหน้ามีเลือดอย่างเห็นได้ชัดตามพวกเขามาด้วย

“กราบเรียนฮ่องเต้ พวกข้าได้รักษาองค์ชายรัฐจงแล้ว” คณบดีสถาบันแพทย์หลวงได้ก้มหัวให้แล้วกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน

แววตาของฮ่องเต้ก็ได้สว่างขึ้นมา

ลูกตาของหลินซีเหยียนก็ได้หดเล็กลง และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาโรคเรื้อรังนั้นด้วยเวลาสั้นๆเช่นนี้ คนพวกนั้นทำอะไรลงไปกันแน่? หลินซีเหยียนก็ได้รีบเดินไปหาจงซู่เฟิง “ท่านรู้สึกอะไรแปลกๆกับร่างกายของท่านหรือไม่?”