ตอนที่ 118 แขกไม่ได้รับเชิญ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

บนภูเขาเมฆาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตหมื่นป่า

ที่เรียกมันว่าภูเขาเมฆา เป็นเพราะยอดเขามีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี ไม่เคยเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของมัน

รอบๆ ภูเขาเมฆาเป็นเทือกเขาที่ราบสูง ที่นี่มีลมพัดกรรโชกตลอดทั้งปี จึงถูกขนานนามว่าที่ราบสูงแห่งวายุ

อิฐสีดำก้อนใหญ่ลอยลงมาจากฟ้า หยุดลงตรงที่ราบสูงแห่งนี้

“นี่หรือที่ราบสูงแห่งวายุ ทิวทัศน์ไม่เลวเลย!”

อันหลินมองทัศนียภาพโล่งกว้าง ก่อนจะเอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้

หญ้าเขียว ลมกระโชกแรง เมฆหมอกโอบล้มภูเขา และอากาศอันสดชื่น เป็นความประทับใจแรกที่มีต่อที่ราบสูงแห่งนี้

“ได้ยินว่าสัตว์ประหลาดที่นี่ดุร้ายมาก ทุกคนอย่าได้ประมาท” เจ้าอัปลักษณ์เตือน

ทุกคนเดินตรงไปข้างหน้า ระหว่างนั้นก็พบเจอสัตว์มากมาย แต่ล้วนเป็นจำพวกแอนทิโลป[1]ที่เชื่องและว่าง่าย รวมถึงพวกจามรี ไม่พบสิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด

อันหลินมองขุนเขาที่สูงตระหง่านตรงหน้าด้วยความตะลึง “พวกเราลองไปดูที่ภูเขาข้างหน้านี้กันเถอะ!”

เจ้าอัปลักษณ์มองภูเขาลูกนั้นแล้วอธิบายว่า “ภูเขาลูกนั้นชื่อ เขาเมฆา เป็นภูเขาสูงเลื่องชื่อของเขตหมื่นป่า ได้ยินว่าสูงทะลุชั้นฟ้า สูงถึงหมื่นจั้ง”

เมื่อได้ยินความสูงของมัน นัยน์ตาของอันหลินก็เปล่งประกาย เพราะเขาสามารถฝึกวรยุทธ์ได้อีกอย่างแล้ว

‘ปราณวายุขั้นหนึ่ง บรรลุเงื่อนไข กระโดดหน้าผาสูงหมื่นจั้งหนึ่งครั้ง’

ตอนนี้เขาอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว ซ้ำยังรู้วิชาขี่กระบี่ สำหรับความท้าทายของภารกิจนี้แล้ว ความมั่นใจของเขาเต็มเปี่ยมขึ้นโดยพลัน

พวกอันหลินตรงดิ่งไปทางภูเขาเมฆา ระหว่างทางเจอแมวโลหิตสองเศียรตัวหนึ่ง ฝีมือฉกาจกว่าสัตว์ประหลาดทั่วไปเยอะเลย ทัดเทียมนักพรตกายแห่งมรรคขั้นสิบ

แต่สุดท้ายมันก็ถูกกระบองเงินของเจ้าอัปลักษณ์ฟาดตาย

เมื่อเดินมาถึงตีนเขา พวกเขาก็เห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มันชื่อว่าทะเลสาบเมฆขาว

ภายใต้ลมพัดกระโชก ผิวน้ำเกิดกระแสน้ำสีขาวเป็นระลอกๆ ตระการตาเป็นอย่างมาก

“พี่อัปลักษณ์ เดินมาไกลขนาดนี้แล้วยังไม่เจอวัวสายรุ้งอีก ข้อมูลของเจ้าเชื่อถือได้จริงไหม” เหมียวเถียนโอดครวญอย่างไม่พอใจ

ราชาวานรเนตรทองเกาหัว ใบหน้าฉายความกระดากอาย “เรื่องนี้ราชาวัวเคยพูดกับข้า มันคงไม่ได้หลอกแม้กระทั่งเรื่องแบบนี้หรอกกระมัง”

“ข้าจะขี่ก้อนอิฐขึ้นยอดเขา จากนั้นกระโดดลงมา มีใครจะมาเล่นกับข้าไหม”

อันหลินชี้ไปที่เขาเมฆาซึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมแล้วโพล่งขึ้นมา

พวกลั่วจื่อผิงได้ยินก็หน้าถอดสี ส่ายหน้าเป็นพัลวันราวกับเป็นกลองป๋องแป๋ง

เจ้าอัปลักษณ์ก็รู้จักการกระทำอันแปลกพิลึกของอันหลินดี มักจะแฝงความหมายลึกซึ้งอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าสมาชิกไม่อยากไป จึงเอ่ยปากขออยู่ปกป้องพวกเขา

เมื่อเห็นดังนั้น อันหลินจึงส่งยันต์ตอบสนองให้เจ้าอัปลักษณ์ “พวกเจ้าไปเที่ยวเล่นละแวกที่ราบสูงแห่งวายุก่อนเถอะ ยันต์นี่ตอบสนองแค่รัศมีสิบลี้เท่านั้น เดี๋ยวข้าจะไปหาพวกเจ้า”

พอทุกคนรับปากแล้ว เขาก็ขี่ก้อนอิฐเหาะไปยังภูเขาเมฆา

หลังเข้าสู่ชั้นเมฆ ก็เหาะขึ้นไปตามความสูงของภูเขา

เขาเมฆาเปี่ยมด้วยพลังปราณ ยิ่งเหาะสูงมากเท่าใด พืชพรรณนานาชนิดก็ยิ่งเจริญงอกงาม มีดอกไม้ประหลาดเบ่งบานตามซอกเขา

ภูตวานรโผล่มาตามต้นไม้อยู่บ่อยๆ และเห็นนกกระเรียนมงกุฏแดงที่โบยบินรอบภูเขาเป็นครั้งคราว

‘คุณพระ เขาเมฆาคงไม่ใช่ฐานที่มั่นของสำนักใหญ่อะไรหรอกนะ’ อันหลินคิดในใจ

เพราะทัศนียภาพแบบนี้หาได้ยากเหลือเกิน คนที่ไม่รู้ ต้องคิดว่าเผลอเข้ามาในดินแดนเซียนสักแห่งเป็นแน่

ภูเขาชะโงกเงื้อม แม้จะมีของวิเศษไม่น้อย แต่โชคดีที่ไม่มีสัตว์ประหลาดที่มีพลังแก่กล้า

สภาพการณ์นี้ทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก หากว่าเจอสัตว์ภูตสักสองสามตัวละก็ เกรงว่าการเหาะเหินครั้งนี้คงไม่สนุกแน่

อันหลินเหาะเหินพลางคำนวณความสูง ขณะที่บินขึ้นมาสูงเก้าพันจั้งแล้ว ก็เห็นยอดเขาอยู่ไกลๆ แล้ว

ยอดเขาสูงเป็นสีชมพู แลดูคล้ายดอกท้อนิดหน่อย

ปึก!

จู่ๆ ก็มีเสียงชนดังสนั่นหวั่นไหว

ราวกับว่าศีรษะของอันหลินชนกับกำแพงไร้รูปร่าง ตาลายขึ้นมาโดยพลัน

ก้อนอิฐสีดำเกือบจะเสียการทรงตัวตกลงจากยอดเขาสูง

“โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย!”

เขาร้องลั่นอย่างหวาดผวา เงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ

แต่ว่า สิ่งที่เห็นกลับเป็นทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขา ไม่พบอะไรระหว่างทาง

อันหลินยื่นมือออกไปลูบอากาศอย่างลังเล ปรากฏว่าสิ่งที่สัมผัสได้คือกำแพงไร้รูปร่าง

“อืม…หรือนี่จะเป็นค่ายกลป้องกัน” เขาพึมพำด้วยความฉงนใจ

หรือจะมีคนอยู่บนยอดเขาจริง จึงวางค่ายกลป้องกันไว้

อันหลินไม่แน่ใจ จึงตะโกนเสียงดังว่า “สวัสดี ไม่ทราบว่ามีใครอยู่ไหม!”

เสียงของเขาก้องกังวาน น่าจะไปถึงยอดเขาได้

ขณะเดียวกัน บนยอดเขาสูง

มีสวนดอกท้อขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง

ดอกท้อสีแดงบานสะพรั่ง ดุจดอกไม้ในเดือนสี่ของแดนมนุษย์

หยิงสาวที่สวมชุดนักพรตสีขาวกำลังถือพู่กันนั่งวาดรูปอยู่ใต้ต้นไม้

สีหน้าของนางผ่อนคลาย พวงแก้มแดงระเรื่อ ดวงตาคู่งามจดจ่ออยู่กับภาพวาดที่ยังวาดไม่เสร็จบนกระดาษสีขาว

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากตีนเขา

เสียงดังกึกก้อง สะเทือนกลีบดอกท้อบนต้นไม้จนร่วงโรยลงมา

หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่สนใจเจ้าคนไร้มารยาท

อย่างไรเสียเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อคนข้างล่างทำอะไรกับค่ายกลไม่ได้ ก็จะจากไปอย่างยอมจำนนเอง

อันหลินตะโกนลั่น พบว่าไม่มีใครตอบกลับ ก็อดผิดหวังไม่ได้

แต่จะทำอย่างไรได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ จะถอดใจได้อย่างไร

น่าจะไม่มีใครอยู่ข้างบน เราขึ้นไปแค่เดี๋ยวเดียว คงจะไม่มีปัญหา…

เขาลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายดวงตาคู่นั้นก็กลายเป็นสีขาว

เปิดใช้งานวิชาญาณทิพย์!

วิเคราะห์ช่องโหว่ของค่ายกล…

ชั่ววินาทีนั้น ทุกอย่างอันตรธานหายไปในสายตาของเขาแล้ว

สิ่งเดียวที่คงอยู่ มีเพียงลวดลายค่ายกลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

เส้นทางการทำงานของพลังปราณ ศูนย์กลางค่ายกล จุดเชื่อมต่อทั้งหลาย และช่องโหว่…

ทุกสิ่งเหล่านี้ กลับกลายเป็นโดดเด่นในสายตาเขา

อันหลินยื่นนิ้วออกไป เล็งตำแหน่งหนึ่งแล้วปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกไปเป็นสาย

“ทลาย!”

แกรก…

ค่ายกลถูกทะลวงเป็นรูเล็ก

เขาไม่ได้ชั่วช้าถึงขั้นจะทำลายค่ายกลที่คนเขาวางไว้อย่างสิ้นเชิง

เขาเพียงแค่ค้นหาช่องโหว่ของค่ายกล ทลายเส้นทาง บุกเข้าไปในค่ายกลชั่วคราวก็เท่านั้น

ช่องโหว่นี่จะกลับสู่สภาพเดิมเมื่อผ่านไปสักระยะ

เมื่อหญิงสาวบนยอดเขาเห็นว่าไม่มีเสียง ก็คิดในใจว่าชายคนนั้นคงจะจากไปแล้ว จึงจดจ่อกับการวาดภาพต่อ

นางยกพู่กันขึ้น ยังไม่ได้วาดดวงตาให้นกกระเรียนมงกุฎบนกระดาษเลย

วาดมังกรแต้มนัยน์ตา ภาพวาดจะมีจิตวิญญาณหรือไม่ มักจะสื่อออกมาทางดวงตาอันสมจริงของภาพวาด

ตอนนี้เข้าสู่ขั้นที่สำคัญที่สุดของการวาดภาพแล้ว

นางใช้สมาธิจดจ่อกับภาพวาดทั้งหมด พู่กันแต้มลงบริเวณดวงตาของนกกระเรียนมงกุฎอย่างแผ่วเบา

โครม!

เกิดการพุ่งชนครั้งรุนแรง ก้อนอิฐสีดำของอันหลินพุ่งลงมาอย่างทรงพลัง

แรงสั่นสะเทือนจากผิวดินทำให้กลีบดอกสีชมพูร่วงโรยอีกครั้ง พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ

ทุกอย่างช่างดูงดงามปานนั้น แต่จิตใจของหญิงสาวกลับย่ำแย่เป็นที่สุด

พู่กันค้างอยู่บนกระดาษ ทำให้เกิดวงกลมสีดำขนาดใหญ่

อืม นกกระเรียนมงกุฎแดงที่น่ารัก ดวงตาดำขลับใหญ่กว่าหัวมันเสียแล้ว…

……………………………….

[1] แอนทิโลป เป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในสัตว์ตระกูลวัว และจัดอยู่ในกลุ่ม “สัตว์กีบคู่” ลักษณะเด่นของมันอยู่ที่เขาทั้งสองข้างที่อาจจะงอกขึ้นชี้ตรงหรือยาวเป็นเกลียวบนหัวอย่างถาวร ไม่แยกแตกออกเป็นกิ่งและหลุดออกได้เหมือนเขาของสัตว์จำพวกกวาง