ความทุ่มเทตลอดครึ่งเดือน…
หญิงสาวจ้องภาพวาดอย่างเหม่อลอย ในที่สุดก็รู้ซึ้งถึงความหมายของปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งคอกแล้ว
“เอ๊ะ ที่นี่มีคนอยู่จริงๆ ด้วย”
อันหลินเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งวาดรูปใต้ต้นไม้ ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมา
หญิงคนนี้หน้าตาสะสวย เรียวคิ้วขมวดกันเล็กน้อย ใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม ให้ความรู้สึกอรชรและงามสง่า
“สวัสดี ต้องขอโทษจริงๆ ที่บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้า”
อันหลินรู้ว่าตัวเองทำผิด จึงรีบเอ่ยปากขอโทษทันที
หญิงสาวระงับโทสะของตน ไม่พูดอะไร แต่เพ่งสายตามองชายหนุ่มหน้าตาคมสันที่อยู่ตรงหน้า
ปล่อยพลังจิตอันแก่กล้าออกมาด้วยเช่นกัน กวาดตามองชายคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
จากนั้นคิ้วของนางก็ขมวดเป็นปมกว่าเดิม
น่าแปลก เขามีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น
ค่ายกลตัดพลังปราณสามารถต้านทานนักพรตระดับแปลงจิตขั้นปลายได้สบาย เขาขึ้นมาได้อย่างไร
“บอกข้ามา เจ้าขึ้นมาได้อย่างไร” หญิงสาวพูดนิ่งๆ เสียงอ่อนโยนนุ่มนวล
“ข้าเหรอ เหาะขึ้นมาน่ะสิ!”
อันหลินกะพริบตาปริบๆ มองหญิงสาวคนนี้ด้วยสีหน้าราวกับจะบ่งบอกว่า ‘ทำไมเจ้าถึงได้ถามคำถามที่ไร้สาระเช่นนี้’
เมื่อหญิงสาวได้ฟังก็แน่นหน้าอก เห็นท่าทางที่ดูแคลนของอันหลิน ก็โกรธจนควันออกหู
“ข้าหมายถึงว่า…เจ้าทลายค่ายกลขึ้นมาถึงยอดเขาได้อย่างไร!”
หากไม่ใช่เพราะหญิงสาวถูกอบรมบ่มเพาะมาดี นางคงใช้กำลังโดยไม่ลังเลแล้ว
“อ้อ…ข้าเก่งกาจ ก็เลยทลายมันได้” อันหลินกลอกตาใส่นางแล้วตอบเช่นนี้
คำถามแบบนี้มันช่าง…
เช่นเดียวกับที่คนอื่นถามว่าทำไมสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้หนึ่งร้อยคะแนน
แน่นอนว่าเป็นฉันเก่งคณิต เลยได้หนึ่งร้อยคะแนนน่ะสิ
ถามแบบนี้หมายความว่าอะไร นี่มันเหยียดหยามกันไม่ใช่หรือไง!
ใบหน้าขาวผ่องของหญิงสาวแดงก่ำ ใช่ มันเกิดจากความโมโห!
“เหอะ เช่นนั้นเจ้าก็ช่างเก่งกาจเหลือเกิน ไม่ทราบว่าสหายบุกมาถึงยอดเขา มีธุระอันใด”
หญิงสาวรู้ดีว่าคุยกับชายคนนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว จึงเข้าประเด็นทันที
อันหลินเกาหัวอย่างกระดากอายแล้วพูดว่า “ข้ามาที่นี่ เพียงเพราะอยากเล่นบันจีจัมป์บนยอดเขาแห่งนี้สักครั้ง”
หญิงสาวชะงักไป “บันจีจัมป์หรือ บันจีจัมป์คืออะไร”
อันหลินฉันพลันเข้าใจ นางไม่ใช่นักเรียนของสรวงสวรรค์ ย่อมไม่รู้จักคำว่าบันจีจัมป์
ดังนั้น เขาจึงอธิบายสั้นๆ ว่า “ข้ามาที่นี่ เพียงเพราะอยากกระโดดหน้าผาจากภูเขาลูกนี้สักครั้ง!”
เมื่อหญิงสาวได้ฟัง ใบหน้าก็ถมึงทึงโดยพลัน “เจ้ากำลังกวนประสาทข้าหรือ”
พูดเป็นเล่น ทลายค่ายกลขึ้นมาถึงยอดเขาอย่างยากลำบาก เพียงเพราะอยากจะกระโดดหน้าผางั้นหรือ
ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!
อันหลินยักไหล่ “เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าจะกระโดดแล้ว”
ขณะที่พูด เขาก็เดินเตร่ไปทั่วเพื่อค้นหาจุดที่ดีที่สุดของหน้าผา
จากนั้นเขาก็เห็นภาพวาดของหญิงสาว
“ฮ่าๆ ๆ… ตาของนกกระเรียนมงกุฎแดงตัวนี้เป็นอะไรไป น่าเกลียดจังเลย ฮ่าๆ ๆ…”
อดพูดไม่ได้ว่า ดวงตาปีศาจของนกกระเรียนมงกุฎแดงทำให้อันหลินหัวเราะได้สำเร็จแล้ว
แกรก! พู่กันถูกมืองามของหญิงสาวบีบจนหัก
นางคิดว่าตัวเองนิสัยดีมาก เป็นหญิงสาวที่เงียบสงบและงามสง่ามาโดยตลอด
จนกระทั่งพบเจออันหลิน
เยี่ยมไปเลย…ความโมโหของนางระเบิดแล้ว!
“เจ้าลองพูดอีกรอบสิ!” หญิงสาวโกรธจนกัดฟันกรอด
เสียดายที่อันหลินเอาแต่หัวเราะ ไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร
เขายังคงหัวเราะนกกระเรียนมงกุฎที่ดูตลกในภาพวาด “หา เจ้าพูดใหม่สิ เมื่อครู่ข้าไม่ได้ยินว่าเจ้าพูดอะไร ฮ่าๆ ๆ …”
“ไม่ได้ยินใช่ไหม”
หญิงสาวแสยะยิ้ม ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเย็นเยียบ รูปร่างอรชรผอมบางดุจก้านหลิวลู่ลม จู่ๆ ก็แผ่รังสีอำมหิตออกมา
อันหลินหนาวสะท้านไปทั้งตัว ได้สติทันใด
รังสีอำมหิต!
จากนั้น เขาก็เห็นกำปั้นสีขาวพุ่งมาปะทะหน้า
ต่อมา…
ไม่มีต่อมาแล้ว
อันหลินถูกชกปางตาย
ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแท้ๆ กลับถูกหญิงสาวชกต่อยปานลูกไก่ตัวหนึ่งจนทำอะไรไม่ได้
หลังชกอันหลินจนสาแก่ใจแล้ว ความโกรธของหญิงสาวก็ลดลงไม่น้อย
ใบหน้าขาวผ่องของนางแดงระเรื่อ แลดูงดงามขึ้นมากโข
เมื่อเห็นชายหนุ่มจมูกช้ำหน้าปูดนอนแอ้งแม้งบนพื้น หญิงสาวก็ตกอยู่ในภวังค์
ตั้งแต่นางหลงใหลการวาดรูป นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ใช้กำลัง
ไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะมีปัญญาทำให้นางโมโหถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ ความสามารถในการยั่วโทสะบรรลุขั้นสูงสุด ที่สำคัญยังไม่เจียมตัว นางคิดว่าสมองของนักพรตคนนี้ต้องมีปัญหาเป็นแน่
กับหญิงสาวที่พูดจาไม่เข้าหูก็ใช้กำลังลงไม้ลงมือคนนี้ อันหลินหวาดกลัวแล้ว เขาไม่รู้ว่าภาพนั้นมีสาเหตุมาจากเขา ถึงทำให้กลายเป็นแบบนี้ เขาคิดว่าสมองของผู้หญิงคนนี้มีปัญหาแน่นอน
จากนั้นทั้งคู่ก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ใช้มองคนสติฟั่นเฟือน
อันหลินกะพริบตาปริบๆ “เจ้ามองอะไร”
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
อันหลินยิ้ม “แล้วข้าควรจะมองเจ้าด้วยสายตาแบบไหน เจ้าสอนข้าสิ!”
เสียงของหญิงสาวสะดุด “เจ้า…”
ใช่แล้ว ถึงเขาจะสู้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ แต่จะทิ้งมาดไม่ได้ บัดนี้จึงเริ่มตาต่อตาฟันต่อฟัน
คุณพระ ผู้ชายคนนี้ถูกสวรรค์ส่งมาทดสอบจิตใจของนางใช่ไหม!
ร่างอรชรของหญิงสาวสั่นเทิ้ม เตือนสติตัวเองให้ระงับอารมณ์ อย่าได้วู่วาม
เพราะความใจร้อนเป็นข้อห้ามของวิถีแห่งจิตรกรรม ในฐานะเซียนหญิงผู้เงียบสงบ จะทำผิดข้อห้ามได้อย่างไร
หญิงสาวเค้นรอยยิ้มออกมา “สวัสดี ข้าชื่อหลินจวิ้นจวิ้น”
อันหลินชะงัก ทำไมผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสีไวขนาดนี้
แม้จะสงสัย แต่เขาก็แนะนำชื่อแซ่ของตัวเองเช่นกัน “สวัสดี ข้าชื่ออันหลิน”
พูดจบ เขาก็หยัดกายลุกขึ้นจากพื้น หยิบยาลดบวมออกจากแหวนมิติ ก้มหน้าก้มตาทาให้ตัวเอง
เพิ่งทายาตัวนี้ไปเมื่อเช้า ตอนนี้ต้องมาทาตัวเสียแล้ว
ใช้หมดไวเหลือเกิน ต้องซื้ออีกแล้ว…
“โอ้ เช่นนี้เองหรือ แล้วไม่ทราบว่าสหายอัน เจ้าขึ้นมาบนยอดเขามีธุระอันใด” หลินจวิ้นจวิ้นพยายามสงบสติอารมณ์ พูดเสียงอ่อนโยน
มุมปากของอันหลินกระตุก ก่อนหน้านี้เขาบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่า เขามาที่นี่เพื่อกระโดดหน้าผาน่ะ!
ในเมื่อหลินจวิ้นจวิ้นยอมคุยกันดีๆ แล้ว เขาก็จนใจ จำต้องพูดอีกครั้งว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อกระโดดหน้าผาจริงๆ! มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้ามาทำอะไร ที่นี่ไม่มีอะไรเลย มาเยี่ยมหญิงงามอย่างเจ้าหรือ”
หลินจวิ้นจวิ้นได้ฟังก็หน้าขึ้นสี ไม่รู้ว่าควรโต้แย้งอย่างไร สุดท้ายก็พูดอย่างฉุนเฉียวว่า “งั้นเจ้าก็ไปกระโดดสิ!”
อันหลินมองหลินจวิ้นจวิ้นแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “เฮ้อ ในที่สุดก็คุยกันรู้เรื่องสักที”
หลินจวิ้นจวิ้นเห็นแววตาเห็นอกเห็นใจของอันหลินเจือความเวทนา เส้นเลือดก็เต้นตุบๆ ขึ้นมา
อันหลินเห็นนางเป็นคนโง่หรือไง!
ต้องใจเย็น ใจเย็นเข้าไว้…เราเป็นผู้หญิงเงียบสงบ
หลินจวิ้นจวิ้นเตือนตัวเองไม่หยุด กำมือแน่น ร่างเล็กกะทัดรัดสั่นเทา
อันหลินไม่สนใจนางอีก เดินรอบๆ ภูเขา สุดท้ายก็เจอริมหน้าผาที่สูงชะโงกเงื้อมแห่งหนึ่ง
‘ติ้ง ตรวจสอบพบว่าโฮสต์อยู่บนหน้าผาสูงหมื่นจั้งแล้ว’
เขายิ้มเล็กน้อย ระบบเอาใจใส่ดีทีเดียว มีแจ้งเตือนเสียด้วย
เขาโบกมือให้หญิงสาวผู้เงียบขรึมที่อยู่ด้านหลัง “รบกวนเสียแล้ว ไว้พบกันใหม่ แต่จะว่าไป นกกระเรียนมงกุฎแดงของเจ้าตลกมากจริงๆ ฮ่าๆ ๆ…”
พูดจบ เขาก็กระโดดลงจากหน้าผา มากระโดดเพื่อศรัทธากันหน่อย
อืม อย่างไรเสียก็จะหนีอยู่แล้ว
เขาคิดว่าไหนๆ ก็โดนชกโดนต่อยแล้ว จะเสียมาดไม่ได้
อีกอย่าง นกกระเรียนมงกุฎแดงตัวนั้นก็ตลกมากจริงๆ นี่นา!
ตุบ!
หัวของอันหลินชนกับกำแพงไร้รูปร่างจนหยุดชะงัก
อันหลิน “…”
เสียงอ่อนหวานของหลินจวิ้นจวิ้นดังมาจากข้างบน
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ลองพูดอีกทีสิ”
……………………….