นี่เป็นกำแพงป้องกันของค่ายกลหรือ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินจวิ้นจวิ้นที่อยู่ข้างบน อันหลินก็ลูบหัวตัวเองอย่างปวดใจ ยิ้มอย่างสอพลอแล้วพูดว่า “แหะๆ เมื่อครู่ข้าพูดว่า ขอโทษที่รบกวนเจ้า ไว้พบกันใหม่”
“อ้อ ข้างหลังยังมีอีกประโยคไม่ใช่หรือ” หลินจวิ้นจวิ้นพูดแกมแสยะยิ้มมุมปาก
“มีประโยคหลังด้วยหรือ”
ดวงตาของอันหลินกลายเป็นสีขาว แสร้งทำเป็นกวาดตามองรอบตัวอย่างสับสน จากนั้นปลายนิ้วก็ปล่อยพลังออกมาโจมตีตำแหน่งหนึ่งกลางอากาศ
โครม!
ค่ายกลถูกทะลวงจนเกิดเป็นรูโหว่
ร่างของเขาตกลงไปอีกครั้ง เขาพูดอย่างลำพองใจว่า “ประโยคหลังคือ นกกระเรียนมงกุฎแดงที่เจ้าวาดตลกมากจริงๆ ฮ่าๆ ๆ…”
หลินจวิ้นจวิ้นถลึงตา หน้าอกกระเพื่อมอย่างแรง โมโหแทบทนไม่ไหวแล้ว
สงบสติอารมณ์… สงบสติอารมณ์…
ทว่าสุดท้าย นางก็รู้สึกปวดใจอย่างรุนแรง กัดฟันพูดว่า
“อันหลิน…ข้าจะจำเจ้าไว้!”
อันหลินได้ดิ่งหน้าผาอย่างอิสระอีกครั้ง ความรู้สึกไร้แรงโน้มถ่วงถาโถมมา ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในท่าใด ปล่อยให้ร่างกายของตัวเองร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว
ลมพัดกระโชก ทิวทัศน์รอบตัวกำลังเปลี่ยนไปฉับไว
ไม่นาน
เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของภูเขา ได้สัมผัสพลังของลม
พลังบางอย่างกำลังชูร่างกายไว้ ทำให้ความเร็วของเขาค่อยๆ สม่ำเสมอ
แม้จะดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ยังดีที่ความเร็วไม่เพิ่มขึ้น
ลงสู่พื้นด้วยความเร็วระดับนี้ อันหลินมั่นใจว่าตัวเองจะเอาชีวิตรอดได้
แต่เมื่อถึงระยะที่ห่างจากพื้นดินราวๆ สามพันจั้ง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ราวกับว่าแรงต้านอากาศจะลดลง
มีพลังประหลาดบางอย่าง เริ่มลดทอนการกีดขวางของลมช้าๆ
ความสมดุลของแรงถูกทำลาย ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นแล้ว…
บัดซบ นี่มันเรื่องอะไรกัน!
จู่ๆ ความเร็วในการดิ่งลงก็เพิ่มขึ้น อันหลินนึกพรั่นใจ
มีลมเกลี้ยงเกลาดุจของเหลวปกคลุมรอบตัวเขา ทำให้แรงต้านของอากาศลดลงทุกที
ต้านลมด้วยลม…
แววตาของอันหลินเปล่งประกายวาบ กระจ่างใจแล้ว
ฟิ้ว!
เมื่อระยะห่างจากผิวดินหนึ่งพันเมตร
ความเร็วของเขาก็เหนือกว่าอัตราเร็วของเสียงไปไกลแล้ว ทิ้งร่องรอยสีขาวไว้ด้านหลังเป็นทางยาว
อันหลินมองพื้นดินที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความหวั่นวิตกเป็นล้นพ้น
“ทำไมระบบไม่แจ้งเตือนล่ะ จะตายอยู่แล้ว…”
เมื่อความเร็วถึงขีดจำกัด จะกลายเป็นระเบิดร่างมนุษย์แล้ว
เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าการพุ่งชนอาจทำให้อวัยวะทั้งน้อยใหญ่ของร่างกายแหลกสลายได้ ดีไม่ดีแม้แต่ชีวิตก็ไม่เหลือ
ระยะห่างพันเมตร เป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
‘ติ้ง…’
เพิ่งได้ยินเสียงนี้ อันหลินก็รีบเรียกก้อนอิฐที่เตรียมพร้อมนานแล้ว มารองรับร่างกายของเขา
แต่เกรงว่าความเฉื่อยจะไม่หยุดง่ายดายปานนั้น
ตูม!
การพุ่งชนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน เมื่อเศษหินเม็ดทรายปลิวกระจาย ก็มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นบนผิวดิน
ท่ามกลางฝุ่นที่ตลบอบอวล มีเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของชายคนหนึ่งแว่วมา
อันหลินตัวสั่นปีนขึ้นจากหลุม เนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ราวกับร่างกายแหลกสลายไปแล้ว
แต่โชคดีที่เขารอดมาได้!
ปราณวายุเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ตัวเขา
บัดนี้อันหลินรู้ซึ้งถึงความวิเศษของวรยุทธ์ชนิดนี้แล้วอย่างสิ้นเชิง เข้าสู่ขั้นหนึ่งสำเร็จ
แท้จริงแล้วปราณวายุเป็นวรยุทธ์ที่แฝงแก่นแท้แห่งลมปราณ
ความเร็ว ท่าร่าง การเหาะเหินกลางอากาศระยะสั้น…
การใช้งานหลากหลายเป็นอย่างมาก
อันหลินกระหยิ่มยิ้มย่อง เปิดหน้าจอระบบอีกครั้ง
เมื่อฝึกฝนวรยุทธ์ปราณวายุสำเร็จแล้ว ต้องอัปเดตภารกิจอื่นๆ บนอินเตอร์เฟซของระบบ
ในแถบวรยุทธ์ประเภทธาตุไม้ ‘พฤกษธาตุอมตะขั้นหนึ่ง บรรลุเงื่อนไข กินยาอายุวัฒนะธาตุไม้ห้าเม็ดติดต่อกัน’
เมื่ออันหลินเห็นเงื่อนไขประการนี้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ยาอายุวัฒนะห้าเม็ด… นี่มันภารกิจที่มีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะทำได้นี่นา
แต่พอดีเลย เขานี่แหละเศรษฐี!
หลังกลับสรวงสวรรค์ ไปลุยราชวังดุสิตสักหน่อย
วรยุทธ์ธาตุน้ำก็ฝึกได้แล้วเช่นกัน ‘วิชาสรรสร้างอมฤตขั้นหนึ่ง บรรลุเงื่อนไข ดูดซึมพลังปราณทั้งหมดของมังกรแปลงจิตหนึ่งตัว’
มังกรแปลงจิตที่ว่านี้ ถูกขนานนามว่าราชามังกรในวังมังกรแห่งทะเลบูรพา
หากดูจากสถานการณ์ของอันหลินในตอนนี้ หนึ่งคือไม่มีความแค้นอะไรกับเผ่าพันธุ์มังกร สองคือความสามารถไม่ถึง วรยุทธ์ชนิดนี้พักก่อนดีกว่า อย่าดูเลย
สุดท้ายคือภารกิจในแถบระดับพลังยุทธ์ ก็อัปเดตใหม่เช่นกัน
‘ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง บรรลุเงื่อนไข ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน’
อันหลิน “…”
ดีมาก เยี่ยมไปเลย
ใครบอกเขาได้บ้างว่า มนุษย์ที่มีขุมพลังสัตว์…
จะบำเพ็ญเพียรอย่างไร!!!
ให้ตายสิ!
หากระบบแปลงร่างได้ อันหลินจะจิกหัวจัดการมันสามวันสามคืนแน่!
นี่มันเป็นการขุมหลุมให้เขา รอเขากระโดดลงไปแล้วไม่แยแสชัดๆ!
อันหลินรู้สึกปวดใจมาก โมโหจนเริ่มหายใจลำบากขึ้นมาแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะสงบสติอารมณ์อันย่ำแย่ได้
ช่างมันเถอะ…
ถึงตอนนั้นค่อยถามเจ้าอัปลักษณ์แล้วกันว่าบำเพ็ญเพียรอย่างไร
อย่างมากก็แค่…
เลิกเป็นคนไปเสีย
เขาหยิบยันต์ตอบสนองออกมา เริ่มสัมผัสตำแหน่งของเจ้าอัปลักษณ์
พวกเขาไม่ได้ไกลมากนัก ยังอยู่ในละแวกเขาเมฆา
อันหลินถือยันต์ตอบสนอง เริ่มขี่ก้อนอิฐเหาะเหินไปตามพลังปราณ
หลังเหาะมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นโชยมา
กลิ่นหอมนั้นช่างวิเศษยิ่งนัก ราวกับมีรสชาติแตกต่างกันหลายชนิดผสมปนเปกัน…
เขาขนลุกไปทั้งตัว นี่มันกลิ่นของวัวสายรุ้ง!
เขาเร่งความเร็วไปอย่างไม่รั้งรอ “วัวสายรุ้ง ข้ามาแล้ว ฮ่าๆ ๆ…”
เป็นตามที่คาด เขาเห็นกองไฟและพวกลั่วจื่อผิงอยู่ไกลๆ!
ก้อนอิฐลงจอด อันหลินกระโดดลงมาแล้วโพล่งขึ้นมาทันทีว่า “พวกเจ้ากำลังกินวัวสายรุ้งใช่ไหม!”
ทุกคนพยักหน้า จากนั้นก็จ้องเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความเวทนา
อันหลินมองภาพรอบๆ กองไฟ เกิดสังหรณ์ใจไม่ดี
“ยัง…ยังมีอีกไหม” เขาน้ำตาคลอ
ขณะนั้นเอง เหมียวเถียนก็เรอออกมาอย่างอดไม่ได้
ซุนเซิ่งเหลียนยิ้มบางๆ “หัวหน้า เจ้ามาช้าไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร เอาของพวกนี้ไปเคี่ยวซุปได้ น่าจะอร่อยเหมือนกัน” เหมียวเถียนชี้กระดูกวัวกองหนึ่งบนพื้น พูดพลางยิ้มกริ่ม
มุมปากของอันหลินกระตุก ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก “วัวสายรุ้งของข้า ทำไมพวกเจ้าถึงทำแบบนี้…”
เหลือแค่กองกระดูกวัว แถมกลิ่นหอมของวัวสายรุ้งยังตลบอบอวลทั่วบริเวณ มันเป็นความทรมานประหนึ่งตกนรกสำหรับเขา!
ดังเช่นเวลาที่คุณหิวโหย คนอื่นถือซี่โครงน้ำแดง ปีกไก่อบเกลือกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าคุณ แต่คุณกลับทำได้แค่มองเท่านั้น
สิ้นหวังเหลือเกิน…
ลั่วจื่อผิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของหัวหน้ากลุ่ม จึงพูดปลอบใจทันทีว่า “พี่อัน อย่างไรเสียเจ้าก็ได้สัมผัสความสุขจากการกระโดดหน้าผาแล้ว มีได้ย่อมมีเสียสิ”
ลั่วจื่อผิงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ยังไม่เท่าใด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อันหลินก็อยากจะฟาดหลินจวิ้นจวิ้นสักที ความน่ากลัวของการกระโดดหน้าผาสูงหมื่นจั้ง รวมถึงความสิ้นหวังของการตั้งใจบำเพ็ญเพียร ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน…
คราวนี้เขาไม่ใช่แค่หมดอาลัยตายอยากเท่านั้น แม้แต่ดวงตาก็แดงก่ำแล้ว!
เจ้าอัปลักษณ์เห็นท่าอันหลินจะเศร้ายิ่งกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะปลอบใจ จู่ๆ ก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ในทะเลสาบข้างๆ
ร่างมหึมากระโดดออกจากผิวน้ำ พร้อมกับละอองน้ำจำนวนมหาศาล
กลิ่นอายอันแก่กล้าแผ่กระจายดุจริ้วคลื่น ทำให้พวกอันหลินรู้สึกกดดัน
“ใครเรียกข้ามา”
เสียงของมันก้องกังวานดุจสายฟ้าคำราม
…………………..