บทที่ 95 คนที่อยู่บนเกวียนม้า Ink Stone_Romance
สิ่งที่ทำให้กงซุนกู่ประหลาดใจเมื่อครู่ค่อยๆ จู่โจมเข้ามาทีละอย่าง เมื่อตระหนักได้ก็พบว่าคำพูดของตนค่อนข้างดูถูกซ่งชูอี จึงรีบยืดตัวตรงคำนับ “เมื่อครู่ข้าเอ่ยวาจาเสียมารยาท ได้โปรดท่านให้อภัยด้วย”
“เรื่องเล็กน้อย ไม่ทราบว่าที่ท่านแม่ทัพมาคือ…” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
หลงกู่ปู้วั่งสงสัยเล็กน้อย เขารู้สึกมาตลอดว่าซ่งชูอีเป็นผู้ที่มีจิตใจคับแคบ ไม่น่าจะใส่ใจขนาดนี้กระมัง?
“มิได้มีเรื่องใหญ่กระไร ข้ามาถามไถ่สารทุกข์ของราชทูตเว่ย์ตามคำสั่งของท่านมหาเสนาบดี ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่านหวยจิน” กงซุนกู่พิจารณาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านจากรัฐเว่ย์มาคราวนี้มีเรื่องอันใดหรือ?”
“ธุระใหญ่หลวง จำต้องพบเจ้าโหวหรือท่านมหาเสนาบดีในการหารือเท่านั้น ทว่าบัดนี้รัฐเจ้ามีสงคราม เกรงว่าเจ้าโหวและท่านมหาเสนาบดีคงถอนตัวออกจากเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเตรียมรอให้สงครามในรัฐสงบลงก่อนค่อยหารือ หวยจินกับท่านแม่ทัพกงซุนก็นับว่าเคยรู้จักกัน จะขอรบกวนท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งรบกวนเจ้าโหวและท่านมหาเสนาบดีในเวลานี้ หวยจินขวบคุณแล้ว” ซ่งชูอีค้อมคำนับ
กงซุนกู่เบี่ยงตัวเล็กน้อย กล่าวขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำตามที่บอก จะว่าไปตอนนั้นยังต้องขอบคุณท่านหวยจินที่ชี้ทางสว่างให้ข้า”
เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นความพยายามของซ่งชูอีเสียทีเดียว ทว่าหากกงซุนกู่คิดเช่นนี้ นางก็จะไม่ปฏิเสธ เพียงแต่ยิ้มเอ่ยประจบประแจง “ท่านแม่ทัพกงซุนกู่ชาญฉลาด วิสัยทัศน์กว้างไกล มีดุลยพินิจในใจอยู่แล้ว เพียงแต่สองจิตสองใจชั่วขณะเท่านั้น”
“ท่านชมเกินไปแล้ว” ในใจของกงซุนกู่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่จริงแล้วเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างเมื่อได้พบซ่งชูอีที่นี่ ในตอนนั้นนางปฏิเสธที่จะเป็นกงซุนในรัฐเจ้า กล่าวว่ายังเยาว์ อีกทั้งยังไม่เคยเป็นครูบาอาจารย์ แต่บัดนี้กลับเป็นราชทูตของรัฐเว่ย์เช่นนั้นหรือ? คำกล่าวในตอนนั้นที่แท้ก็เป็นเพียงข้ออ้างสินะ! แม้นเขามิได้ใส่ใจซ่งชูอีเป็นพิเศษ แต่ก็รู้สึกไม่ดีเท่าไรที่ถูกหลอก
ซ่งชูอีก็คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับกงซุนกู่อีกครั้ง เขาแพ้สงครามในคราวนั้น คงถูกลงโทษไม่เบากระมัง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เกินความคิดที่จะย้ายไปรัฐอื่น แต่ก็ไม่คาดฝันว่าเขายังเป็นท่านแม่ทัพเมื่อได้พบกันอีกครั้ง
บัดนี้กงซุนกู่ไม่ถือสาเอาความ นางก็ปล่อยเรื่องเหล่านั้นผ่านไป จากนั้นก็ถามถึงเรื่องอื่นต่อ “ได้ข่าวว่าองค์ชายฟ่านของรัฐเจ้าก่อกบฏ ไม่ทราบว่าบัดนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“บัดนี้เกรงว่าจะสู้รบกันแล้ว” กงซุนกู่เอ่ยแผ่วเบา ท่าทางคล้ายไม่ค่อยพอใจ
สู้รบกันแล้วเขากลับว่างงานเช่นนั้นหรือ? ซ่งชูอีเข้าใจในทันที ดูเหมือนแม้นเขามิได้ถูกปลดตำแหน่ง แต่อำนาจทางทหารมิได้อยู่ในมืออีกต่อไปแล้ว
ในกองทหารหนึ่งหมื่นนายมิได้มีท่านแม่ทัพเพียงคนเดียว ในรัฐเจ้า ตำแหน่งท่านแม่ทัพนี้มีอย่างน้อยสามถึงสี่คน กงซุนกู่ก็คือหนึ่งในนั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร และผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกองทัพทั้งสามเรียกว่าท่านแม่ทัพสูงสุดหรือท่านแม่ทัพใหญ่
“ในเมื่อท่านแม่ทัพก็มิได้ทำอันใด เดินหมากกับข้าสักตาหน่อยประไร?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
กงซุนกู่รู้สึกขมในปาก การสังหารบนกระดานหมากจะมีความสุขเท่ากับในสนามรบได้เยี่ยงไร?
ซ่งชูอีดันหลงกู่ปู้วั่งไปข้างๆ นั่งลงบนเบาะตรงหน้าโต๊ะตัวเตี้ย ยื่นมือทำความสะอาดตาหมากที่อยู่ด้านบน “ในโลกแห่งสงครามไม่ขาดการต่อสู้ มาๆๆ อย่างไรเสียท่านแม่ทัพก็ปล่อยวางจิตใจแล้วรอผลลัพธ์อย่างอุ่นใจเถิด”
ใช่ว่ากงซุนกู่ไม่ป้องกันตัวเองจากซ่งชูอี ทว่าเขารู้หดหู่จริงๆ ในระยะหลัง เขาไม่อาจระบายเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ลุกขึ้นนั่งลงตรงหน้านาง ทำความสะอาดกระดานด้วยกันกับนาง
ซ่งชูอีสั่งให้คนเตรียมสุรา แล้วสั่งให้สาวใช้สองนางยกเข้ามา
ผลปรากฏว่ากงซุนกู่อดใจไม่ไหวหันกลับไปมองสาวใช้ที่ยกสุราร้อนเข้ามาอีกรอบ “ในจวนรับรองแห่งนี้มีสาวงามเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ในสมัยนี้บุคคลที่ถูกเรียกว่าสาวงามไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างหน้าตาชดช้อย ถึงอย่างไรแล้วสาวงามโดดเด่นในโลกนี้มีไม่มาก ทว่าหญิงสาวที่มองรอบหนึ่งแล้วต้องการหันกลับไปมองอีกรอบนั้น โดยมากก็จะถูกเรียกขานว่าสาวงาม
ซ่งชูอีเลือกนางสองคนนี้ที่หน้าตาดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป จวนหลังนี้มีไว้สำหรับรับรองท่านราชทูตโดยเฉพาะ หน้าตาสาวใช้จึงไม่เลวร้าย ขณะที่พวกนางสองคนอยู่ในกลุ่มคนก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากความงามเพียงเล็กน้อยแล้ว ที่จริงก็นับว่าไม่ได้โดดเด่นกระไรเลย ซ่งชูอีเพียงต้องการฝึกฝนพวกนางช่วงที่เบื่อหน่ายก็เท่านั้น ปกติก็จะให้พวกนางไปปรนนิบัติจื๋อหย่า เพื่อสังเกตและเรียนรู้ทุกอิริยาบทจากนาง
แม้นจื๋อหย่ามิได้ฉลาดและเก่งกาจเช่นจื่อเฉา ทว่าได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัวชั้นสูงมาตั้งแต่เล็ก ความสงบและความสูงส่งที่แผ่ซ่านอยู่ในกระดูกนั้นเป็นสิ่งที่หญิงสาวสามัญมิอาจเข้าถึงได้
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง สาวใช้นับร้อยในจวนรับรองนี้ ข้าล้วนเห็นมาหมดแล้ว และจงใจเลือกสาวที่งามที่สุดมาสองนาง” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความภูมิใจ “หนึ่งในพวกนางคือสาวทาสผู้ใช้แรงงาน ท่านดูออกหรือไม่ว่าเป็นคนไหน? พวกเจ้าเงยหน้าขึ้นมา”
ประกายความประหลาดใจวูบผ่านดวงตาของกงซุนกู่ สาวใช้สองนางที่อยู่ตรงหน้าต่างดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นบุคลิกที่สาวใช้ทั่วไปมี ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคนไหนคือสาวใช้ผู้มีพลัง
“ยื่นมือออกมา” กงซุนกู่กล่าว
สาวใช้สองคนยื่นมือที่ซ่อนเร้นไว้ครึ่งหนึ่งออกมาทั้งหมด มันยังคงขาวและนุ่มนวล
“นางกระมัง” กงซุนกู่เอ่ยพร้อมชี้สาวใช้ผู้ที่มีผิวแข็งด้านบนฝ่ามือ
“เฮ้ย” ซ่งชูอีหัวเราะพลางหยิบหมากสีดำขึ้นแล้ววางลงบนกระดาน “หวยจินเป็นแขก ขอเดินก่อนแล้ว ท่านแม่ทัพเชิญ”
กงซุนกู่เหลือบมองแล้ววางตัวหมากลง “สาวใช้สองนางนี้ คงถูกท่านฝึกฝนมาแล้วกระมัง เหตุใดท่านจึงคิดจะฝึกพวกนางเล่า?”
“สาวงามเป็นความเจริญตา! มองสาวงามเยอะๆ แล้วจะอายุยืน ท่านแม่ทัพก็ลองดูได้” ซ่งชูอีเอ่ย
กงซุนกู่วางหมากลง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้ามิเคยได้ยินมาก่อน”
สองคนเดินหมากกันไปมา หมากบนกระดานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขามิได้พูดกันอีก อุทิศให้กับการต่อสู้ในสนามรบ
การเดินหมากแต่ละก้าวของกงซุนกู่นั้นล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ทว่าขึงขังเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกซ่งชูอีเดินหมากด้วยความมั่นคงคล้ายกับเขา ทว่าช่วงหลังกลับเริ่มต่างออกไป หลงกู่ปู้วั่งค้นพบด้วยความประหลาดใจว่าที่แท้การเดินหมากอย่างมั่นคงในครึ่งแรกนั้นได้ทิ้งหลุมพลางโดยไม่ตั้งใจจำนวนมาก ทำให้นางสามารถกวาดชิ้นหมากรุกทั้งหมดได้ในครั้งเดียว พลังที่สามารถกวาดทหารนับพันได้ในคราเดียวนั้นชวนให้รู้สึกอิ่มเอมใจยิ่ง
“ท่านรอบรู้ในการล้อมหมากยิ่ง ข้าขอชื่นชม ข้ายอมแพ้แล้ว!” กงซุนกู่ทิ้งตัวหมาก
ในใจของหลงกู่ปู้วั่งดูแคลนเป็นอย่างมาก เขาชื่นชมบุรุษที่ต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย และเกลียดที่สุดก็คือพวกที่ยอมจำนนในขณะที่ยังสู้ไม่ถึงที่สุด
ซ่งชูอีกลับพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพมีความเมตตา หากตกยากก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น”
กงซุนกู่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ก็หวังว่าจะสมพรปากท่าน”
เมื่อครู่ซ่งชูอีจงใจสร้างทางตันไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังกวาดพลทหารไปจำนวนมาก หากไม่ยอมจำนนก็จะสูญเสียทั้งกองทัพ การที่ซ่งชูอีสามารถทำได้เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน หากดำเนินต่อไปมีแต่จะถูกสังหารก็เท่านั้น สู้ยอมรับความพ่ายแพ้เสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
กงซุนกู่จิบสุราคำหนึ่ง ทอดถอนใจยืดยาว สีหน้าหดหู่เหลือเกิน
การรู้จักยืดหยุ่นเป็นสิ่งที่ดี ทว่าในใจก็ยังคงมีความขุ่นเคือง
“ท่านแม่ทัพ” มีคนตะโกนอยู่ด้านนอก
กงซุนกู่เอ่ย “ว่ามา”
“เรียนท่านแม่ทัพ องค์ชายฟ่านบุกเข้ามาจากทิศใต้และทิศตะวันตกของเมือง แต่ยังไม่รู้ว่ามีกองกำลังกระจายเท่าใด” คนที่อยู่ด้านนอกรายงาน
“รู้แล้ว” กงซุนกู่เงยหน้าดื่มสุราที่เย็นชืดเล็กน้อยรวดเดียวหมด มองไปยังซ่งชูอี “ท่านสังหารข้าหมดกระดาน ข้าก็จะส่งท่านไปดูที่สนามรบ ไม่ทราบว่าท่านกล้าหรือไม่?”
“มีท่านแม่ทัพอยู่ด้วย มีหรือที่หวยจินจะไม่กล้า!” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความฮึกเหิมมาก
หลงกู่ปั่งลอบดูถูกความไร้ยางอายของนาง ทว่าในใจก็อยากดูเป็นอย่างมาก แม้นสงครามในแต่ละที่ยังคงดำเนินต่อไป ท่านปู่ของเขาก็เป็นท่านแม่ทัพนายหนึ่ง ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขากลับเคยมองดูจากที่ไกลๆ เพียงสองครั้งเท่านั้น บัดนี้จึงพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “อาจารย์ ข้าก็อยากไปด้วย”
กงซุนกู่ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “นี่คือศิษย์ของท่านหวยจินหรือ?”
“ถูกต้อง” ซ่งชูอีกล่าว
“เช่นนั้น องค์ชายเค่อก็เป็นศิษย์ของท่านหวยจินด้วยหรือ?” ประกายความหวังเลือนลานวูบผ่านดวงตาของกงซุนกู่ หากสามารถเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายเค่อยอมจำนนได้ กำลังใจของทหารของฝ่ายตรงข้ามจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน เขารังเกียจข้าปานนั้น” ซ่งชูอีลุกขึ้น ปล่อยให้สาวใช้ช่วยนางสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่
ซ่งชูอีก็ไม่นับว่าโกหก เจ้าอี่โหวค่อนข้างรังเกียจนางโดยเฉพาะในช่วงแรกที่คิดว่านางเป็นภาระ แม้นต่อมาจะดีขึ้นมาบ้าง ทว่าก็ยังคงมีท่าทีทั้งเชื่อใจทั้งรังเกียจอยู่เล็กน้อย
กงซุนกู่ได้ยินดังนี้ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก เหลือบมองหลงกู่ปู้วั่งทีหนึ่ง เอ่ยว่า “หากท่านหวยจินเห็นด้วย ก็ไปด้วยกันเถิด”
หลงกู่ปู้วั่งรีบลุกขึ้นยืนทันที สั่งให้คนหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มา อาการเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าความเห็นของซ่งชูอีไม่สำคัญเลย
หน้าที่ของจี๋อวี่กับจี้ฮ่วนคืออารักขาท่านราชทูต ในเมื่อซ่งชูอีกับลูกศิษย์ต่างออกไปกันหมด พวกเขาก็ต้องติดตามไปด้วย ในที่สุดกงซุนกู่ก็พาคนสี่คนพร้อมหมาป่าตัวหนึ่งออกไปด้วย
แม้นกงซุนกู่จะถูกริบอำนาจทางทหาร ทว่ายังคงมีตำแหน่งท่านแม่ทัพอยู่ อีกทั้งมีป้ายคำสั่งติดตัว สามารถพาคนขึ้นไปยังกำแพงเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองทิศตะวันตกได้อย่างง่ายดาย
“กำลังอยู่ในช่วงเวลาป้องกันอันสำคัญ จึงไม่สามารถเข้าใกล้ทางนั้นได้” กงซุนกู่กล่าว
“ตรงนี้ก็มองเห็นชัดดี!” เสียงแตกของหลงกู่ปู้วั่งดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น
บัดนี้ทางโน้นเริ่มมีคนนำกระไดพาดหอคอยเมืองแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าใด เห็นเพียงหิมะหนาแน่นบนพื้นด้านล่างกำลังพรั่งพรูเข้ามาดุจกระแสคลื่น ลูกศรพุ่งสู่เบื้องล่างเหมือนห่าฝน เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นไม่ขาดสาย
กำแพงเมืองสูงอย่างน้อยสามจั้ง แสงจันทร์ปรากฏขึ้นและหายไป มองเห็นสถานการณ์เบื้องล่างไม่ค่อยชัดเจน นี่ไม่ใคร่เป็นผลดีต่อมือธนูผู้ปกป้องเมืองเท่าไรนัก
หลงกู่ปู้วั่งรู้สึกว่าเลือดภายในตัวพลุ่งพล่าน ดวงตาของเขามีสีดำและเป็นประกาย
ซ่งชูอีหลุบตาลงจ้องมองไปที่ใต้หอคอยเมือง ไป่เริ่นเดินวนอยู่ข้างล่างด้วยความร้อนใจ อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น พิงผนังมองไปยังเบื้องล่าง
“หมาป่าตัวนี้น่าสนใจมาก” กงซุนกู่มองดูไป๋เริ่น กำลังจะเอื้อมมือ ไป๋เริ่นส่งเสียงครางพร้อมลดขาหน้าลง เตือนภัยด้วยความดุร้าย
“ไม่เท่าไรดอก” ซ่งชูอีกวักมือหามัน เมื่อเห็นไป๋เริ่นวิ่งเข้ามาอย่างเชื่อฟัง ความรู้สึกภาคภูมิใจเอ่อล้น เอาเนื้อแห้งให้มันกินทันที
“เอ๊ะ อาจารย์ท่านดูสิ ทางนั้นคือท่านแม่ทัพของพวกเขาหรือ?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
ซ่งชูอีเงยหน้า มองไปตามที่หลงกู่ปู้วั่งชี้ ในค่ำคืนกว้างใหญ่ไพศาล มีกองทหารม้าห่างออกไปร้อยจั้ง สายตาของนางสามารถเห็นเพียงเครื่องแต่งกายของผู้คนเหล่านั้นคร่าวๆ
เกวียนม้าคันหนึ่งอยู่ด้านหลังกองทหารม้า มีทหารคอยอารักขาซ้ายขวาและด้านหลัง คนในชุดเกราะคนหนึ่งยืนอยู่บนเกวียนม้าคันนั้น ดูเหมือนเป็นท่านแม่ทัพจริงๆ ส่วนด้านข้างของเขามีชายหนุ่มในชุดธรรมดานั่งอยู่
ชายในชุดธรรมดาผู้นั้นมีขนสุนัขจิ้งจอกพันโดยรอบ ผมดำปล่อยสยาย พิงที่เท้าแขนด้วยมือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ไม่รู้ว่าสายตามองไปยังที่ใด
ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะเดินไปยังหอคอยสองสามก้าว ต้องการดูใบหน้าของคนนั้นให้ชัดเจน ทว่ากลับมีคนดึงไหล่เอาไว้
“หวยจิน จะไปข้างหน้าอีกไม่ได้แล้ว” กงซุนกู่ขมวดคิ้ว
………………………………….