บทที่ 96 ให้ข้าลูบคลำหน่อย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 96 ให้ข้าลูบคลำหน่อย Ink Stone_Romance

ซ่งชูอีหยุดเดิน หรี่ตามองไปยังเกวียนรถคันนั้น

“เจ้าเห็นว่าคนนั้นหล่อหรือไม่?” ซ่งชูอีถามจี้ฮ่วน

ทักษะการยิงธนูของจี้ฮ่วนนั้นแม่นยำยิ่ง สายตาดีกว่าผู้คนทั่วไปหลายเท่า

หลงกู่ปู้วั่งพ่นลมหายใจออกจากโพรงจมูก แต่จี้ฮ่วนกลับมองด้วยความจริงจังครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “ข้าก็มองไม่ชัด น่าจะหน้าตาไม่เลว”

การต่อสู้ที่ไม่คาดคิดนี้ยืดเยื้อเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น อีกฝ่ายเรียกทหารให้ถอยทัพแล้ว

ในเวลานี้ชายในชุดธรรมดาบนเกวียนม้าผู้นั้นคล้ายเงยหน้าขึ้น เมื่อรถเลี้ยวกลับ ซ่งชูอีเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาหันกลับมา

ซ่งชูอีครุ่นคิด หากพวกเขาใช้เจ้าอี่โหลวเป็นเหตุผลในการก่อกบฏ การให้เขาดูการต่อสู้ด้วยตัวเองในเวลานี้ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับกองทัพได้ ทว่าเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม เหตุใดจึงถอยทัพเสียล่ะ? มันเป็นสิ่งที่พิลึกมาก

“ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคิดจะระดมพลบนสะพานสินะ?” กงซุนกู่เอ่ย

“ท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าอีกประเดี๋ยวพวกเขาจะไม่จู่โจมอีก” ซ่งชูอียื่นมือลูบคลำไป๋เริ่นที่ยังคงเคี้ยวเนื้อแห้งอยู่ หาวรอบหนึ่งแล้วกล่าวรบเร้า “กลับกันเถิด”

บัดนี้นางต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะพบหน้าเจ้าอี่โหลวได้เยี่ยงไร รัฐเจ้าจะสู้กันเยี่ยงไรก็สู้ไป มันมิใช่เรื่องของนางตั้งแต่แรก ทว่าเมื่อเห็นว่าเจ้าอี่โหลวอยู่ที่นั่น หากกลุ่มกบฏพ่ายแพ้ เจ้าอี่โหลวมีเพียงความตายรออยู่เท่านั้น หากประสบความสำเร็จล่ะ? เขาก็อาจจะเป็นเพียงองค์จวินหุ่นเชิด…

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องถามความสมัครใจของเจ้าอี่โหลว ถ้าเขาเต็มใจเป็นหุ่นเชิด และต้องการเพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่ง ซ่งชูอีก็จะไม่ขัดขวาง

“ท่านแม่ทัพกงซุน” ซ่งชูอีหยุดเดิน “ท่านแม่ทัพคิดต้องการกล่อมให้องค์ชายเค่อสิโรราบหรือไม่? หากข้ายินดีที่จะไปตามลำพัง ท่านแม่ทัพจะยอมช่วยข้าอีกแรงหรือไม่?”

“ไม่ได้!” ไม่ทันรอคำตอบของกงซุนกู่ จี๋อวี่ก็คัดค้านทันที แม้นซ่งชูอีอายุยังน้อย ทว่าในสายของเขา นางแยกแยะถูกผิดได้เสมอ ไม่เคยมีความวู่วามของเด็กหนุ่ม จู่ๆ กลายเป็นเช่นนี้ มันเกินกว่าจะรับได้จริงๆ เขาขมวดคิ้วมองซ่งชูอี “ท่านมีภารกิจของราชทูตอยู่กับตัว เหตุใดจึงต้องเสี่ยงอันตรายตามลำพังด้วย”

“อวี่ แม้นมันจะเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ทว่าหากสงครามภายในของรัฐเจ้าสงบลง มันก็จะเป็นประโยชน์ต่องานของพวกเรา” ซ่งชูอีเอ่ย

“ท่านได้โปรดอย่าเอาแต่ใจเยี่ยงนี้” แม้นจี๋อวี่ยังเรียกว่า “ท่าน” ทว่าน้ำเสียงคล้ายกำลังสั่งสอนเด็กหนุ่ม

“ท่านคิดว่าข้าจะล้อเล่นกับชีวิตตัวเองงั้นหรือ?!” ซ่งชูอีไม่ยอมลดละ

“แม้นจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้!” จี๋อวี่เอ่ยเย็นชา

“ยังไงข้าก็ต้องไป!” ซ่งชูอีกล่าวจบก็ไม่ได้สนใจเขาอีก

เพียงชั่วอึดใจ บรรยากาศก็เยือกเย็นเท่ากับหิมะน้ำแข็งโดยรอบ

หลงกู่ปู้วั่งนิ่งเงียบ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ดีไม่ร้าย แม้นไม่นับว่าเป็นหัวหน้าลูกน้องแต่ก็ไม่ใช่เพื่อน หากไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวข้องก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องเกี่ยวซึ่งกันและกัน แต่ก็ยังเคารพซึ่งกันและกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาขัดแย้งกันชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน!

“ท่านแม่ทัพกงซุนคิดเห็นเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กงซุนกู่ไม่รู้ว่าซ่งชูอีมีภารกิจราชทูตอะไรต่อรัฐเว่ย์ ทว่าในใจของเขาอยากให้ซ่งชูอีเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางบอกว่าจะไปตามลำพัง ซึ่งยิ่งสอดคล้องกับเจตนาของกงซุนกู่ กักตัวคนอื่นอยู่ในนคร โดยไม่ต้องกลัวว่าซ่งชูอีจะเล่นตุกติก

อย่างไรก็ดี…ท่าทีของจี๋อวี่ ราวกับว่าขอเพียงเขาพยักหน้า ก็จะวาดดาบมาสังหารเขาในทันที

“เช่นนั้นให้ข้าไปเถิด” จี้ฮ่วนเอ่ย

คนอื่นต่างเลือกที่จะไม่ได้ยิน มีเพียงหลงกู้วั่งที่อดใจไม่ไหว “ท่านนึกว่านี่คือการออกไปล่าสัตว์ ใครจะไปก็ได้หรือ?”

“เสียงเหมือนอีกาแก่ก็อย่าตะโกนส่งเดช มันเป็นลางร้าย” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความโหดร้าย

ก็ได้ อีกคนโหดร้ายกว่าอีกคน กงซุนกู่ยังคงตัดสินใจไม่พูดจาชั่วคราว

หลงกู่ปู้วั่งสีหน้ามืดมน พ่นหึออกมาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป

จี้ฮ่วนกลับมิได้นำมาใส่ใจ เพียงแต่มองซ่งชูอีด้วยความเป็นกังวล คนอื่นอาจไม่รู้ความจริง ทว่าเขารู้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง แม้นเวลาส่วนใหญ่เขาจะลืมเรื่องนี้ไปก็ตาม

ซ่งชูอีก็รู้ว่าไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้ในเวลานี้ จึงกลับไปยังจุดพักม้าโดยไม่พูดจาแล้ว

หลังจากกงซุนกู่จากไป จี๋อวี่ก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องของซ่งชูอี ราวกับว่ากำลังเตรียมที่จะเฝ้ายามทั้งคืน

ซ่งชูอีนั่งอยู่ตรงหน้าเตาเผาถ่าน ไป๋เริ่นรู้สึกได้ว่าเจ้านายอารมณ์ไม่ดี จึงส่งเสียงครางน่าสงสารอีกครั้ง เดินไปซุกไซ้อยู่ข้างๆ ซ่งชูอี จากนั้นก็เกลือกกลิ้งตัวแล้วนอนหงายท้อง

ซ่งชูอีเห็นมันดังนี้ก็หัวเราะเสียงดัง ยื่นมือลูบคลำท้องที่กลมดิ๊ก “ไป๋เริ่น เจ้าเผยหน้าท้องอ้วนพีเช่นนี้ เป็นถึงหมาป่าตัวหนึ่ง แต่ไร้สง่าราศีเช่นนี้ ช่างเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เสียจริง”

ไป๋เริ่นจะไปเข้าใจความหมายของซ่งชูอีได้อย่างไรกัน ครั้นได้ยินนางหัวเราะแล้วก็ส่ายหางกวาดพื้นไปมา เกลือกกลิ้งสองสามรอบ ใช้หัวดุนๆ แขนเสื้อของนาง

ปกติซ่งชูอีจะซ่อนเนื้อแห้งอยู่ข้างใน

“เจ้าเป็นนักแสดงงั้นหรือ?” ซ่งชูอีงอนิ้วดีดหน้าผากของไป๋เริ่นทีหนึ่ง เอ่ยอย่างครุ่นคิด “อืม…ข้าคิดว่าหากเลี้ยงเจ้าจนอ้วนแล้ว ต่อไปวิ่งไม่ไหวจะทำอย่างไรเล่า! ได้เวลาลดน้ำหนักเสียหน่อยแล้ว”

ครั้นไป๋เริ่นไม่ได้เนื้อแห้ง ก็หมอบตัวอยู่บนพื้นหลุบสายตาด้วยท่าทางเหงาหงอย รูปร่างของมันใหญ่ขึ้นทุกที บัดนี้ลำตัวมีขนาดยาวกว่าสามฉื่อแล้ว (ประมาณหนึ่งเมตร) หลังจากอายุสี่เดือนก็จะยาวกว่าหกฉื่อ

ซ่งชูอีเป็นกังวลมาก นางให้อาหารไป๋เริ่นวันละสองมื้อทุกวัน บางครั้งก็ยังให้ขนม ทำให้มันอ้วนขึ้นทุกที อีกทั้งเจ้าหมาป่าตัวนี้ก็ไม่รู้จักยังยั้งชั่งใจ วันๆ คิดแต่เรื่องกิน ฉะนั้นเวลาที่มันลุกขึ้นวิ่งไล่สาวใช้ ซ่งชูอีมักจะให้การสนับสนุนมันอยู่เสมอ

“อวี่ เข้ามาหน่อย” ซ่งชูอีพูดเสียงดัง

เงียบไปสักพักจึงได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น จี๋อวี่ผลักประตูเดินเข้ามาด้วยเนื้อตัวที่เปื้อนหิมะ

“หิมะตกอีกแล้วหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย

“อืม” จี๋อวี่ตอบรับเสียงหนึ่ง

“นั่งเถิด” ซ่งชูอีเพยิดคาง ส่งสัญญาณให้เขานั่งลงบนเบาะรองนั่งข้างเตาเผาถ่าน

“ท่านคิดได้แล้วหรือ?” จี๋อวี่นั่งลงพลางถาม

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ มองเขาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “เปล่า ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าอยู่ข้างนอก แล้วหากข้าหนีออกไปทางหน้าต่างด้านหลังคงไม่ดีสักเท่าไร หากเข้ามาเฝ้ายามจะปลอดภัยเสียมากกว่า”

จี๋อวี่ขมวดคิ้ว ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ที่จริงเพราะกลัวว่าเขาจะหนาวอยู่ข้างนอกกระมัง!

ทันทีที่เขามีความคิดนี้ ก็พลันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของซ่งชูอี นางปรายตามองไปที่หน้าอกของเขา “หากข้าบอกว่า หากเจ้าให้ข้าได้ลูบคลำข้าก็จะคิดได้ เจ้าจะยอมหรือไม่?”

จี๋อวี่ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ท่าทางราวกับว่ายอมตายเสียดีกว่ายอมถูกทำให้อับอาย

“เชอะ เช่นนั้นข้าก็คงคิดไม่ตกเช่นเดิม” ซ่งชูอีตบๆ ไป๋เริ่น ลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน ปล่อยให้จี๋อวี่อยู่ในห้องด้านนอกตามลำพัง

ด้านในมีเสียงสวบๆ สาบๆ จี๋อวี่นั่งอยู่ข้างกองไฟ เสียงจากด้านในสงบลงแล้ว

ผ่านไปเนิ่นนาน จี๋อวี่จึงเอ่ยถาม “เหตุใดท่านจึงต้องการไปหาองค์ชายเค่อ? เพราะว่าเขาคือเจ้าอี่โหลว?”

จี๋อวี่ยังจำได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นซ่งชูอีรับปากว่าจะไปหว่านล้อมซ่งจวินตามลำพังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก็เพื่อที่จะให้กองทัพของเขาตามหาคนคนนี้

ซ่งชูอีเพิ่งจะหลับตา เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ลืมตาอีกครั้ง ตอบตรงประเด็น “ใช่”

“เหตุใดท่านจึงยึดติดกับเขา?” จี๋อวี่มองออก แม้นซ่งชูอีดูเหมือนจะชอบคนน่าสังเวชเป็นอย่างมาก ทว่าสายตาที่นางมองหนุ่มหล่อนั้นมิได้แตกต่างจากการมองสาวงามเลย ไร้ซึ่งตัณหา ทว่าเป็นเพียงการหาความสุขธรรมดาทั่วไป หากนางเป็นคนที่หลงใหลในรูปลักษณ์จริงๆ ก็คงจะไม่ปล่อยฉินกงให้หลุดมือและจากมาอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้? อีกทั้งหลังจากที่ออกมาจากรัฐฉินแล้ว นางก็มิเคยแสดงอาการอาลัยอาวรณ์ใดๆ ฉะนั้นจี๋อวี่เชื่อว่าเหตุผลที่ซ่งชูอียึดติดกับเจ้าอี่โหลวนั้น ไม่ใช่เพราะรูปโฉมที่หล่อเหลาของเขา

 ………………………………….