บทที่ 57

นัยน์ตาส่องประกายวาววับแปลกพิกลนั่นกำลังมองเธอกับเฟเรสอยู่แน่ๆ

ให้ตายเถอะ โดนจับได้แล้วงั้นเหรอ

ซวยแล้ว

ตอนนี้จะปล่อยให้ใครรู้ว่าเธอกับเฟเรสรู้จักและสนิทสนมกันไม่ได้แท้ๆ

ฟีเรนเทียรีบหลบสายตาของจักรพรรดิอย่างรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสามารถรู้สึกได้ว่าสายตาดึงดันคู่นั้นยิ่งจับจ้องค้างอยู่ที่เธอนานขึ้น

แต่หลังจากนั้นไม่นานตอนที่เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง จักรพรรดิกลับกำลังสนทนาอยู่กับท่านปู่และท่านพ่อด้วยใบหน้าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้

หรือเธอจะมองผิดไปเอง

สายตาของโยบาเนสที่มองมาโดยไม่ได้คิดอะไร บางทีเธออาจจะกลัวไปเองก็ได้

แต่ไม่ว่าเหตุผลของสายตาคู่นั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เธอก็พยายามที่จะไม่หันกลับไปมองทางฝั่งของเฟเรสอีก

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากพิธีมอบเหรียญรางวัลกันก่อน จะได้มาสนุกกับงานเลี้ยงกันอย่างเต็มที่เสียที”

โยบาเนสหันกลับไปมองเหล่าชนชั้นสูงที่มารวมตัวกัน ก่อนที่จะประกาศแจ้ง

ท่านพ่อที่ยังคงจับมือของเธอเอาไว้ปล่อยให้เธอยืนอยู่ข้างกายท่านปู่ แล้วเอ่ยพูดอย่างอบอุ่น

“เดี๋ยวพ่อมานะ”

ทั้งๆ ที่ตื่นเต้นเสียจนมือเย็นเฉียบ แต่ก็ยังใส่ใจที่จะดูแลเธอก่อน

แตกต่างจากองค์จักรพรรดิที่หลังจากเรียกให้ผู้คนที่อยู่อีกฟากหันมารายล้อมตัวเอง ก็ไม่คิดที่จะสนใจเฟเรสอีก

เธอจุ๊บแก้มของท่านพ่อเพื่อให้กำลังใจท่าน

เพียงแค่นั้นท่านพ่อก็มีเรี่ยวมีแรงยิ้มกว้างขึ้นมาแล้ว

จักรพรรดิโยบาเนสขึ้นไปยืนบนแท่นพิธีต่อหน้าผู้คน เหล่าผู้ช่วยขององค์จักรพรรดิเดินนำเหรียญรางวัลเข้ามา

ฟีเรนเทียมองตามภาพด้านหลังของท่านพ่อที่กำลังเดินไปตรงกลาง สายตาของผู้คนทั้งหลายต่างก็มองตรงไปยังแท่นพิธีด้านหน้า

ตรงนั้นมีเฟเรสที่ยืนรวมอยู่ด้วยในฐานะสมาชิกของราชวงศ์

อาสทาน่าที่ตอนนี้เริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่ม ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งโผล่มาตอนนี้ เขาเองก็กำลังยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดินีและกำลังมองเฟเรสด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

ขนาดอายุมากขึ้นแล้ว ก็ยังคงเก็บสีหน้าไม่เป็นเหมือนเคย

จู่ๆ เธอก็หันไปมองเฟเรส

เด็กนี่ยังคงมองเธออยู่เหมือนเดิม

ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์ไม่ดีกันแน่

ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่อาจอ่านความรู้สึกในใจได้ แต่เขาดูเหมาะสมที่จะเป็นเชื้อพระวงศ์มากกว่าอาสทาน่าเป็นร้อยเท่า

เธอส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปยังฝั่งแท่นพิธีอีกครั้ง

รูปลักษณ์ของเหรียญยกย่องจะแตกต่างกันไปตามผู้ที่ได้รับ เหรียญรางวัลของท่านพ่อเป็นสร้อยคอที่ทำขึ้นจากทองคำ

และข้างหลังนั่นยังมีผู้ช่วยอีกคนยืนอยู่

เขากำลังถืออะไรบางอย่างด้วยสองมืออย่างล้ำค่ามากพอกันกับเหรียญรางวัล

“แคลอฮัน ลอมบาร์เดียจงเดินมาทางนี้”

ท่านพ่อคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าเมื่อได้ยินรับสั่งของจักรพรรดิ

“ข้าโยบาเนส คาราโบแอน แลมบลู ดิวเรลลี่ ขอมอบเหรียญรางวัลยกย่องประจำวันชาติให้แก่เจ้า”

ต่างจากเมื่อครู่ที่หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง จักรพรรดิตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำก้องกังวานราวกับกำลังประกาศราชโองการ

“ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดคิดลงมือทำ ช่วยส่งเสริมความตั้งใจของข้าในการดูแลประชาชนของอาณาจักรให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เจ้ามีสิทธิ์มากพอที่จะได้รับรางวัลกิตติคุณรางวัลนี้”

สร้อยคอสลักสัญลักษณ์ราชวงศ์ถูกสวมลงบนคอของท่านพ่อ

“และผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ข้าขอมอบรางวัลกิตติคุณนี้ และของขวัญพิเศษให้แก่แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”

ของขวัญพิเศษ?

เจ้าหน้าที่คนที่สองที่กำลังรอจังหวะอยู่ก้าวออกมาข้างหน้า

และสิ่งที่ถูกมอบใส่มือของจักรพรรดิก็คือ ม้วนกระดาษเก่าม้วนหนึ่งที่สร้างขึ้นจากหนังสัตว์

โยบาเนสกางสิ่งนั้นออกให้ทุกคนได้เห็น หลังจากนั้นจึงค่อยมอบให้ท่านพ่อ

“แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าขอประกาศให้เจ้าเป็นเจ้าของเขตแดนเชซายู”

เฮือก!

คนที่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว

ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ในงานเลี้ยงต่างก็ตกตะลึงกันทั้งสิ้น

ยกเว้นท่านปู่ที่ยังคงนิ่งสงบราวกับทราบดีอยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ กับองค์จักรพรรดิที่กำลังยิ้มกว้างแค่สองคน

เหรียญรางวัลยกย่องประจำวันชาติมีความหมายพิเศษก็จริง แต่ของขวัญที่พระราชทานให้พร้อมกับเหรียญรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่บ้านพักตากอากาศ

แต่นั่นก็ยังเป็นเพียงแค่สิทธิ์ในการใช้บ้านพักตากอากาศหนึ่งหลังที่จะต้องส่งมอบคืนให้กับราชวงศ์เมื่อผู้ได้รับเหรียญรางวัลเสียชีวิตแล้วเท่านั้น

แต่นี่มอบเขตแดนให้อย่างนั้นหรือ

ไหนจะม้วนกระดาษที่ทำจากหนังสัตว์นั่นอีก ดูยังไงมันก็คือโฉนดที่ดินชัดๆ

อีกอย่างเขตแดนเชซายูที่ว่านั่น มันไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์โดยตรง

เนื่องจากตั้งอยู่ในแนวลุ่มแม่น้ำน็อกทาซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอาณาจักรแลมบลู จึงให้ผลผลิตทางการเกษตรสูง และยังเป็นเขตแดนที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น

“ท่านหญิงเซอเชาว์!”

ใครบางคนตะโกนเสียงแผ่ว

เยื้องไปทางซ้ายมือด้านหลังจักรพรรดิ หญิงชราผมขาวโพลนแม้จะถูกสายตาของผู้คนจับจ้องก็ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้ และยังไม่สูญเสียท่วงท่าสง่างาม

เบทริกซ์ เซอเชาว์

นางคือพี่สะใภ้ของนาตาเลีย เซอเชาว์ท่านย่าของเธอ ทั้งยังเป็นท่านหญิงผู้เฒ่าผู้รับบทบาทเจ้าตระกูลเซอเชาว์ผู้ปกครองดินแดนทางตอนใต้อีกด้วย

เขตแดนเชซายูซึ่งเดิมทีเป็นพื้นที่ใต้การปกครองของตระกูลเซอเชาว์กลับถูกมอบให้ท่านพ่อ

ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นความตั้งใจของเบทริกซ์ เซอเชาว์คนนี้

ท่านพ่อเหม่อมองโฉนดที่ดินที่ถือไว้ในสองมือด้วยใบหน้ามึนงง ก่อนจะเอ่ยพูด

“กะ…กระหม่อมน้อมรับพระทัยของฝ่าบาทเอาไว้ และจะดูแลให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

พิธีมอบรางวัลนั้นแสนสั้น แต่รสชาติของรางวัลที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นนั้นยังคงติดค้างอยู่บนนั้นอีกนาน

“ตะ…ต้องนั่งพักเสียหน่อย…”

ท่านพ่อกำโฉนดที่ดินในมือเอาไว้แน่นพลางเอ่ยพึมพำ

“ฮ่าฮ่า! ขี้กลัวขนาดนั้นแล้วจะเป็นเจ้าเมืองที่ดีได้หรือไง!”

จักรพรรดิโยบาเนสกลับมาหัวเราะคิกคักอีกครั้ง ในขณะที่หยอกล้อท่านพ่อ

ใช่แล้ว คงจะอารมณ์ดีน่าดู

ในเมื่อได้หน้าจากการมอบที่ดินของคนอื่นโดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลยนี่นะ

โยบาเนสสั่งให้ทุกคนเริ่มสนุกกับงานเลี้ยงได้ แล้วหายตัวไปท่ามกลางหมู่ขุนนาง ส่วนเธอก็รีบเดินเข้าไปอยู่ข้างกายท่านพ่อ

“พ่อ!”

“เทีย…”

ท่านพ่อมองเธอก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ได้รับของดีเช่นนี้ จะทำยังไงดี…”

ใบหน้าดูหนักใจที่ต้องแบกรับภาระเหมือนมีหนี้สินมากกว่าดีใจที่ได้รับที่ดิน

“จะทำอะไรล่ะก็ต้องขอบใจ แล้วใช้ชีวิตให้ดีน่ะสิ”

“ท่านป้า!”

คนที่เดินเข้ามาใกล้คือ ท่านหญิงเบทริกซ์ เซอเชาว์

สำหรับท่านพ่อแล้ว นางคือป้าสะใภ้

นางส่งยิ้มใจดีให้ท่านพ่อ ทำเอารู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าข่าวลือที่บอกว่าท่านเป็นคนเข้มงวดมากนั่นเป็นจริงแน่หรือ

ท่านหญิงเซอเชาว์เป็นคนที่มีชื่อเสียงด้านความโชคร้าย

นางมีบุตรชายสองคน แต่ทุกคนต่างก็เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ แม้แต่สามีนางก็ยังต้องกลายเป็นฝ่ายส่งเขาจากไปก่อน

เนื่องจากนางไม่มีผู้สืบทอดตระกูล จึงได้มีการเรียกร้องให้นางส่งมอบสิทธิ์ในการดูแลตระกูลมาได้หลายปีแล้ว แต่นางก็เมินเฉยทุกคนและยังคงกุมอำนาจเอาไว้ในมือได้อย่างมั่นคงแต่อีกเรื่องที่ทำให้นางมีชื่อเสียงมากพอกันกับเรื่องนี้ก็คือ เซ้นส์ทางด้านแฟชั่นและความสวยความงามของท่านหญิง

อิทธิพลของเบทริกซ์ เซอเชาว์นั้นมีมากขนาดผู้คนกล่าวกันว่า เทรนด์แฟชั่นของอาณาจักรเริ่มต้นมาจากทางตอนใต้

เรียกได้ว่าพ่อค้าผ้าทอทั้งหลายต่างก็มาจากเขตแดนเซอเชาว์กันทั้งนั้น

ก่อนจะมีร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันเกิดขึ้นมา หากพูดถึง ‘เสื้อผ้า’ สิ่งที่ผู้คนจะนึกถึงนั้นไม่ใช่ลอมบาร์เดีย แต่เป็นเซอเชาว์