เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร แต่ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดีที่ยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

นั่นไงว่าแล้วเชียว

สายตาของท่านหญิงเซอเชาว์จับจ้องอยู่ที่เธอ

“อ๊ะ! เด็กคนนี้คือบุตรสาวของข้า ฟีเรนเทียครับ นางคือย่าสะใภ้ของลูกน่ะ”

“สวัสดีค่ะ ท่านหญิงเซอเชาว์ ข้าฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ”

ท่านหญิงเซอเชาว์เป็นคนภูมิใจในตัวเองสูง เพราะท่านลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

เพราะฉะนั้นเธอเลยคิดว่าการเรียกแทนตัวอย่างเป็นทางการนั้น น่าจะดีกว่าการเรียกแทนตัวแบบญาติมิตร

โล่งอกที่ท่านหญิงเซอเชาว์เองก็ดูเหมือนจะพอใจแบบนี้มากกว่า นางยิ้มจางในขณะที่พยักหน้ารับรู้และกวาดสายตามองชุดที่เธอสวมอยู่

อาจจะดูธรรมดา แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลดุร้ายคู่นั้นกำลังเปล่งประกายด้วยความสนใจ

“โอ้ว ชุดนี่ช่างเหมาะกับเจ้ามากเหลือเกินนะ”

“ขอบคุณที่ชมค่ะ ท่านหญิงเซอเชาว์ ชุดนี้เป็นชุดจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันค่ะ”

“นี่คือเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ได้ยินคนเขาลือกันอย่างนั้นหรือ”

นัยน์ตาของหญิงชราเบิกกว้าง

“จะ จะเรียกว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็คงจะเกินไปเล็กน้อยครับ ลูกสาวบอกว่าอยากจะสวมใส่ชุดที่ข้าทำขึ้นมาร่วมงานเลี้ยงวันนี้ ข้าจึงตัดเย็บขึ้นมาแล้วลูกสาวก็ตกแต่งมันด้วยเครื่องประดับมากมาย จึงแตกต่างไปจากเสื้อผ้าสำเร็จรูปธรรมดามากครับ”

ท่านพ่อโบกมือทั้งสองข้างเป็นพัลวัน รีบอธิบายอย่างร้อนรน

“ชุดนี่เด็กคนนี้เป็นคนตกแต่ง”

ท่านหญิงเซอเชาว์จ้องเธอเขม็ง

“ถูกใจมั้ยคะ ท่านหญิง”

ฟีเรนเทียเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย

“…อืม ใช่ เป็นเดรสที่งามมากจริงๆ”

ว่าแล้วเชียว

ถึงจะกังวลนิดหน่อยเหมือนกัน แต่โล่งอกที่มันได้ผลอย่างที่คาดไว้

ที่จริงแล้ว สไตล์แบบนี้ที่เย็บผ้าไหมปักลวดลายหรูหราตามขอบชุดนี่ มันเป็นเทรนด์ที่ท่านหญิงเซอเชาว์เป็นคนคิดค้นขึ้นในชาติที่แล้วเพราะมันเป็นเทรนด์ที่จะถูกคิดค้นในอีกประมาณสามถึงสี่ปีหลังจากนี้ เธอเลยไม่แน่ใจว่าตอนนี้จะใช้ได้ผลหรือเปล่า

แต่ดูจากที่ไม่อาจละสายตาออกไปจากเดรสของเธอได้ ก็คงจะถูกใจมากทีเดียว

“ใช่แล้ว หากนำเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาตกแต่งแบบนี้ ก็จะได้เสื้อผ้าหลากหลายสไตล์เลยสินะ”

ท่านหญิงเซอเชาว์ลูบเนื้อผ้าชุดเดรสที่เธอสวมอยู่โดยไม่รู้ตัวพลางเอ่ยพึมพำไปมา

จู่ๆ ตัวตนของเธอก็กลายเป็นเหมือนหุ่นโชว์เสื้อผ้าเสียได้ แต่เธอไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก

ในเมื่อเธอใส่ชุดนี้มาก็เพราะตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ ต้องขอบคุณด้วยซ้ำไป

“ผ้าไหมที่ผลิตจากเซอเชาว์ของข้าน่าจะผสานกันได้ดีกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปทีเดียวนะ คิดอย่างไรล่ะ แคลอฮัน”

ท่านหญิงเซอเชาว์เอ่ยถามท่านพ่อ

“อา คือเรื่องนั้น…”

ท่านพ่อกำลังครุ่นคิดคำพูดที่จะใช้

แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยแทรกบทสนทนาขึ้นมา

“อัญมณีที่ติดอยู่บนชุดนี้เป็นอัญมณีจากเขตแดนของข้าเอง ท่านหญิงเซอเชาว์”

เขาคือเจ้าตระกูลไอบันเจ้าของเคราสีเทา เจอโรม ไอบัน

“เจ้าตระกูลไอบันมาทำอะไรถึงเมืองหลวงกันล่ะ”

“ท่านหญิงเซอเชาว์จากทางใต้ยังเคลื่อนไหว แล้วการที่ข้ามาที่นี่จะเป็นเรื่องใหญ่อันใดได้”

“การเดินทางบนทุ่งหญ้ากับการลำบากข้ามแม่น้ำข้ามภูเขาย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว”

ท่านหญิงเซอเชาว์กับเจ้าตระกูลไอบันโต้เถียงกันไปมา

“ทุกท่านอยู่กันที่นี่นี่เองครับ”

คราวนี้คือเจ้าตระกูลรูมันจากตะวันออก

ยกเว้นอังเกนัสจากทางตะวันตก ผู้ปกครองดินแดนแถบอื่นต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

ท่านพ่อถูกพลังของทั้งสามคนกดทับจนหอบแฮก ราวกับหากปล่อยไว้แบบนี้คงได้ขาดอากาศหายใจตายกันพอดี ส่วนชนชั้นสูงรอบๆ ต่างก็เดินวนเวียนอยู่ในละแวกนั้น เพื่อที่จะลอบฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขา

เจ้าตระกูลรูมันซึ่งมาเป็นคนสุดท้ายเอ่ยถามท่านพ่ออย่างตรงไปตรงมา

“ใช่แล้วละได้ยินว่าคราวนี้ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันวางแผนจะออกจากภาคกลางไปเปิดสาขาที่อื่นด้วยนี่นะ”

ที่ผ่านมาร้านขายเสื้อผ้าได้เปิดสาขากระจายออกไปยังเมืองใหญ่ เมืองรอบข้าง เมืองลอมบาร์เดีย และเมืองหลวงซึ่งทั้งหมดล้วนตั้งอยู่ในภาคกลางเท่านั้น

และคราวนี้ก็กำลังมองหาเมืองอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในภาคกลาง

ดูเหมือนข่าวลือจะแพร่ไปทั่วแล้ว

“คนที่ดูแลเรื่องนั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ข้า…”

ท่านพ่อเหงื่อไหลท่วมในขณะที่เอ่ยพูด

“อ๊ะ! อยู่นั่นนี่เองครับ คุณเครย์ลีบัน!”

เครย์ลีบันกำลังเดินมาทางด้านนี้พอดี เขากล่าวทักทายอย่างนอบน้อม

ภาพลักษณ์ยามสวมเสื้อคลุมผ้าไหมเข้ารูปสีน้ำเงินเข้มช่างเข้ากันได้ดีกับงานเลี้ยงหรูหรานัก

“เครย์ลีบัน เพลเลสครับ”

ท่านพ่อแนะนำเครย์ลีบันให้เจ้าตระกูลทั้งสองท่านรู้จัก

“เขาเป็นคนที่คอยช่วยดูแลการติดต่อค้าขายภายนอกที่ข้ายังไม่ชำนาญนัก และคนที่ลงมือทำงานของร้านขายเสื้อผ้าจริงๆ ก็คือคุณเครย์ลีบันคนนี้ หากมีคำถามอะไรก็…”

พูดให้ถูกต้อง คนที่ลงมือทำงานตัวจริงเป็นเธอกับเครย์ลีบันต่างหากล่ะ แต่ช่างเถอะ

ในเมื่อคนอื่นไม่รู้ถึงการมีตัวตนของเธอ ช่วงนี้คุณค่าของเครย์ลีบันจึงยิ่งกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

“โฮ่ว อย่างนั้นนี่เอง งั้นพวกเราไปดื่มไวน์องุ่นด้วยกันทางด้านนั้นสักแก้ว…”

“ข้ามีไวน์กุหลาบชั้นเลิศที่นำมาจากรูมันด้วยนะ”

เจ้าตระกูลไอบันกับเจ้าตระกูลรูมันรีบพุ่งเข้าหาเครย์ลีบันอย่างรวดเร็ว

การประชุมทางธุรกิจจึงเริ่มทันทีมันเสียตรงนั้น

รายละเอียดว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกันบ้าง ไว้เดี๋ยวเครย์ลีบันก็จะมาแจ้งให้เธอทราบทีหลังเอง ตอนนี้เธอเลยไม่ได้สนใจบทสนทนาของพวกเขานัก

พอผู้ปกครองเขตแดนอื่นๆ เข้ามาแทรก เหล่าคหบดีทั้งหลายในงานเลี้ยงที่กำลังเล็งจังหวะหาทางเข้าหา ต่างก็ไม่อาจแทรกตัวเข้ามายื่นให้ได้แม้กระทั่งนามบัตรทำได้เพียงแค่ยืนดื่มเหล้าเฝ้ามองอยู่ไกลๆ ด้วยความไม่พอใจเท่านั้น

มีเพียงแค่ท่านหญิงเซอเชาว์เท่านั้นที่ไม่เกาะติดเครย์ลีบัน

ทั้งยังเดินเข้ามาใกล้เธอกับท่านพ่อมากขึ้น แล้วเอ่ยพูด

“มาสนทนาเรื่องที่ดินเชซายูกันหน่อยมั้ยแคลอฮัน”

มันคือรอยยิ้มของผู้ชนะที่คิดวิธีการดีๆ ออก