บทที่ 58

“ฮ่าฮ่าไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ท่านป้า”

ท่านพ่อยิ้มอย่างคนพ่ายแพ้

“แน่นอนสิ คนแก่เปลี่ยนไปง่ายๆ มีที่ไหนกัน”

ท่านหญิงเซอเชาว์เองก็มีสีหน้าหยอกล้อเล่นมุกกับท่านพ่อ

“พี่น้องของเจ้าไม่มาร่วมงานด้วยหรือ”

เบเจอร์กับลอเรนซ์ไม่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้

ได้ยินว่าระยะหลังมานี่ ทั้งสองคนกำลังยุ่งอยู่กับการร่วมมือกันลองทำธุรกิจใหม่

แน่นอนว่ายังไม่มีใครทราบว่าธุรกิจที่ว่านั่นคือกิจการใด

ชานาเนสอยากจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน แต่สองแฝดดันป่วยเป็นไข้พร้อมกันทั้งคู่ ทำให้ไม่อาจมาร่วมงานได้แต่ก็ยังส่งกระดุมสำหรับตกแต่งซึ่งเข้ากับชุดที่ท่านพ่อสวมมาวันนี้ให้แทน

“ฮ่าฮ่า พวกเขายุ่งกันอยู่ไม่ใช่หรือครับ”

ท่านพ่อตอบเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ท่านหญิงเซอเชาว์กลับเดาะลิ้นเสียงดังจิจ๊ะในลำคอ

“ตั้งแต่เด็กก็ไม่เอาไหนอยู่แล้ว พี่ชายของเจ้าน่ะ ลอเรนซ์เจ้าโง่นั่นเอาแต่ยุ่งอยู่กับการเกาะขากางเกงของเบเจอร์ ไล่ตามต้อยๆ”

“อย่างนั้นหรือครับ”

“ใช่ เบเจอร์เองก็เป็นพวกโลภมากเหลือเกิน เคยกระทั่งยัดคุกกี้ส่วนที่ต้องมอบให้เจ้ากับลอเรนซ์ยัดใส่ปากในคราวเดียวจนคางยื่นด้วยนะ เป็นพวกโลภเสียจนท้องแตกก็คงยังไม่รู้ตัว”

“อุ๊ปส์!”

ให้ตายเถอะ เผลอหลุดหัวเราะออกไปซะเสียงดังเลย

“ฮึ่ม อะแฮ่ม!”

เธอรีบกระแอมไอแสร้งทำเป็นไม่ได้หัวเราะอะไร แต่แววตาของท่านหญิงเซอเชาว์ช่างร้อนแรงเหลือเกิน

ท่านหญิงเป็นคนไม่ชอบพวกไร้มารยาทหรือพวกบุ่มบ่ามเลือดร้อนเป็นไฟ

รู้สึกเหมือนหยาดเหงื่อไหลท่วมแผ่นหลัง

เธอรีบเอ่ยพูดกับท่านพ่อ

“ข้าขอไปเดินเล่นในงานหน่อยได้มั้ยคะ”

“หืม เอาสิ เทียของพ่อคงจะเบื่อแล้วสินะ ยังไงก็อย่าไปที่มืดๆ อยู่แต่ในโถงงานเลี้ยงนี้เท่านั้นล่ะ”

“ค่ะ พ่อ!”

เธอไม่ลืมกล่าวลาท่านหญิงเซอเชาว์อย่างสุภาพ แล้วเดินมุ่งไปทางอื่น

คงต้องใช้กลยุทธ์ล่าถอยเสียก่อน

“เทียของพวกเรางดงามมากเลยไม่ใช่หรือครับ ท่านป้า”

เบทริกซ์ เซอเชาว์มองแคลอฮันที่กำลังยิ้มเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

ช่วงวัยเยาว์ ความสัมพันธ์ระหว่างเบทริกซ์กับนาตาเลียนั้นค่อนข้างสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

ถึงแม้ความสัมพันธ์ของพวกนางจะเป็นพี่สะใภ้กับน้องสาวของสามีที่อาจจะกระอักกระอ่วนใจกันได้ แต่ทั้งคู่กลับใกล้ชิดกันมากจนเหมือนพี่สาวน้องสาวที่คลานตามกันมาจริงๆ

นาตาเลียเป็นฝ่ายจากโลกนี้ไปก่อน ใบหน้าที่นางแสนอาลัยนั้นเริ่มจางหายไปจากความทรงจำ ทำให้นางรู้สึกอ้างว้างเหลือเกินแต่ภาพลักษณ์อันแสนอ่อนโยนของนาตาเลียกลับยังคงมีชีวิตอยู่ราวกับโกหกยามนางมองใบหน้ายามยิ้มแย้มของแคลอฮัน

แคลอฮันได้รับนิสัยนุ่มนวลและค่อนข้างเงียบไม่พูดไม่จามาจากนาตาเลีย ทำให้นางเป็นกังวลอยู่เรื่อยว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพี่น้องที่มีนิสัยรุนแรงพวกนั้นได้หรือเปล่า

“ดูเอื่อยเฉื่อยไม่น่ามองเท่าไหร่”

“อย่างนั้นหรือครับ แต่ออกจะน่ารักนะครับ…”

ในนัยน์ตาของแคลอฮันยามมองศีรษะทุยของลูกสาวที่เดินห่างออกไปไกลนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่

“ข้าไม่ได้พูดเพราะนางเป็นลูกสาวหรอกนะครับ เทียน่ะเป็นเด็กที่ฉลาดมากจริงๆ ครับ อันที่จริงชุดที่สวมมาวันนี้เทียก็เป็นคนตกแต่งด้วยตัวเอง ติดอัญมณีตามที่นางต้องการ และก็เสริมแต่งด้วยผ้าชนิดอื่นเข้าไปด้วยน่ะครับ”

“โอ้ว อย่างนั้นหรือ”

นัยน์ตาเต็มไปด้วยริ้วรอยของเบทริกซ์หันไปมองเดรสของฟีเรนเทียอีกครั้ง

ในสายตาของนาง มันเป็นชุดที่งดงามและมีเสน่ห์มากจนทำให้ต้องเผลอมองตามอยู่เรื่อย

เรียกได้ว่านางเองก็ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ถามชื่อของคนที่ดีไซน์เสื้อผ้าชุดนั้นอยู่เหมือนกัน

แต่เด็กที่เพิ่งจะอายุได้สิบเอ็ดปีกลับเป็นคนต้นคิดอย่างนั้นหรือ

ท่านหญิงเซอเชาว์มองภาพของฟีเรนเทียที่หายเข้าไปด้านในระเบียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งใจพูดหยอกล้อ

“มีเซ้นส์ด้านความสวยความงามไม่เหมือนบิดา ค่อยโล่งอกหน่อยนะ”

“ทะ…ท่านป้า! ข้าไม่มีเซ้นส์ตรงไหน…”

เบทริกซ์กวาดสายตาไล่มองแคลอฮันจากบนลงล่างด้วยนัยน์ตาไม่พอใจแทนคำตอบ

“เกิดมาหน้าตาดีขนาดนั้น แต่กลับไม่อาจดึงเอาจุดเด่นนั่นมาใช้ แล้วยังจะพูดมากอีก”

ใบหน้าของแคลอฮันขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย เขาเปลี่ยนหัวข้อกลับมาสนทนาเรื่องฟีเรนเทียต่อ

“ทุกคนต่างก็บอกว่าเทียเหมือนข้ามาก…”

“เด็กคนนั้นเนี่ยนะ”

ท่านหญิงแสยะยิ้ม

“คนอ่อนปวกเปียกอย่างเจ้าน่ะ แตกต่างจากเด็กนั่นตั้งแต่รากเหง้าแล้ว”

“แต่ยังไงก็เป็นลูกสาวข้านะครับ ถ้าไม่เหมือนข้า…”

“ชาห์นหรือเปล่านะ ชื่อแม่ของเด็กคนนั้น”

แคลอฮันเม้มปากแน่น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็จริง แต่มันเป็นชื่อที่ยังคงทำให้เขาเจ็บปวดใจไม่เปลี่ยน

“ใช่แล้ว เด็กคนนั้นเหมือนแม่ของนางไม่มีผิด โดยเฉพาะนัยน์ตาแข็งกร้าวคู่นั้น”

นัยน์ตาสงบนิ่ง กระจ่างใส มีเป้าหมายชัดเจน เมินเฉยทุกสิ่ง

มันไม่ใช่นัยน์ตาที่เด็กอายุเพียงแค่สิบเอ็ดปีจะมีได้

แคลอฮันที่อ่อนแอแบบนี้ ทำไมถึงเลี้ยงเด็กคนนั้นให้โตขึ้นมาเป็นแบบนั้นได้กันเป็นเรื่องที่แม้แต่ท่านหญิงเซอเชาว์เองก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ

“เชซายูไม่ใช่ที่ดินที่ใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก แต่รอบข้างมีแม่น้ำและภูเขาใหญ่ เป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์มากพอทำให้ครอบครัวหนึ่งไม่ขาดแคลนเรื่องอาหารการกินเท่านั้นเอง”

ท่านหญิงพูดราวกับเชซายูเป็นแค่สวนเล็กๆ ในชนบท

เชซายูเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการคมนาคมที่เชื่อมต่อตั้งแต่อาณาจักรแลมบลู ผ่านตอนกลางของทวีป ลากยาวไปถึงทางตอนใต้ เป็นทั้งทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตอุณหภูมิอบอุ่น

ไม่ต่างอะไรจากเซอเชาว์เฉือนเนื้อชิ้นใหญ่แบ่งให้แคลอฮัน

“เดิมทีที่ดินผืนนั้นตั้งใจจะมอบให้นาตาเลียไว้เป็นสินเดิม แต่เพราะอดีตจักรพรรดิไม่ต้องการให้เขตแดนของลอมบาร์เดียเพิ่มมากขึ้นไปกว่านั้น ทำให้มันมาตกอยู่ในการครอบครองของเซอเชาว์แทนน่ะ”

“เรื่องนั้น…ไม่ทราบเลยครับ”

“บิดาของเจ้าเองก็ไม่ได้มีนิสัยพูดจาซอกแซกไปทั่ว ในเมื่อตอนนี้เจ้าเองก็มีเขตแดนในครอบครองแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครอีก”

ไหล่ของแคลอฮันสั่นสะท้านเล็กน้อย

“อย่างไรเบเจอร์ที่เป็นบุตรชายคนโตก็คงตั้งใจจะเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปสินะ ดังนั้นหากถึงตอนนั้น เจ้าก็พาบุตรสาวมายังเชซายูเสีย อย่างไรทางใต้ที่อบอุ่นก็เหมาะจะให้เด็กเติบโตมากกว่าอยู่แล้ว”

“ขอบคุณ…มากจริงๆ ครับ ท่านป้า”

แคลอฮันโค้งศีรษะขอบคุณ

เสียงพูดเจือเสียงหัวเราะของท่านหญิงเซอเชาว์ปักเข้าลงบนกลางศีรษะของแคลอฮันที่โค้งลงมา

“ไม่ได้ให้ฟรีๆ หรอกนะ”

“…ครับ?”

“หากรู้สึกขอบใจกันละก็ เปิดสาขาร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่เซอเชาว์ด้วยล่ะ”

แคลอฮันกะพริบตาปริบๆ

“เซอเชาว์ที่มีทั้งห้องเสื้อ ทั้งผ้าทอเติบใหญ่แพร่หลาย ย่อมต้องเหมาะสมกว่าที่ดินของเจ้าพวกนั้นอยู่แล้ว ไม่คิดเช่นนั้นหรือ”

แคลอฮันไม่อาจตอบอะไรออกไปได้ง่ายๆ เขาได้แต่หัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า…’ ด้วยความลำบากใจ