เธอแสร้งเดินออกมาห่างๆ ในขณะที่ลอบสังเกตท่านหญิงเซอเชาว์กับท่านพ่อไปด้วย

ไม่จำเป็นต้องแอบมองผ่านผ้าม่านในงานเลี้ยงให้คนอื่นสงสัย ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นยกแก้วไวน์ขึ้นมาตรวจสอบดูว่ามันถูกขัดจนใสแค่ไหน

การพบปะในวันนี้สำคัญมาก

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เหล่าผู้ปกครองแต่ละเขตแดนต่างก็ใช้ข้ออ้างเรื่องพิธีมอบเหรียญกิตติคุณของท่านพ่อมารวมตัวกันที่นี่เพราะต้องการให้ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันไปเปิดสาขาที่เมืองของพวกเขา

หลังจากคำนวณหลายๆ เรื่องมาแล้วล่วงหน้า เพื่อเลือกสรรผู้เข้าชิงจำนวนน้อยนิด ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือเซอเชาว์

เหตุผลมีอยู่สองเรื่องง่ายๆ

หนึ่งคือเป็นเขตแดนที่มีกิจการผ้าทอและห้องเสื้ออยู่แล้ว เธอจึงคิดว่ามันเหมาะสมที่จะหาวัสดุในการทำธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้เป็นอย่างดี อีกเรื่องก็คือ เงื่อนไขด้านภูมิอากาศทางตอนใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของเซอเชาว์

สภาพภูมิอากาศทางตอนกลางของอาณาจักร ความแตกต่างทางอุณหภูมิตลอดทั้งปีนั้นไม่ได้มีมากนัก ทั้งอากาศก็อบอุ่น

เสื้อผ้าสำเร็จรูปของร้านขายเสื้อผ้าเองก็ตัดเย็บขึ้นมาให้เหมาะสมกับเรื่องนั้น

ไม่ว่าจะทางตะวันตกที่ร้อนเกินไป หรือทางฝั่งเหนือที่หนาวเกินไป เสื้อผ้าของแต่ละเขตแดนจะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นหากจะเปิดสาขาที่นั่น พวกเธอจำเป็นที่จะต้องตัดเย็บเสื้อผ้าแบบใหม่ออกมาวางขาย

แต่หากเป็นทางใต้หรือตะวันออกที่มีสภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกัน ก็แค่ขนเสื้อผ้าเหล่านั้นไปขายก็พอแล้ว

ทว่าเส้นทางมุ่งหน้าไปยังตะวันออกนั้นต้องข้ามผ่านภูเขาหลายลูก จึงมีข้อเสียด้านความลำบากและความอันตรายอยู่มาก

ดังนั้นก็เหลือแค่ทางใต้ และใจกลางของดินแดนทางใต้ก็คือเซอเชาว์

อีกอย่างก็เป็นญาติสนิทที่รักใคร่ในตัวท่านพ่อมาก ดังนั้นเธอเลยคำนวณว่าบางทีอาจจะช่วยลดหย่อนภาษีที่ต้องชำระลงได้สักหน่อย

โล่งอกที่มองจากไกลๆ แล้วดูเหมือนบรรยากาศจะดีเหมือนเคย

แต่แล้วในจังหวะที่เธอกำลังโล่งใจยามมองใบหน้ายิ้มแย้มของท่านพ่อ

ก็พลันมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหลังระเบียง ก่อนจะดึงตัวเธอเข้าไป

“อ๊ะ?”

มันเป็นฝ่ามือที่ลดทอนแรงลงด้วยความใส่ใจเพื่อให้เธอไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็ยังทำให้รู้สึกตกใจอยู่ดี

แค่พริบตาเธอก็มายืนอยู่ตรงระเบียงมืดสลัวแทนโถงงานเลี้ยงสว่างหรูหราเสียแล้ว

“สวัสดี”

ได้ยินเสียงนุ่มที่ยังไม่แตกหนุ่มดังขึ้นจากข้างหลัง

ผมสีดำสนิทไม่ต่างจากสีท้องฟ้ายามค่ำคืน นัยน์ตาสีแดงส่องประกายท่ามกลางความมืดมิด

“สวัสดี เฟเรส”

พอเธอเอ่ยเรียกชื่อของเขาออกไป เด็กหนุ่มที่มองเธออยู่ก็ยิ้มออกมานัยน์ตาโค้งหยี มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เฟเรสยิ้มได้อย่างสดใสมากทีเดียว

“เทีย”

“จู่ๆ ก็ดึงเข้ามาแบบนี้ ตกใจหมดเลยไม่ใช่หรือไง”

“ขอโทษ”

นิสัยขอโทษไวนี่ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมเลย

แต่เด็กนี่ก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน

ร่างกายตัวเล็กผอมแห้งไม่สมวัยของตัวเองนั่นหายไปไหนแล้ว ตอนนี้เขาตัวสูงมากหากยืนข้างผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง หัวของเขาคงจะสูงเทียบประมาณไหล่อีกฝ่ายได้เลย

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีมั้ย”

เด็กหนุ่มก้มหน้ามองเธอพลางถาม

และพระจันทร์ก็ลอยพ้นผ่านหมู่เมฆได้จังหวะพอดี

ผิวขาวเนียนของเฟเรสส่องสะท้อนแสงจันทร์กระจ่างที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า

ว้าว เด็กนี่ผิวดีสุดๆ ไปเลย

ใบหน้าเนียนกระจ่างใสไร้จุดด่างดำ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ดีกินดีในสภาพแวดล้อมที่ดี

น่าภูมิใจเหมือนกันนะเนี่ย

เธอหลุดหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ

“อย่างที่บอกในจดหมายนั่นแหละ ข้าสบายดี แล้วเจ้าล่ะเป็นยังไงบ้าง ชีวิตในวังลำบากหรือเปล่า”

“…เป็นห่วงเหรอ”

น้ำเสียงของเด็กนี่ดูดีใจแปลกๆ

“แน่นอนอยู่แล้วสิ”

เป็นองค์รัชทายาทในอนาคตที่เธออุตส่าห์ช่วยจับที่จับทางในวังให้เชียวนะ

“เทีย ข้ากินอาหารเป็นอย่างดีขยันเรียนรู้ตามที่เจ้าบอก ถึงบางครั้งจะลำบากไปบ้างก็เถอะ”

“ลำบากเหรอ หรือว่าอาจารย์สอนฟันดาบจะทำให้ลำบาก”

เธอเคยได้ยินแคทเธอรีนเล่าให้ฟังเกี่ยวกับอาจารย์สอนฟันดาบของเฟเรส

เขาเป็นอาจารย์ประเภทที่เข้มงวดกับการฝึกซ้อมเป็นอย่างมาก เธอเลยเป็นห่วงเฟเรสอยู่เหมือนกัน ยิ่งเฟเรสฝึกซ้อมเข้าเรียนวิชาโหดๆ แบบนั้นโดยไม่บ่นอะไรสักคำ เธอยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

“ไม่ใช่แบบนั้น ก็แค่บางครั้ง…”

นัยน์ตาของเฟเรสมองมาที่เธอและเอาแต่มองโดยไม่พูดอะไร

“บางครั้ง?”

“เปล่า เมื่อครู่นี้น่ะ ข้าทำได้ดีมั้ย”

เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถามของเธอ แต่กลับเป็นฝ่ายถามเธอแทน

“เมื่อกี้”

“ตอนที่เข้างานพร้อมจักรพรรดิ ข้าอดทนมากเลยนะ”

เฟเรสตอบ

“ดีใจมากที่ได้พบเจ้าเสียทีหลังจากไม่ได้พบกันนาน แต่ก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน เพราะเจ้าบอกว่าจะให้คนอื่นรู้ว่าพวกเรารู้จักกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เลยอดกลั้นเอาไว้”

หรือว่านี่กำลังอยากได้คำชมจากเธอเหรอ

“เพราะฉะนั้น ข้าทำได้ดีแล้วใช่มั้ย”

อยากให้ชมจริงๆ ด้วยสินะ ใช่แล้ว ใช่ชัดๆ

ภายนอกดูโตขนาดนี้แล้วแท้ๆ

แต่ข้างในยังเป็นแค่เด็กอยู่ดีหรอกเหรอ

ฟีเรนเทียลอบถอนหายใจในใจ ก่อนจะมองหน้าเฟเรส

นัยน์ตาที่ส่องประกายระยิบระยับแม้จะอยู่ภายใต้แสงไฟสลัวคู่นั้นกำลังมองแต่เธอ

เธออยากจะตรวจดูที่ด้านหลังของเขาจริงๆ ว่ามันไม่มีหางนุ่มฟูสีดำแกว่งอยู่เหรอ

“ก้มลงมา”

เธอกวักมือสั่งเฟเรส

“หืม?”

สงสัยคงจะไม่เข้าใจความหมายคำพูดของเธอ บนใบหน้าของเด็กหนุ่มถึงได้มีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

“บอกให้ก้มลงมานี่”

เธอกระดิกนิ้วเป็นครั้งที่สอง

ตอนนั้นเองเฟเรสถึงได้ส่งเสียง ‘อ๊า’ เข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ แล้วค่อยๆ โค้งกายลง

เรือนผมสีดำนุ่มสลวยขยับเข้าใกล้เธอทีละนิด

อันที่จริงหากใครมาเห็นเข้าคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

การที่เฟเรสซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ก้มศีรษะให้เธอแบบนี้

แต่เด็กนี่กลับไม่ลังเลเลยสักนิด

“ทำได้ดีมาก”

เธอขยี้ผมเฟเรส ในขณะเดียวกันก็พูดชมเขาไปด้วย

“ทำได้ดีมากเลยนะ เฟเรส”

รอบนัยน์ตาของเด็กหนุ่มคลายตัวลงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว