บทที่ 138 ผู้มาเยือน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เผยเยี่ยนไม่เคยเห็นอวี้ถังที่เป็นเช่นนี้มาก่อน

ท่าทีเซื่องซึม คล้ายดอกไม้ที่ถูกพายุฝนโหมกระหน่ำ บอบช้ำไร้ชีวิตชีวา

เผยเยี่ยนเห็นก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

เขาชอบนางที่สดใสเต็มเปี่ยมด้วยพลังมากกว่า โดยเฉพาะยามที่นางซุบซิบนินทาคนอื่นด้วยแววตาระยิบระยับพร่างพราว แก้มสองข้างน่ารักราวกับลูกท้อ กระทั่งในดวงตายังเอ่อล้นด้วยความดีใจ กระจ่างใสเป็นประกายราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องในฤดูหนาว พาให้คนรับรู้ถึงความอบอุ่นสุขล้น

บางทีนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดยามที่เขาดูรายชื่อส่งของขวัญ จึงย้ายชื่อของสกุลอวี้ไปไว้ในบัญชีอีกเล่ม กระทั่งยามที่ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับสกุลหลี่ ยังคาดเดาว่า หากคุณหนูอวี้ได้ยินข่าว จะดีใจที่เห็นคนอื่นเดือดร้อน วิ่งโร่มาหาเขาเหมือนก่อนหน้านั้นหรือไม่

แน่นอน เขารู้ว่าตัวเองคิดเช่นนี้ไม่ถูกนัก

แต่คุณหนูอวี้เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ทั้งยังถูกเลี้ยงเป็นกุลสตรีอยู่ในห้องหับ อาจจะเป็นผู้หญิงที่เคยอ่านเพียงคัมภีร์กตัญญูเล่มเดียวเสียด้วยซ้ำ ย่อมไม่จำเป็นต้องหวังให้นางเป็นเหมือนบัณฑิตที่มีความรู้กว้างไกลเหล่านั้น

ใครจะรู้ว่าเรื่องของสกุลหลี่เริ่มแพร่สะพัดออกมา แต่ทางคุณหนูอวี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

เวลานั้นยังให้อาหมิงตรวจสอบดูว่าสกุลอวี้ส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์มาแล้วหรือยัง ครุ่นคิดว่าคุณหนูอวี้อาจจะฉวยโอกาสที่มาส่งของขวัญให้สกุลเขา หาเรื่องมาซุบซิบนินทากับเขา คาดไม่ถึงว่าสกุลเขาจัดสกุลอวี้ไว้ในรายชื่อที่ส่งของขวัญอันดับต้นๆ ส่งของขวัญไปให้ตั้งนานแล้ว แต่จนถึงวันนี้แล้วสกุลอวี้ก็ยังไม่ส่งของขวัญตอบกลับให้

เผยเยี่ยนคิดว่าบางทีแต่ละสกุลอาจมีธรรมเนียมที่ไม่เหมือนกัน สกุลส่วนมากมักชอบส่งของขวัญยามที่ใกล้ฉลองเทศกาล เพื่อแสดงความจริงใจ

เขาจึงโยนเรื่องนี้ไว้ข้างหลังชั่วคราว

จวบจนวันนี้เขาไปเยี่ยมเยือนเสิ่นซ่านเหยียน ยามที่ออกจากสำนักศึกษาประจำอำเภอบังเอิญพบเว่ยเสี่ยวชวน นึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ตั้งใจไปเยือนสกุลอวี้โดยเฉพาะ จึงได้ทราบว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับสกุลอวี้

ใครจะยังมีใจมาส่งของขวัญอีกกัน!

มิน่าเล่าเขาจึงไม่ได้ของขวัญตอบกลับจากสกุลอวี้

เผยเยี่ยนครุ่นคิด ทั้งโมโหทั้งขบขัน โมโหก็เพราะว่าล้วนถึงยามนี้แล้ว อวี้ถังยังช่วยพูดแก้ต่างให้คนที่ชื่อเจียงเฉาอะไรนั่นอีก ขบขันก็เพราะว่านางยืนก้มศีรษะอยู่ที่นี่ ไม่มีความร่าเริงเหมือนดั่งวันปกติแม้แต่น้อย เกรงว่าคงจะเป็นครั้งแรกที่นางค้อมศีรษะเช่นนี้?

“เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะไปถามดูให้” เขาเอ่ย “เดี๋ยวก็จะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว เจ้าฉลองเทศกาลกับครอบครัวอย่างสบายใจก็พอ ทางหนิงปัว สกุลพวกข้าก็มีกิจการเล็กๆ เช่นกัน ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนไปสืบข่าว ดูว่าสกุลหวังยังเหลืออะไรอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นจะให้พวกเขาชดใช้ให้สกุลพวกเจ้าก่อน”

เผยเยี่ยนมีกิจการที่หนิงปัวเช่นกัน?

อวี้ถังเงยหน้ามองเผยเยี่ยน กะพริบตาปริบๆ

เหตุใดสกุลพวกเขาจึงมีกิจการอยู่ทุกหนทุกแห่งได้กัน?

มีที่ไหนที่ไม่มีกิจการของสกุลพวกเขาบ้าง?

เผยเยี่ยนกลับลอบคิดในใจ ความเสี่ยงสูง กำไรจึงจะสูงตาม ยิ่งไปกว่านั้นสกุลอู๋ร่วมหุ้นก็เป็นความยินยอมของนายท่านอู๋เอง เดิมทีสกุลอวี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจเขา แต่เขาเข้าใจคนอย่างนายท่านอวี้ดี ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบดีกว่าต้องให้คนได้รับความเสียหาย รวมกับเงินจากการประมูลแผนที่ที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน แม้จะเสียไปก็ไม่ปวดใจ จึงใจกว้างมือเติบไม่คิดอะไร

แต่เขาก็ไม่คิดเสียบ้าง เดิมทีสกุลก็ไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายอะไร ยังคิดจะรั้งลูกสาวให้แต่งลูกเขยเข้าเรือน ไม่เก็บเงินเผื่อไว้บ้าง จะรับลูกเขยดีๆ เข้ามาได้อย่างไร

อวี้เหวินก็เป็นคนพึ่งพาไม่ค่อยได้เสียด้วย

เผยเยี่ยนถอนหายใจยาวเหยียด กังวลใจแทนเด็กสาวตรงหน้าอยู่บ้าง หากถูกบิดาและพี่ชายถ่วงรั้งเอาไว้ ย่อมน่าเสียดาย

อวี้ถังเพียงอยากอธิบายกับเผยเยี่ยนเท่านั้น ดีที่เขาให้อภัยเรื่องที่สกุลพวกนางไม่ได้ส่งของขวัญกลับคืนสกุลเผย อย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ยังดึงเผยเยี่ยนมาเกี่ยวข้อง

นางละล่ำละลักเอ่ย “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ท่านอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวเลยดีกว่า ในเมื่อนายท่านเจียงรับปากว่าจะตามเงินกลับมาก็ย่อมคืนให้สกุลพวกเราเป็นอันดับแรก ต้องคืนให้พวกเราอย่างแน่นอน อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยหารือเรื่องนี้กันใหม่”

เชื่อมั่นเจียงเฉาขนาดนี้เชียว?

เผยเยี่ยนปิดปากเงียบไม่เอ่ยอันใด

หากเจียงเฉาสามารถคืนเงินส่วนหนึ่งมาให้สกุลอวี้ได้ย่อมดีที่สุด แต่หากแค่ตอบส่งๆ ให้สกุลอวี้ ก็ให้คุณหนูอวี้เสียเงินเป็นบทเรียนแล้วกัน

เขาเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องขอตัวก่อน รอนายท่านอวี้กลับมา ข้ามีเวลาว่างจะมาเยี่ยมเขาอีกที”

อวี้ถังรับรู้ถึงความปรารถนาดีของเผยเยี่ยน

แม้ว่าส่วนมากเขาจะพูดไม่น่าฟัง แต่กลับมีจิตใจที่ดี

นางย่อมขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ส่งเผยเยี่ยนขึ้นเกี้ยว จนเกี้ยวออกจากท้ายตรอก มองไม่เห็นเงาอีกแล้ว นางจึงค่อยกลับเข้าเรือน เพียงเมื่อกลับเข้ามา นางก็รีบเร่งวิ่งไปหาป้าเฉินทันที “สกุลพวกเราเตรียมของขวัญให้สกุลเผยแล้วหรือยัง? ท่านพ่อบอกให้ส่งเข้าไปยามใด?”

หากคนสกุลเฉินร่างกายไม่แข็งแรง เรื่องธรรมเนียมในเรือนพวกนี้ย่อมส่งมอบให้ป้าเฉินโดยปริยาย

ป้าเฉินกำลังหั่นโสม เตรียมตุ๋นไก่บำรุงร่างกายคนสกุลเฉิน ฟังจบก็เผยยิ้ม นำโสมที่หั่นดีแล้ว ใส่เข้าไปในถ้วยเครื่องเคลือบเล็กๆ ด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่านบอกว่า กระดาษเฉิงซิน[1]หายากเกินไป จะส่งของขวัญอะไรก็ล้วนไม่อาจตอบแทนน้ำใจนี้ของสกุลเผยได้ จึงส่งของธรรมดาทั่วไปอย่างขนมไหว้พระจันทร์ ผ้าอาภรณ์ต่างๆ ให้เสียเลย ครั้งนี้กะทันหันเกินไป แม้ว่าจะตั้งใจครุ่นคิด ก็ไม่อาจนึกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ว่าควรส่งอะไรดี ทำได้เพียงต้องเตรียมของดีๆ ให้ในยามเทศกาลปีใหม่แล้วเจ้าค่ะ”

ก็ใช่ มารดาของนางก็ยังป่วยอยู่

อวี้ถังพยักหน้าระรัว มองบิดานำขนมไหว้พระจันทร์สี่กล่องและผ้าไหมทอสองผืนบรรจุในกล่องของขวัญ ให้อวี้หย่วนนำไปส่งที่จวนสกุลเผย

ผ้าไหมทอไม่ใช่ของหายาก แต่มีราคายิ่งกว่าทอง แม้กล่าวว่าส่งของขวัญเช่นนี้จะดูธรรมดา แต่ก็นับว่ามีความจริงใจ

คนสกุลเฉินพักฟื้นหลายวัน รวมทั้งไม่ใช่คนที่ให้ค่าทรัพย์สินเงินทองเท่าใด ไม่นานก็ลุกขึ้นจากเตียงได้ เริ่มลุกขึ้นมาเตรียมจัดการกับเทศกาลไหว้พระจันทร์

อวี้เหวินปรึกษากับคนสกุลเฉินว่า ปีนี้จะเชิญนายท่านอู๋มาฉลองเทศกาลในเรือนด้วยกันดีหรือไม่ ยังเอ่ยว่า “ปกติข้าเห็นเขาใจกว้างเปิดเผย ชอบคบค้าสมาคมสหาย ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน รู้สึกว่าเขาเรียนตำราน้อยไปหน่อยเท่านั้น นิสัยนับว่าไม่แย่เลย คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ให้ค่าเงินทองมากมาย ครั้งนี้ทำการค้าร่วมกัน ข้าจึงค่อยพบว่าที่แท้ข้างกายยังมีคนที่คุ้มค่าพอจะนับเป็นสหาย แต่ยามปกติข้ากลับดูแคลนเขาเสียได้”

คนสกุลเฉินเผยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนได้อย่างไร!”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุย นายท่านอู๋ก็มาหาอวี้เหวินด้วยใบหน้าปลดปลง “ยังดีที่เจ้าแนะนำให้ไปส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ให้สกุลเจียง เจ้าลองทายดูว่าเกิดอะไรขึ้น? ยามที่พ่อบ้านใหญ่สกุลพวกเราไปส่งของขวัญ พบเข้ากับพวกอันธพาลที่ฉวยโอกาสตอนนายท่านเจียงไม่อยู่เรือน รังแกมารดาที่เหลือเพียงคนเดียวในสกุลพวกเขา พาลเอะอะโวยวายในสกุลเจียง!”

อวี้เหวินได้ฟังก็เอ่ยอย่างโมโห “ไฉนยังมีคนเช่นนี้ด้วย? มีเรื่องอะไรก็ควรไปพูดคุยกับนายท่านเจียง นี่อะไรเห็นลูกชายเขาไม่อยู่เรือนกลับวิ่งไปรังแกท่านผู้เฒ่าที่เป็นม่าย? เช่นนั้นภายหลังเป็นอย่างไร? ได้แจ้งทางการหรือขอญาติพี่น้องเพื่อนฝูงสกุลเจียงมาช่วยเหลือหรือไม่?”

นายท่านอู๋ถอนหายใจ “แจ้งทางการไปก็ไม่มีประโยชน์ ฟังจากที่พ่อบ้านใหญ่ของข้ากลับมาพูด อันธพาลพวกนั้นถูกญาติพี่น้องฝั่งมารดาของอนุภรรยาข้าหลวงบงการ ข้าครุ่นคิดดู อนุภรรยาของข้าหลวงคงจะร่วมหุ้นด้วยเช่นกัน ยังดีที่สะใภ้ใหญ่สกุลเจียงแต่งไม่ไกลบ้าน ยามที่พ่อบ้านใหญ่ของข้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก สะใภ้ใหญ่สกุลเจียงก็เร่งตามมา รับท่านแม่เฒ่าสกุลเจียงกลับเรือนตน”

อวี้เหวินได้ฟังก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้ “ยิ่งเป็นช่วงเวลานี้พวกเราก็ยิ่งไม่อาจรบเร้าให้นายท่านเจียงคืนเงินได้”

นายท่านอู๋ผงกศีรษะ

ทั้งสองคนพูดคุยกันพักหนึ่ง ก่อนอวี้เหวินจะเชิญครอบครัวนายท่านอู๋เข้ามาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกัน ทั้งยังชี้ไปที่ปูซึ่งเลี้ยงไว้ในเรือน “ปีนี้พวกเราก็จัดงานเลี้ยงด้วยปูแล้วกัน”

คาดไม่ถึงว่านายท่านอู๋จะเป็นคนที่ชอบกินปู แทบจะตอบรับอย่างดีใจทันที “ชาสุราเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงเวลานั้นข้าจะนำมาเอง สุรานารีแดง[2]ห้าสิบปีนั้น ถูกบ่มฝังตั้งแต่ตอนที่ท่านป้าข้าเกิดแล้ว”

อวี้เหวินยิ้มอย่างยินดีจนดวงตากลายเป็นเส้นเดียว เมื่อกลับไปในห้องก็หารือกับคนสกุลเฉิน “ข้าคิดว่าเงินที่สกุลพวกเราลงทุนไปก็ให้มันแล้วไปเถิด คนอื่นเขาเป็นลูกชายที่เหลือแม่คนเดียว พวกเราก็ใช่ว่าจะขาดเงินนั้นไม่ได้เสียหน่อย ทุกคนต่างก็ลำบากกันทั้งนั้น”

คนสกุลเฉินเอ่ย “เรื่องของสกุลพวกเราเจ้าตัดสินใจก็เพียงพอแล้ว” ก่อนจะเอ่ยอย่างแปลกใจ “เมื่อครู่ยามที่นายท่านอู๋อยู่ ไฉนเจ้าไม่ปรึกษากับนายท่านอู๋ล่ะ?”

อวี้เหวินเอ่ย “เงินในสกุลพวกเราย่อมเป็นเรื่องของสกุลพวกเรา เงินของนายท่านอู๋ก็เป็นเรื่องของนายท่านอู๋ หากเมื่อครู่ข้าพูดกับนายท่านอู๋ ไม่ว่าในใจนายท่านอู๋จะคิดอย่างไร ก็ทำได้เพียงคล้อยตามข้าเท่านั้น จะไม่กลายเป็นว่าข้าสร้างความลำบากใจให้เขาหรอกรึ? นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนควรกระทำ”

คนสกุลเฉินเอ่ยชมอย่างเห็นด้วย

หลังจากอวี้ถังทราบเรื่อง ในใจก็สับสนวุ่นวาย แต่เรื่องปิติยินดีกลับตีตื้นขึ้นมาก่อน

นางหาเวลาว่างไปเรือนเก่า ดูต้นกล้าบนเขา พบว่าต้นกล้าเติบโตได้ดี จึงให้รางวัลหวังซื่อและผู้ดูแลต้นไม้คนละสองตำลึงฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ ก่อนจะขนถั่วลิสงกลับมาครึ่งลำรถ

เทศกาลไหว้พระจันทร์ในวันนี้ คนสกุลเฉินปลุกอวี้ถังให้ตื่นนอนตั้งแต่เช้า ทั้งสองคนตระเตรียมงานเลี้ยงฉลองตอนเย็นด้วยกัน หน้าประตูสกุลอวี้กลับปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งพาบ่าวรับใช้มาขอพบอวี้เหวิน

เขาอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดคลุมสีแดงพุทราปักลายค้างคาวดูภูมิฐาน ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา หน้าตาหล่อเหลา หยัดกายตรง มีเพียงดวงตาที่ปรากฏเส้นเลือดฝอยแดงประปราย ดูคล้ายอ่อนเพลียอย่างยิ่ง

เขาเข้ามาเคาะประตูด้วยตัวเอง เรียกตัวเองว่า เจียงเฉาจากซูโจว

อาเสาเป็นผู้เปิดประตู แม้ว่าจะไม่มีใครกำชับกับเขา เขาก็รู้เห็นมาบ้างว่าในสกุลเกิดเรื่องอันใดขึ้น ฟังจบ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี ทิ้งคนไว้ด้านนอกประตูอย่างเสียมารยาท วิ่งเข้าไปในเรือน พลางตะโกนเสียงดัง “นายท่าน นายท่านขอรับ นายท่านเจียงจากซูโจวมาขอรับ”

อวี้เหวินกำลังปรึกษากับคนสกุลเฉินว่างานเลี้ยงเฉลิมฉลองจะใช้เครื่องชามแบบไหน ได้ยินก็ตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหวนสติกลับมาได้

อวี้ถังที่ได้ยินความเคลื่อนไหวกลับวิ่งออกมาก่อน เอ่ยว่า “นายท่านเจียง? นายท่านเจียงที่ทำการค้ากับท่านพ่อคนนั้นรึ?”

อาเสาพยักหน้าอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง “เขาบอกว่าเขาสกุลเจียงขอรับ”

อวี้เหวินละล่ำละลักเอ่ย “รีบเชิญเข้ามา! รีบเชิญเข้ามา!” ก่อนจะออกคำสั่งกับซวงเถา “เจ้าไปบอกกล่าวกับนายท่านอู๋ข้างบ้านเสียหน่อย บอกว่านายท่านเจียงจากซูโจวมา”

ซวงเถารับคำสั่งก่อนจากไป

อวี้เหวินต้อนรับเจียงเฉาเข้ามาด้วยตัวเอง

อวี้ถังและคนสกุลเฉินหลบสอดส่องดูจากฉากกั้นลมในห้องโถง

เจียงเฉาเข้ามาก็คารวะกับอวี้เหวินอย่างนอบน้อม เอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “หลังจากข้ากลับไปได้ฟังจากท่านแม่แล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านและนายท่านอู๋ เกรงว่าแม่ของข้าคงจะถูกรังแก บุญคุณยิ่งใหญ่ไม่อาจเอ่ยขอบคุณ ได้โปรดรับการคำนับจากข้าเถิด”

พูดจบก็เตรียมจะคำนับแก่อวี้เหวิน อวี้เหวินกลับคว้าเขาไว้ก่อน ละล่ำละลักกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ไม่ว่าใครพบเรื่องอย่างนี้ล้วนยื่นมือเข้าช่วยเหลือกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ช่วยเหลือคือพ่อบ้านใหญ่ของนายท่านอู๋ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า”

เจียงเฉาสั่นศีรษะ ดูเหมือนมีคำพูดนับร้อยพันที่ไม่รู้จะเอ่ยออกมาอย่างไรดี

อวี้เหวินจึงข้ามบทสนทนาอย่างใจกว้าง เอ่ยอย่างเอาใจใส่ “ท่านแม่เฒ่าได้รับความตกใจหรือไม่? ยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ไฉนเจ้าจึงมาหลินอันอย่างกะทันหันเช่นนี้?”

เพราะวันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์น่ะสิ!

——————————

[1]กระดาษเฉิงซิน เป็นกระดาษที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด

[2]สุรานารีแดง คือสุราที่ขึ้นชื่อของแถบเจ้อเจียง มีทั้งรสหวาน เปรี้ยว ขม เผ็ดร้อน กลมกล่อมและฝาด