บทที่ 139 เป็นแขก

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ใบหน้าขาวใสของเจียงเฉาแดงระเรื่อขึ้นมา เอ่ยเสียงแผ่ว “นี่ก็ใกล้จะเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ข้าครุ่นคิดว่าอย่างไรก็ต้องมาขอบคุณท่านและนายท่านอู๋เสียหน่อย ใครจะรู้ว่านั่งเรือผิด มาถึงหลินอันก็ล่วงเข้าวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว”

อวี้เหวินไม่สงสัยอันใดอีก ดึงเขาอย่างเป็นมิตร “เช่นนั้นก็พักอยู่กับข้าที่นี่ก่อน วันนี้ยังเชิญนายท่านอู๋กินปูด้วยกัน ทางเขายังมีสุรานารีแดงบ่มห้าสิบปี ส่วนพวกเรา วันนี้ก็คุยเล่นชมจันทร์กัน ไม่เอ่ยถึงเรื่องการค้า เรื่องอะไรไม่ดีหรือลำบากใจ รอผ่านพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปค่อยพูดกันเถิด”

ดวงตาของเจียงเฉาแดงไปหมด

อวี้เหวินตะโกนบอกอาเสาให้ช่วยจัดเตรียมห้องรับรองสำหรับเจียงเฉา

เจียงเฉาเอ่ยขอบคุณไม่หยุดหย่อน

อาเสาพาบ่าวรับใช้ของเจียงเฉาออกไป

ด้านอวี้เหวินก็เอ่ยถามสถานการณ์เถ้าแก่หวังที่หนิงปัว

เจียงเฉาเผยสีหน้าหม่นหมอง “เถ้าแก่หวังก็ถูกบีบจนอับหนทาง จู่ๆ ลูกชายคนเล็กของเจ้านายเขาก็อาศัยเส้นสายน้องภรรยาที่อยู่ในสกุลผู้ตรวจการเจ้อเจียง ทางการจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ เมื่อก่อนข้าคิดว่าขอเพียงข้าพยายาม อย่างไรก็สามารถรวบรวมทรัพย์สินกลับมาได้ วันนี้จึงค่อยรู้ว่า มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”

ใต้หล้าสงบสุขมาเนิ่นนาน สกุลมั่งคั่งร่ำรวยยืนหยัดมานับร้อยปีถึงกระทั่งเรืองอำนาจบารมีมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน คนหน้าใหม่อยากจะโดดเด่นเฉิดฉาย ย่อมต้องแย่งชิงผลประโยชน์กับคนเหล่านี้ หากอยากจะชนะ ก็ไม่อาจขาดสามปัจจัยแห่งความสำเร็จ[1]ได้แม้แต่ข้อเดียว

อวี้เหวินกระจ่างใจคำพูดที่เหลือของเขาทันที ถอนหายใจเอ่ยปลอบเขา “เจ้าก็อย่าได้สูญเสียกำลังใจ สามสิบปีก่อนแม่น้ำไหลทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังก็ไหลทางตะวันตกได้ สกุลสูงส่งมั่นคั่งพ่ายแพ้ก็มีไม่น้อย”

เจียงเฉาพยักหน้าเอ่ย “ไม่อย่างนั้น ข้าก็คงไม่กล้าบากบั่นพยายามคิดทำการค้านี้หรอก”

ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าการค้าทางทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากสามารถบุกฝ่าเปิดทางได้ ภายหลังย่อมมีกำไรมหาศาล แต่หากไม่กี่ปีสามารถถีบตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับสกุลที่ร่ำรวยได้ เรื่องภายหลังก็ทำง่ายขึ้นแล้ว

ทั้งสองคนพูดคุยกัน ก่อนอาเสาจะย่องเข้ามากระซิบกับอวี้ถังและคนสกุลเฉินที่อยู่หลังฉากกั้นลม “นายหญิง คุณหนู นายท่านเจียงผู้นั้น ไม่มีกระทั่งสัมภาระเดินทาง”

คนสกุลเฉินตกใจจนหน้าถอดสี หันไปทางอวี้ถัง “นี่ นี่จะทำอย่างไรดี?”

อวี้ถังคาดการณ์ว่า เจียงเฉาอาจจะถูกคนทวงหนี้จนไม่อาจหาที่หลบภัยได้ อับจนหนทาง จึงลองมาหยั่งเชิงที่หลินอัน

แต่ว่าบางเรื่องบิดาของนางก็ไม่สนใจ นางก็ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยอะไรเช่นกัน

นางดึงคนสกุลเฉินออกมาจากห้องโถง ยืนอยู่ตรงชานเรือน เอ่ยเสียงเบากับมารดา “ในเมื่อท่านพ่อตัดสินใจจะช่วยนายท่านเจียงแล้ว พวกเราก็อย่าทำให้ท่านพ่อลำบากใจเลย มิสู้ทำเป็นไม่รู้ นำเงินไม่กี่บาทจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้นายท่านเจียง ส่งเขาออกไปอย่างเงียบเชียบก็เพียงพอแล้ว”

อวี้ถังไม่รู้ว่าชาติก่อนเจียงเฉาได้พบกับเรื่องเช่นนี้หรือไม่ แต่ดูจากการกระทำในวันปกติธรรมดาของเจียงเฉา เจียงเฉากลับไม่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียในชาติก่อน เช่นนั้นเขาย่อมไม่อาจหลบอยู่ในเมืองหลินอัน เขายังต้องหาทางดึงตัวเองขึ้นมาอีกครั้งแน่ แล้วพวกนางจะทำตัวเป็นคนขี้เหนียวไปไย

ชาติก่อน ยามที่นางตกทุกข์ได้ยาก ก็มีคนมากมายช่วยเหลือนาง เช่นนั้นนางก็ควรทำความดีส่งต่อให้คนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่สามารถทำได้

คนสกุลเฉินคิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล จึงเปิดหีบใส่เครื่องประดับนำเงินให้อาเสา

อวี้เหวินไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย

แต่ยามที่เจียงเฉาเข้ามาในห้องโถงด้วยใจที่บีบรัดกลับมองเห็นอย่างชัดเจน

ด้านหลังฉากกั้นลมมีคนอยู่ หากไม่ใช่ผู้หญิงในเรือนของสกุลอวี้ก็คงเป็นสหายที่นายท่านอวี้เพิ่งจะพูดด้วยเมื่อครู่นี้ บ่าวรับใช้ที่พาเขาเข้ามาไปจัดการห้องรับรองแขกให้เขาแล้ว ยามนี้กลับไปด้านหลังฉากกั้นลม แปดถึงเก้าในสิบย่อมพบว่าเขาไม่มีสัมภาระเดินทางจึงไปบอกกับคนที่อยู่หลังฉาก เช่นนั้นคนที่อยู่หลังฉากกั้นลมคงจะเป็นนายหญิงอวี้

เพียงไม่รู้ว่านายหญิงอวี้ผู้นั้นสวมกระโปรงสีเขียวเข้มแปดจีบหรือสวมกระโปรงทรงแคบสีขาวกันแน่?

ผู้ที่สวมกระโปรงทรงแคบสีขาว เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสาวใช้

สกุลอวี้คงพบว่าสภาพเขาทุลักทุเล

นายท่านอวี้จะหาข้ออ้างไล่เขาออกไป? หรือจะรั้งเขาไว้สักพักอย่างที่เขาคาดหวังกัน?

เจียงเฉาคิดสับสนวุ่นวายในใจ ทว่ากลับจิบชาด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง

นายท่านอู๋ได้รับข่าวก็รีบตามมา เพราะมีเจียงเฉา แผนเดิมที่พวกเขาสองสกุลจะจัดงานเลี้ยงกินปูชมจันทร์ในลานบ้านด้วยกันจึงกลับตาลปัตรไปหมด กลายเป็นนายท่านอู๋ อวี้เหวิน อวี้ป๋อ อวี้หย่วน เจียงเฉาและลูกชายทั้งสองของนายท่านอู๋ดื่มสุราชมจันทร์อยู่ลานกว้างด้านหน้า สตรีของสกุลอวี้และสกุลอู๋นั่งอยู่ที่โต๊ะเรือนด้านหลังอีกตัว

นายหญิงอู๋ก็ทราบเรื่องการลงทุนที่ล้มเหลว ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสพูดคุยกับคนสกุลเฉิน ยามนี้จึงอดไม่ได้ที่จะดึงมือคนสกุลเฉินเอ่ยขึ้นมา “ยอมสละก็สละ ไม่ยอมสละ จะได้กลับคืนมาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องทรัพย์สินในสกุล เดิมทีก็เป็นพวกผู้ชายที่รับผิดชอบหาเงิน ยามที่หาเงิน พวกเราหัวเราะยิ้มรับตามก็เพียงพอแล้ว เงินที่เสียหาย ในใจพวกเขาก็คงทุกข์ทนเช่นกัน ยิ่งไม่อาจพูดบั่นทอนกำลังใจกันอีก ข้าคิดว่ามีเพียงข้าที่เป็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าน้องสะใภ้ยังใจกว้างยิ่งกว่าข้า เชิญสกุลพวกเรามากินปูด้วยกัน ข้าขอดื่มให้น้องสะใภ้แล้วกัน” พูดจบก็ยกสุราจินหวาด้านหน้าขึ้นมา

อวี้ถังอดเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ต่อนายหญิงอู๋ไม่ได้

คำพูดนี้ของนางต้องการโน้มน้าวคนสกุลเฉินอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อก่อนอวี้ถังเพียงรู้สึกว่านางเป็นคนที่ตีสนิทได้กับทุกฝ่าย รู้จักวางแผนหาประโยชน์ คาดไม่ถึงว่านางยังมีความคิดจิตใจเช่นนี้ มิน่าเล่าคนอื่นจึงชอบเชิญนางไปเพิ่มบรรยากาศในงานเลี้ยงต่างๆ

นางชนแก้วกับนายหญิงอู๋อย่างนับถือ

นายหญิงอู๋กลับคล้ายคว้าจับนางไว้ เริ่มพูดเรื่องงานแต่งขึ้นมา

อวี้ถังแทบนั่งไม่ติดที่

คนสกุลหวังหัวเราะลั่น กู้สถานการณ์ให้หลานสาว “เรื่องของนางไม่รีบหรอก หาคู่ที่เห็นพ้องต้องใจกันย่อมสำคัญที่สุด”

นายหญิงอู๋พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เห็นคนสกุลเซียงเอาแต่นั่งดื่มชากินขนมไหว้พระจันทร์อยู่ตรงนั้น ก็คีบปูวางในถ้วยคนสกุลเซียงอย่างเอาใจใส่ “เจ้าก็ชิมดู ปูนี้ย่อมขายได้ราคาดี เนื้อแน่นสวย หาได้ยากยิ่ง”

คนสกุลเซียงฟังจบ กลับหันไปขอความช่วยเหลือจากคนสกุลหวัง

หางตาปลายคิ้วของคนสกุลหวังล้วนเต็มไปความปลื้มปริ่ม “ขอบคุณนายหญิงอู๋อย่างยิ่ง เพียงแต่ลูกสะใภ้ของข้า หลายวันนี้ต้องระวังเรื่องอาหาร ปูมีฤทธิ์เย็น ไม่กล้ากิน รอยามนี้ในปีหน้า ข้าจะเชิญทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงกินปูกันอีกครั้ง”

นายหญิงอู๋ตกตะลึง ไม่นานก็เผยความปลื้มปีติยินดีเหมือนคนสกุลหวังเมื่อครู่ เอ่ยติดต่อกัน “ยินดีด้วยๆ” ทั้งกล่าวต่อ “ปีหน้าท่านอย่างได้ลืมเชียว”

“ไม่ลืม! ไม่ลืม!” คนสกุลหวังหน้าบานเป็นกระด้ง คนสกุลเซียงกลับค้อมศีรษะอย่างเขินอายอยู่บ้าง

อวี้ถังจับต้นชนปลายไม่ถูก

ยามนี้คนสกุลเฉินจึงหัวเราะลูบศีรษะลูกสาว “เด็กโง่ เจ้ากำลังจะได้เป็นอาแล้ว”

อวี้ถังพลันกระจ่างใจทันที

มิน่าเล่าอวี้หย่วนคล้ายอยากพูดอะไรกลับลังเลไม่พูด ไม่แปลกใจที่ป้าสะใภ้มายืมผ้าที่เรือน…

อวี้ถังร้อง ‘ไอหยา’ ขึ้นมา ตำหนิคนสกุลเซียง “พี่สะใภ้ก็ไม่บอกข้าสักคำ”

ตนสกุลเซียงหน้าแดงก่ำเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยขัดเขิน “ก็เพิ่งจะสามเดือน…”

ชาติก่อน อวี้หย่วนไม่มีบุตรอยู่เรื่อยมา

ชาตินี้ นางและอวี้หย่วนต่างก็สามารถเป็นพ่อคนแม่คนได้

อวี้ถังน้ำตารื้นขึ้นมา ยกแก้วสุราดื่มให้กับคนสกุลเซียง

คนสกุลเซียงหัวเราะ แย่งแก้วสุราจากอวี้ถัง “เด็กคนนี้ เลอะเลือนเสียแล้ว ยามนี้พี่สะใภ้เจ้าดื่มสุราได้ที่ไหน หากรู้เช่นนี้คงจะบอกเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว”

พวกนายหญิงอู๋พากันหัวเราะ

อวี้ถังกลับดื่มอยู่หลายแก้วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยามที่กลับห้อง ฝีเท้าจึงไม่มั่นคงอยู่บ้าง

ด้านเจียงเฉา แม้จะเมากลับมีสติ กลับถึงห้องก็ดื่มน้ำชาเข้มสองแก้ว ในที่สุดจึงสร่างเมาขึ้นมาบ้าง ถามเด็กรับใช้ที่ยังสาละวนรินชาให้เขาทันที “คนสกุลอวี้พูดอะไรบ้าง?”

เด็กรับใช้ละล่ำละลักตอบ “ไม่ได้พูดอะไรขอรับ ยังรับคำสั่งจากนายหญิงพวกเขา ซื้อเสือผ้าจำนวนหนึ่งทั้งนำเงินยี่สิบตำลึงมาให้ กล่าวว่าให้นายท่านใช้อย่างประหยัด ข้าก็ได้รับมาสองตำลึงเช่นกัน”

เป็นสกุลที่ใจกว้างดังที่คาด

เจียงเฉาถอนหายใจยาวเหยียด

หลายวันมานี้ถูกคนทวงหนี้ กลัวว่าจะทำให้มารดาเดือดร้อน จึงไม่กล้าแม้แต่จะกลับเรือน กระทั่งยังไม่มีเงินซื้อของขวัญให้สกุลอวี้และสกุลอู๋

บุญคุณครั้งนี้ ทำได้เพียงคืนภายหลังเท่านั้น

เขานึกถึงกระโปรงสีเขียวเข้มและสีขาวหลังฉากกั้นลม

ล้วนเป็นคนที่จิตใจดี

เขาครุ่นคิดอย่างสะเปะสะปะ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปยามไหน เมื่อตื่นมาวันที่สอง ไม่เพียงฟ้าสว่างจ้า แต่ยังล่วงสู่ยามซื่อ[2]แล้ว เด็กรับใช้กำลังนั่งนิ่งเงียบหน้าเตียงเขาอย่างเบื่อหน่าย

“อาโจว” เขาเรียกเด็กรับใช้ไปครั้งหนึ่ง

อาโจวตกใจยกใหญ่ ลุกขึ้นยืนทันที “นายท่าน ท่านค่อยยังชั่วแล้วกระมัง! นายท่านอวี้มาตั้งแต่เช้าตรู่ เห็นท่านยังพักอยู่ จึงไม่ได้ปลุกท่าน เอ่ยเพียงว่าหากท่านตื่นกินข้าวเช้าเสร็จสรรพแล้วให้ไปห้องหนังสือ เขาและนายท่านอู๋รอท่านอยู่ที่นั่นขอรับ”

เจียงเฉานวดขมับ ยามนี้จึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานยามที่อยู่ในงานเลี้ยงอวี้เหวินชวนเขาไปเที่ยวเล่นในหลินอัน

ดูท่าเขาจะตื่นสายเกินไป

อาการเมาค้างนั้นยากจะรับได้จริงๆ เจียงเฉาล้างหน้า กินข้าวเช้า จวบจนระหว่างเดินไปหาอวี้เหวินที่ห้องหนังสือจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาอย่างช้าๆ

อวี้เหวินและนายท่านอู๋ตัดสินใจพาเจียงเฉาไปวัดเจาหมิง แล้วค่อยไปเขาเทียนมู่

ไหนเลยเจียงเฉาจะมีใจเที่ยวสนุก แต่ไมตรีย่อมยากจะปฏิเสธ ท้ายที่สุดยังคงนั่งรถม้าสกุลอู๋ไปยังวัดเจาหมิง

ระหว่างทาง นายท่านอู๋ก็ไล่เลียงโบราณสถานอันเลื่องชื่อลือนามทั้งเรื่องที่น่าสนใจของเมืองหลินอันให้เขาฟัง ในนั้นยังเอ่ยถึงต้นเหมยเก่าแก่ของสกุลเผย “…คนเฒ่าคนแก่พูดว่ามาพร้อมกับต้นสนตื่นรู้นั้นของวัดเจาหมิง เพียงแต่ต้นหนึ่งอยู่ตะวันออก อีกต้นอยู่ตะวันตก เป็นต้นไม้สองต้นที่เก่าแก่มากที่สุดในเมืองหลินอันของพวกเรา แต่ก็ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง”

อวี้เหวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น่าจะปัญญาชนพวกนั้นปั้นเรื่องขึ้นมามากกว่า คำพูดนี้ข้ายังคงเคยได้ยินเป็นครั้งแรก”

เจียงเฉากลับใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งน้ำเสียงยังแหลมสูงอยู่บ้าง “พวกเจ้าคงไม่ได้หมายถึงสกุลเผยหรอกกระมัง? สกุลเผยของตรอกเสี่ยวเหมย? สกุลเผยที่มีจิ้นซื่ออยู่ในเรือนสามคนนั่น! ฟังจากน้ำเสียงของพี่ชายทั้งสอง ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับสกุลพวกเขาอยู่บ้าง?”

นายท่านอู๋งงงัน “ข้ากำลังพูดถึงสกุลเผยตรอกเสี่ยวเหมยพอดี พวกเราและสกุลเผยเป็นคนบ้านเดียวกัน ย่อมรู้จักกัน แต่หากจะพูดถึงความคุ้นเคย นายท่านอวี้ย่อมคุ้นเคยกว่าข้ามาก พวกเขาล้วนเป็นบัณฑิตเหมือนกัน ร้านค้าของนายท่านอวี้เปิดกิจการ นายท่านสามก็ยังมาอวยพรด้วยตนเอง”

นี่ช่างเรียกว่าจู่ๆ ก็มีแสงสว่างปรากฏที่ปลายอุโมงค์!

เจียงเฉากดความตื่นเต้นไว้ในใจไม่ไหว เอ่ยว่า “พี่ชายทั้งสองนับว่าช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่งแล้ว”

นายท่านอู๋และอวี้เหวินหันหน้ามองกัน เจียงเฉาเอ่ยอย่างตื้นตัน “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าลูกชายคนเล็กของเจ้านายเถ้าแก่หวังอาศัยเส้นสายผู้ตรวจการเจ้อเจียงจึงทำให้เถ้าแก่หวังทิ้งเรือนสละทรัพย์สินหนีวุ่นหรอกรึ? ข้าขบคิดมาตลอดว่าสามารถอาศัยข้าหลวงหนิงปัวได้หรือไม่ เมื่อครู่คำพูดของพี่ชายทั้งสองกลับเตือนสติข้า แทนที่ข้าจะมองข้ามสิ่งใกล้ตัวไปขอร้องข้าหลวงหนิงปัว ยังมิสู้เชิญนายท่านสามออกหน้า”

นายท่านอู๋และอวี้เหวินฟังเข้าใจเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันอีกครั้ง

นายท่านอู๋เอ่ยอย่างใคร่ครวญ “เจ้าหมายความว่า ให้พวกข้าขอร้องนายท่านสามสกุลเผยออกหน้าช่วยตัดสินความ? หรือสกุลเผยและข้าหลวงหนิงปัวมีความสัมพันธ์อะไรกันอย่างนั้นรึ?”

นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก สิ่งที่พวกเขากลัวก็คือ ครั้งนี้เจียงเฉามาหลินอันอย่างกะทันหัน อาจจะตั้งใจมาขอร้องเผยเยี่ยนอยู่แล้วก็ได้

พวกเขาเป็นคนกระทำเรื่องอย่างใจกว้าง แต่กลับไม่ใช่คนโง่ ไม่อาจยอมให้คนหลอกใช้ประโยชน์!

——————————

[1]สามปัจจัยแห่งความสำเร็จ ได้แก่ จังหวะและโอกาส พื้นที่ภูมิศาสตร์ และความสามัคคีของพรรคพวก

[2]ยามซื่อ เวลาประมาณ 09:00 – 10:59 น.