ตอนที่ 79-1 คำขู่ของบัณฑิตขี้โรค

ชายาเคียงหทัย

“ไว้ชีวิตด้วย!”

 

 

           “จั๋วจิ้ง!” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกเสียงขรึม แววตาองครักษ์ลับสามขรึมไป รีบเก็บกระบี่ลงก่อนดีดตัวขึ้นกลางอากาศไปอยู่บนต้นไม้ที่ห่างไปไม่ไกล เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่งของเยี่ยหลีจึงมีถึงสามคนที่อยู่บนต้นไม้ พร้อมที่จะเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ ส่วนอีกฝ่ายหากยังไม่สามารถควบคุมฝูงงูได้ทันการณ์ก็ถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก

 

 

           ชายวัยกลางคนร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดและเครื่องประดับอย่างคนหนานเจียงเดินออกมาจากในป่า ลวดลายบนชุดของชายผู้นั้นเหมือนกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ทั้งยังรังสีอย่างผู้มีตำแหน่งใหญ่ที่แผ่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าเขาจะต้องเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่สักคนของชนเผ่าหลัวอีปู้อย่างแน่นอน

 

 

ชายวัยกลางคนผู้นั้นเดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ระหว่างที่เดินมาฝูงงูค่อยๆ หลีกทางออกให้เขา ดูจะกลัวรังสีของคนที่ย่างกรายเข้ามาเป็นอย่างมาก “สหายจากต้าฉู่ทุกท่าน ผู้น้อยได้ล่วงเกินพวกท่านอย่างร้ายแรง ขอได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ชนเผ่าข้าขอรับรองแขกที่มาทุกท่านอย่างแขกชั้นสูง”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มเย็นในใจ ร้ายแรงหรือ ชายผู้นี้อยู่ในป่ามาตั้งแต่ต้น จนเมื่อลูกชายของตนอยู่ในอันตรายแล้วจึงค่อยปรากฏตัวมาให้เห็น มาตอนนี้กับอีแค่บอกว่าร้ายแรงประโยคเดียว คิดว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปหรือ

 

 

           หานหมิงซียืนอยู่บนต้นไม้ เงาสูงยาวขยับขึ้นลงตามแรงไหวของกิ่งไม้ “ร้ายแรงมากพอจริงๆ หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ คุณชายของท่านมีพฤติกรรมเช่นนี้ ท่านกล้าให้เขาออกไปไหนมาไหนข้างนอกได้อย่างไร”

 

 

สีหน้าของชายวัยกลางคนไม่สู้ดีนัก เขาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มก่อนกวาดตามองเขารอบหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นกลายเป็นประหนึ่งไม้ไผ่ดำที่ถูกไฟเผาไปในทันที เขาได้แต่หดตัวถอยไปทางด้านหลังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

 

 

เมื่อเห็นเช่นนั้นชายวัยกลางคนจึงได้ส่งเสียงเหอะขึ้นเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาประสานมือคารวะคณะเยี่ยหลี “ผู้น้อยเล่อเจียง เป็นหัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ นี่เล่อหนาน บุตรชายของข้าน้อย ที่ได้ล่วงเกินท่านไปนั้นขอให้แขกจากแดนกลางทุกท่านโปรดอภัยด้วย” หัวหน้าชนเผ่าท่านนี้ไม่เพียงมีรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งกว่าบุตรชายของเขาเท่านั้น แต่ด้วยท่าทางการพูดการจาทุกอย่างทำให้ดูไม่ออกเลยว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน

 

 

           เยี่ยหลีพูดว่า “ถึงแม้ธรรมเนียมในการต้อนรับแขกของชนเผ่าท่านจะทำให้ผู้คนตื่นกลัวอยู่บ้าง แต่ข้าเห็นว่าท่านหัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ควรให้คนไปจัดการเก็บกวาดเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยนั้นก่อนดีหรือไม่” พวกเขายืนอยู่ในจุดที่มียากันงูล้อมไว้รวมถึงมีกองไฟที่ยังปะทุอยู่ ฝูงงูที่กระจัดกระจายหนีหายไปคนละทิศละทางพวกนั้น หากปล่อยไว้นานแล้วค่อยส่งคนออกตามหาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถตามกลับมาได้ทั้งหมด

 

 

หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้พยักหน้า ก่อนหันไปโบกมือให้หมองูที่ยืนอยู่รอบๆ หมองูทั้งหลายจึงได้เริ่มเป่าขลุ่ยขึ้นอีกครั้ง และมีบางคนที่เดินออกไปทางอื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาออกไปตามหางูที่เลื้อยหนีไปทั่วนั่นเอง

 

 

เมื่อสั่งการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้จึงได้หันกลับมายิ้มให้คณะเยี่ยหลี “ทุกท่านเดินทางผ่านมายังเขตแดนของชนเผ่าข้า แต่ถูกความไร้มารยาทของเล่อหนานทำให้ทุกท่านต้องตกใจ เช่นนั้นพวกท่านไปพักผ่อนกันที่ค่ายของพวกเราดีหรือไม่ ถือเสียว่าเป็นการขอโทษและชดเชยให้พวกท่าน”

 

 

           เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง หันมองชายทั้งสามที่อยู่บนต้นไม้ หานหมิงซีทำหน้าอย่างไรก็ได้ และแน่นอนว่าองครักษ์ลับสามก็ไม่มีทางมีความเห็นขัดแย้งกับเยี่ยหลี แต่บัณฑิตขี้โรคกลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเรากำลังรีบร้อนเดินทาง ไม่รบกวนท่านหัวหน้าเผ่าเล่อเจียงจะดีกว่า”

 

 

           หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมส่ายหน้า “นี่จะเรียกว่าเป็นการรบกวนได้อย่างไร การทำให้แขกจากดินแดนกลางต้องตกใจเช่นนี้ เป็นการทำลายชื่อเสียงการต้อนรับแขกที่ดีของชนเผ่าหลัวอีปู้เรา อย่างไรก็ขอให้พวกท่านทุกคนไปพักผ่อนที่ค่ายของข้ากันก่อนเถิด วันพรุ่งข้าน้อยจะให้คนไปส่งพวกท่านถึงเมืองหลวงเอง” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนต่างนึกเบ้ปากในใจ คนหนานเจียงขึ้นชื่อเรื่องรังเกียจชนต่างถิ่นเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นนอกจากพวกพ่อค้าที่ใจกล้ากับคนที่มีศิปละการป้องกันตัวแล้ว คนจากดินแดนกลางทั่วไปมิมีผู้ใดกล้าเข้ามาในเขตหนานเจียงอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับคนที่เกิดและอาศัยอยู่ในหนานเจียงที่เป็นคนชนเผ่าอื่นแล้ว ชนเผ่าหลัวอีปู้ที่มีเขตแดนติดกับต้าฉู่ถือได้ว่ามีการต้อนรับแขกต่างถิ่นอย่างอบอุ่นมากแล้ว หากได้คนท้องถิ่นของหนานเจียงช่วยนำทาง คงเดินทางได้ง่ายขึ้นมาก

 

 

           “เช่นนั้น…ก็ขอรบกวนท่านหัวหน้าเผ่าด้วย” เมื่อเห็นบัณฑิตขี้โรคตกปากรับคำ เยี่ยหลีจึงได้แต่เลิกคิ้วขึ้น มิได้เอ่ยปากขัดแต่อย่างใด

 

 

           หัวหน้าชนกลุ่มน้อยดูจะดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบร้องเรียกบ่าวที่ตามติดมาให้มาช่วยแขกทั้งหลายเก็บข้าวของ พวกเยี่ยหลีทั้งสามคนมิได้มีข้าวของอันใดมากมายอยู่แล้ว จึงเพียงก้มลงไปหยิบห่อผ้าที่วางอยู่บนก้อนหินข้างๆ โยนขึ้นไปให้องครักษ์ลับสามที่อยู่บนต้นไม้เท่านั้น ส่วนของที่ติดตัวไว้ก็เก็บไว้กับตัวเช่นเดิม

 

 

บัณฑิตขี้โรคเองก็ไม่ค่อยมีของติดตัวเช่นเดียวกัน แต่นายท่านเหลียงนั้น ถึงจะมีหัวหน้าพ่อบ้านและองครักษ์คอยช่วยจัดการแต่ก็ยังใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทีเดียว แต่ที่เขาคอยระมัดระวังไม่ให้คนของหนานเจียงมาแตะต้องข้าวของของเขานั้น ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกสงสัยว่า ในห่อของที่ดูใหญ่โตนั้นมีอันใดอยู่กันแน่ คะเนจากน้ำหนักแล้วก็ไม่น่าใช้แก้วแหวนเงินทองเสียด้วย

 

 

           จุดที่หลัวอีปู้ตั้งเป็นค่ายที่อยู่อาศัยอยู่ห่างไปไม่ไกล ขี่ม้าไปไม่ถึงหนึ่งเค่อดีก็ถึงยังที่หมาย แน่นอนว่าม้าตัวเดิมที่พวกเขาขี่มานั้นถูกฝูงงูทำให้ตกใจจนหนีไปหมดแล้ว ตัวใดที่มิได้วิ่งหนีไปก็อาการไม่สู้ดี พวกเขาจึงใช้ม้าที่หลัวอีปู้นำมาให้แทน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เยี่ยหลีไม่คัดค้านเรื่องที่จะไปยังค่ายของพวกเขา เพราะนอกจากค่ายนี้แล้ว ที่ต่อไปที่จะมีชาวบ้านอยู่และสามารถหาซื้อม้าได้ คงต้องเดินทางอีกอย่างน้อยๆ สองร้อยลี้ หากไม่มาที่นี่แล้ว ก็หมายความว่าเส้นทางต่อจากนี้พวกเขาอาจต้องอาศัยการเดินเท้าเอา

 

 

           ค่ายของหลัวอีปู้ตั้งอยู่ช่วงกลางภูเขา เส้นทางที่ใช้มิได้ลึกลับหรือยากลำบากอย่างที่คนจากดินแดนกลางเล่าลือกันถึงที่ตั้งค่ายของหนานเจียง อาคารบ้านเรือนไม้แต่ละหลังตั้งอยู่ห่างๆ กันตรงส่วนกลางของภูเขา ด้วยเพราะดึกมากแล้ว หัวหน้าชนเผ่าจึงได้พาพวกเขาไปยังอาคารที่มีไว้สำหรับรับรองแขกโดยเฉพาะ พร้อมทั้งสั่งให้คนนำอาหารและน้ำร้อนมาให้ แล้วจึงได้พาเล่อหนาน ผู้เป็นบุตรชายที่เอาแต่ยืนตัวลีบไม่กล้าพูดกล้าจามาขอตัวกลับไป

 

 

           สาวๆ ที่แต่งกายด้วยชุดจากต่างเผ่าถูกเชิญให้ออกไป หานหมิงซีใช้น้ำล้างหน้าล้างตาด้วยความสบายใจ ก่อนรำพึงรำพันอย่างชุ่มชื่นใจว่า “ถึงอย่างไรมีห้องให้พักก็ดีกว่าจริงๆ สินะ ถ้ารู้เช่นนี้พวกเรามาขอพักอาศัยที่หลัวอีปู้นี่เสียแต่แรกก็คงดีหรอก”

 

 

เยี่ยหลีที่นั่งอยู่อีกด้านกำลังมองข้าวปลาอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัย พร้อมพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหากพวกเราเดินทางมาขออาศัยที่นี่ ตกกลางคืนท่านจะเจองูอยู่ตามที่นอนและในห้องของท่านหรือไม่”

 

 

           หานหมิงซีนึกภาพตามที่เยี่ยหลีว่าแล้วอดขนลุกขึ้นไม่ได้ เขาส่ายหน้าพร้อมหันมาหัวเราะกับเยี่ยหลีว่า “จะว่าไปนะจวินเหวย เจ้าระวังไว้เสียหน่อยก็จะดี สาวๆ ทางหนานเจียงเป็นสาวๆ ที่มากด้วยอารมณ์รัก และชอบคุณชายที่ผิวขาวสะอาดสะอ้านอย่างเจ้าเป็นที่สุด ระวัง…แค่กๆ…” เขากางพัดขึ้นปิดหน้า หัวเราะด้วยความร้ายกาจ

 

 

เยี่ยหลีไม่ยอมให้ถูกหัวเราะเยาะอยู่ฝ่ายเดียวจึงตอบกลับไปว่า “พี่หานวางใจเถิด หากข้ามีวาสนาเช่นนั้น ข้าจะไม่มีทางลืมแบ่งปันกับท่านแน่นอน อีกอย่าง…ที่ค่ายแห่งนี้ก็มิได้มีคนที่เฝ้าคิดถึงคะนึงหาใบหน้าของข้าเสียด้วย”

 

 

เพียงพูดถึงเล่อหนาน ใบหน้ายิ้มแย้มของหานหมิงซีก็หุบฉับลงทันที เขาส่งเสียงเหอะเบาๆ พร้อมแววตาเย็นเยียบ คุณชายเฟิงเย่ว์เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่หนึ่งเลยล่ะ จะบอกให้

 

 

           องครักษ์ลับสามยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่ปิดสนิท เขารอจนทั้งสองพูดคุยกันเสร็จแล้วจึงได้พูดเสียงเบาว่า “มีคนอยู่ข้างนอกขอรับ”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ลุกยืนขึ้นพร้อมสะบัดแขนเสื้อดับเทียนที่จุดอยู่บนโต๊ะ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนๆ ส่องลอดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาเพียงเล็กน้อย

 

 

ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดแต่ก็ไม่กระทบกับการเคลื่อนไหวของเยี่ยหลี นางเดินเรื่อยๆ ไปข้างองครักษ์ลับสาม “ไม่ได้ลอบสังเกตพวกเรานี่”

 

 

องครักษ์ลับสามพยักหน้า ชี้ไปทางอาคารหลังข้างๆ “ลอบสังเกตพวกเขาขอรับ แต่ก็มีคนหนึ่งที่มองมาทางพวกเรา คงเพียงมองเลยมาเท่านั้น”

 

 

หานหมิงซีเองก็ทำความคุ้นเคยกับความมืดภายในห้องได้อย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะเสียงเบา “คนพวกนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงหรือ เช่นนั้นพวกมันจะลากพวกเรามาด้วยทำไม”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ในเมื่อพวกมันมีแผนการ อย่างไรเสียก็ต้องปรากฏออกมาให้เห็น เหนื่อยกันมาทั้งคืนแล้ว พวกเราควรพักผ่อนกันเสียก่อน”

 

 

           องครักษ์ลับสามพยักหน้า แล้วชี้ไปทางห้องนอนที่อยู่ด้านใน “คุณชายเข้าไปพักด้านในเถิด ข้ากับคุณชายหานจะอยู่เฝ้าที่ด้านนอกเอง”

 

 

           หานหมิงซีคิดอยากเอ่ยขัด แต่กลับเห็นเยี่ยหลีพยักหน้าหมุนตัวเดินเข้าห้องไปด้วยไม่ลังเล พร้อมหันมาโบกมือให้ทั้งสองก่อนเข้าไปนอนพักด้านใน

 

 

หานหมิงซีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยความน้อยใจว่า “ข้าก็อยากพักบ้างนี่” ตอนอยู่ในป่าคนที่หลับไม่สนิทมิได้มีเพียงจวินเหวยคนเดียวเสียหน่อย

 

 

องครักษ์ลับสามเพียงปรายตามองเขาอย่างเย็นชา แล้วจึงชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ไผ่ที่วางอยู่ในห้องโถง “ท่านไปนอนที่นั่นก็ได้”

 

 

หานหมิงซีมิได้ตอบอันใด เก้าอี้ไม้ไผ่นั่นยาวถึงครึ่งตัวเขาหรือ ก็เห็นอยู่ว่าเตียงข้างในนั่นใหญ่ออกจะตาย

 

 

ดูเหมือนองครักษ์ลับสามจะอ่านใจเขาได้จึงได้ย้ายตนเองมาอยู่หน้าประตูห้องที่เยี่ยหลีเดินเข้าไป พร้อมยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงด้วยสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยน ความหมายของเขาชัดเจนมาก หากหานหมิงซีต้องการที่จะเข้าไปจะต้องผ่านเขาไปให้ได้เสียก่อน

 

 

หานหมิงซีจึงได้แต่เดินไปนอนขดตัวพักผ่อนบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างโกรธๆ ในใจนึกเสียใจและบ่นไม่หยุดว่า เหตุใดเขาถึงได้พูดว่าจะพักกับจวินเหวยด้วยเนี่ย