ตอนที่ 78-3 เข้าเขตหนานเจียงครั้งแรก

ชายาเคียงหทัย

หานหมิงซีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนกระโดดขึ้นต้นไม้ไปมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็กระโดดกลับลงมา ก่นด่าเสียงต่ำว่า “เขตหนานเจียงนี่มันแย่จริงๆ ข้ามาทีไรเป็นได้เรื่องทุกที งูมาจากที่ใดเยอะแยะกันนะ”

 

 

           ไม่มีใครสนใจเสียงบ่นของเขา องครักษ์ลับสามหยิบสารพัดยากันแมลงพิษงูพิษที่เตรียมไว้แล้วออกมา บัณฑิตขี้โรคส่ายหน้า “พวกมันมีเยอะเกินไป คงใช้ไมได้ผล”

 

 

           คนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่มีทางนึกภาพออกว่าน่ากลัวเพียงใด ภายในค่ำคืนอันมืดมิด มีกลุ่มงูอสรพิษเลื้อยมาจากทุกสารทิศ

 

 

“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!” นายท่านเหลียงตะโกนร้องถามขึ้นเสียงดัง พ่อบ้านที่อยู่ข้างกายเขาตกใจจนหน้าไร้สีเลือด แข้งขาอ่อนลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้นเสียนานแล้ว

 

 

           “หุบปาก!” บัณฑิตขี้โรคพูดเสียงดังขึ้น ก่อนขมวดคิ้วหันไปพูดกับองครักษ์ลับสามว่า “กลุ่มงูมีมากเกินไป ใช้ยาไล่งูเกรงว่าจะมีแต่ทำให้มันคลั่งเลื้อยไปทั่ว”

 

 

           หานหมิงซีพูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “จวินเหวย หากข้าพาเจ้าไปคงพอหนีออกไปได้ พี่จั๋วก็คงสามารถหนีออกไปเองได้เช่นกันกระมัง”

 

 

องครักษ์ลับสามพยักหน้า บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น พี่หานพาคุณชายฉู่ออกไปก่อนก็ได้”

 

 

หานหมิงซีมิได้รีบหนีไปก่อนโดยทันที เพราะเขาฟังคำขู่ในน้ำเสียงของบัณฑิตขี้โรคออก หากพวกเขาหนีไปกันก่อนจริง บัณฑิตขี้โรคคงได้ยิงธนูลับตามหลังเขามาเป็นแน่ ต่อให้วิชาตัวเบาของหานหมิงซีเก่งกาจเพียงใด แต่หากต้องพาอีกคนไปด้วยก็ไม่แน่ว่าจะหลับหนีพิษร้ายจากยอดฝีมืออันดับสามแห่งสำนักเยี่ยนอ๋องได้

 

 

ส่วนฟากของบัณฑิตขี้โรคนั้นยิ่งไม่ต้องคิดเลย นอกจากตัวเขาแล้ว อีกสามคนที่เหลือดูไม่มีใครที่สามารถหนีออกไปได้เองเลยสักคนเดียว

 

 

           เมื่อเห็นกลุ่มงูเริ่มรายล้อมเข้ามา เยี่ยหลีจึงขมวดคิ้วพูดว่า “นี่มันเวลาใดแล้วยังมีอารมณ์มาทะเลาะกันอีกหรือ หรือพวกท่านกะว่าจะอยู่ที่นี่คอยเป็นอาหารงู”

 

 

           กลุ่มงูเมื่อล้อมเข้ามาแล้ว แต่มิได้พุ่งเข้าหาพวกเขาโดยทันที แล้วทุกคนก็เห็นกลุ่มคนในชุดดำถือขลุ่ยสั้นยืนกระจายตัวกันอยู่ทางด้านหลังกลุ่มงู งูเหล่านี้มิได้มารวมตัวกันที่นี่โดยบังเอิญ แต่เป็นเพราะถูกคนสั่งการให้มา

 

 

เจิ้งขุยเอ่ยก่นด่าเสียงต่ำ “พวกมันเป็นหมองูของหนานเจียง!”

 

 

           เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามเหลือบมองหน้ากัน หากงูพวกนั้นพุ่งเข้าหาพวกเขาจริงๆ พวกเขายังพอสามารถหลบหลีกออกไปได้ทันการ แต่นายท่านวาณิชที่อ้วนท้วนสมบูรณ์นั้นเกรงว่าคงจะหนีไม่รอด

 

 

           กลุ่มหมองูขยับตัวหลีกทาง แล้วจึงเห็นชายคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาเดินเยื้องกรายออกมา เขาหัวเราะใส่พวกเยี่ยหลีด้วยสีหน้ามาดร้าย “หึหึ…ข้าบอกแล้วว่าต้องมีสักวันที่พวกเจ้าต้องตกอยู่ในเงื้อมือข้า นี่เพิ่งผ่านมาได้เพียงวันเดียวเท่านั้น เป็นอย่างไรเล่า”

 

 

           หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “นี่มิใช่เจ้างั่งคนที่อ้างตนว่าเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้หรือ”

 

 

           ชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ที่ออกจากโรงเตี๊ยมไปด้วยความโกรธเมื่อวาน มาวันนี้อยู่ในชุดหรูหราที่เต็มไปด้วยเครื่องเงิน ส่องประกายระยิบระยับล้อกับแสงจันทร์ เมื่อเขาเห็นหานหมิงซีที่อยู่ในชุดหลัวอีกรุยกรายพริ้วไหวตามแรงลมอย่างน่าเย้ายวนใจก็ถึงกับอึ้งตะลึงไป “คนงาม เจ้ามาหาข้าสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมาตายพร้อมกับคนอัปลักษณ์พวกนี้หรอก”

 

 

หานหมิงซีหน้าตึงไปทันที หางตากระตุกไม่หยุด “เจ้ามีหน้ามาว่าคนอื่นว่าอัปลักษณ์หรือ” อันที่จริง ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมถึงหมองูที่ยืนอยู่ไกลๆ เหล่านั้น ไม่ว่าใครต่างก็ดูดีกว่าชายหนุ่มผู้นี้ แม้แต่นายท่านพ่อค้าที่อ้วนเผละนั้น ดูๆ แล้วยังไม่อัปลักษณ์เช่นเขาเลย

 

 

           เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็โกรธจัดขึ้นทันที สายตาที่จ้องมองหานหมิงซีมีแววประหลาด

 

 

เยี่ยหลีกระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนพูดกลั้วหัวเราะว่า “พี่หาน ถึงแม้คุณชายท่านนั้นจะมิได้หน้าตาหล่อเหลานัก แต่ให้ดีท่านพูดจาไว้หน้าเขาสักหน่อยเถิด ท่านพูดเช่นนี้ คนที่มีใจพิสมัยท่านจะทำใจได้อย่างไร”

 

 

หานหมิงซีเบ้ปาก “เขาหรือพิสมัย เขาริษยาเสียมากกว่ากระมัง เห็นๆ อยู่ว่าโกรธแค้นจนอยากฉีกหน้าข้าเป็นชิ้นๆ เหอะ! อันที่จริงใบหน้าอันงามจับจิตของข้านี้ คนหยาบช้าเช่นนั้นมาชอบพอได้หรือ” เห็นชายงามอย่างเขาเลอะเลือนหรือไร แม้แต่ความริษยากับความเจ็บแค้นก็ยังไม่ออกเชียวหรือ

 

 

           “ไม่เลว” ชายหนุ่มหัวเราะหึหึขึ้น “ข้าจับเจ้าได้ ข้าจะถลกหนังหน้าของเจ้าออกทั้งเป็น หึหึ…ใบหน้าของเจ้า ข้าจะเอาไว้เอง ดังนั้นเจ้าเดินเข้ามาหาข้าเองดีๆ เสียดีกว่า อย่าให้สัตว์เลี้ยงแสนรักของข้าทำให้หน้าเจ้าต้องเสียโฉมเลย”

 

 

ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป ครู่หนึ่ง หานหมิงซีจึงได้ลูบใบหน้าตนเองด้วยความทะนุถนอม “เจ้าคงไม่คิดที่จะเอาหน้าของข้าไปติดไว้บนหน้าเจ้าหรอกกระมัง”

 

 

           ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความได้ใจ “ถูกต้อง ข้าคิดถึงวิธีนี้มานานแล้ว น่าเสียดายที่ยังหาใบหน้าที่เหมาะสมไม่ได้เสียที เดิมทีเห็นเจ้าหน้าขาวนั่นดูไม่เลว แต่ยามนี้ข้าว่าใบหน้าของเจ้าดูดีกว่าหน่อย”

 

 

ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของหานหมิงซีเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นทันที คิดอยากได้ใบหน้าของคุณชายเฟิงเย่ว์หรือ ไว้ชีวิตไม่ได้!

 

 

           “เรื่องนี้…ขนาดคงไม่ได้กระมัง” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองใบหน้าผอมเกร็งของชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนหันไปมองใบหน้าได้รูปของหานหมิงซี ใบน้าของหานหมิงซีดูใหญ่กว่าของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งในสามเห็นจะได้

 

 

           “จวินเหวย!” หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นสูง จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความน้อยอกน้อยใจ

 

 

           ดูเหมือนคำพูดของเยี่ยหลีจะแทงใจดำเขาเข้าพอดีจึงพูดขึ้นด้วยความโกรธจัดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง! ข้าจะเอาใบหน้าของพวกเจ้าทุกคนมาทำหน้ากากหนังคน จับพวกมันมาให้หมด ทุกคนต้องจับเป็น ไม่สิ…เจ้าอ้วนนั่นตายก็ไม่เป็นไร!”

 

 

สีหน้าของหมองูดูลำบากใจ อยากจะจับตายคนกลุ่มนี้นั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ปล่อยงูไปกัดก็สิ้นเรื่อง งูจำนวนเป็นร้อยเป็นพันเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ต้องกัดโดน แต่หากต้องการจับเป็นคงไม่ง่ายเช่นนั้น คนเหล่านี้ก็มิใช่พวกไร้น้ำยาเสียด้วย ถึงแม้หมองูทั้งหลายจะมีท่าทีลังเล แต่คำสั่งของผู้เป็นนายก็ไม่อาจละเลยได้ จึงทำได้เพียงยกขลุ่ยขึ้นเป่าสั่งการกลุ่มงูเหล่านั้นอีกครั้ง

 

 

           ตูมๆ!

 

 

           จู่ๆ ก็เกิดประกายไฟปะทุขึ้นหลายแห่ง งูได้ยินเสียงขลุ่ยสั้นอันเร่งเร่ากลับมิได้พุ่งตัวเข้าหาพวกเขาทันที แต่กลับหยุดอยู่ห่างจากพวกเขาไปสี่ห้าจั้ง ไม่ยอมขยับเข้าใกล้กว่านั้น

 

 

เมื่อครู่องครักษ์ลับสามอาศัยช่วงที่เยี่ยหลีกับหานหมิงซีกำลังคุยกับหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู่ ลอบนำยากันงูที่นำติดตัวมาด้วยสาดไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่ากลุ่มงูเหล่านั้นหยุดชะงักไม่ยอมฟังคำสั่ง เสียงขลุ่ยสั้นของหมองูจึงเร่งเร่าและแหลมบาดหูขึ้นไปอีก กลุ่มงูเหล่านั้นขยับตัวอย่างลนลาน

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นถามหานหมิงซีว่า “พี่หานท่านเป่าเพลงเป็นหรือไม่”

 

 

หานหมิงซีได้แต่ยิ้มแห้งๆ “แต่ข้าควบคุมงูไม่เป็นนะ”

 

 

           เยี่ยหลีมิสนใจ “ไม่ต้องเป็นหรอก แค่เปล่าเป็นเพลงก็พอแล้ว ให้ดีท่านใช้กำลังภายในในการเป่าด้วย ท่านไปเป่าทางด้านนู้นเถิด” พร้อมชี้มือไปยังป่าทางด้านหลัง “ให้ดีที่สุดคือต้องขยับไปมาให้รอบทิศด้วยนะ”

 

 

           ถึงแม้จะไม่เข้าใจถึงความหมายของเยี่ยหลี แต่หานหมิงซีก็มิได้สนใจที่จะถามต่อ เพียงแค่ยักไหล่แล้วพูดว่า “เอาเถิด ข้าเชื่อจวินเหวย” แล้วจึงหันไปหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ที่นำติดตัวมาด้วย ก่อนหานหมิงซีจะกระโดดขึ้นกิ่งไม้ต้นข้างๆ ขึ้นไปเป่าเป็นเพลง

 

 

เสียงเพลงที่ผสมด้วยกำลังภายในนั้น เมื่อได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหูสักเท่าไร อย่างน้อยก็สำหรับเยี่ยหลีที่มีกำลังภายในไม่กล้าแข็งเท่าไรนักที่รู้สึกไม่สบายหู หานหมิงซียืนอยู่บนกิ่งไม้เป่าเพลงไปพลาง กระโดดเปลี่ยนต้นไม้ไปพลาง ประหนึ่งอยู่เป็นพื้นราบอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เยี่ยหลีที่มองอยู่อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้

 

 

           บรรดาหมองูทั้งหลายต่างเริ่มตื่นกลัวที่ดูเหมือนงูทั้งหลายไม่ฟังคำสั่ง โดยเฉพาะกลุ่มงูที่อยู่ด้านหน้าสุด เริ่มที่จะเลื้อยถอยหลังจึงรีบร้อนเป่าขลุ่ยสั้นให้เป็นเพลงขึ้นอีกครั้ง แต่หมองูเหล่านี้ไม่ชำนาญวิทยายุทธ์ มีวิชากำลังภายในก็เพียงธรรมดาๆ หากว่ากันเพียงเสียงทำนองแล้วไม่มีทางเทียบกับหานหมิงซีได้

 

 

เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ของหานหมิงซีค่อยๆ กดเสียงขลุ่ยที่เร่งร้อนบาดหูลง บัณฑิตขี้โรคที่อยู่อีกด้านดูเหมือนจะเข้าใจอันใดขึ้นมาจึงได้กระโดดขึ้นกิ่งไม้ แล้วเด็ดใบไม้ออกมาใช้ริมฝีปากเป่าเป็นเพลงขึ้นบ้าง ในที่สุดงูกลุ่มนั้นก็ดูจะทนไม่ได้ กลุ่มงูที่รายล้อมเยี่ยหลีอยู่ใกล้ๆ จึงเริ่มที่จะเลื้อยถอยหลังกลับไป และมีหลายตัวที่กระจายตัวหนีไป และไม่มีงูตัวใดเขยิบเข้าใกล้พวกเยี่ยหลีเลย

 

 

           “นี่มันเกิดอันใดขึ้น!” ชายหนุ่มผู้นั้นร้องขึ้นด้วยความตกใจ สีหน้าหมองูทั้งหลายก็เริ่มซีดขาว ต่างค่อยๆ เขยิบถอยหลังไป ถึงแม้เสียงขลุ่ยสั้นในมือจะมิได้หยุดลง แต่ก็มีงูจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่หนีหายไปทั่วทุกสารทิศ

 

 

เยี่ยหลียืนยิ้มเย็นอยู่ข้างกองไฟ โดยธรรมชาติแล้ว งูนั้นกลัวกำมะถัน เกลียดยากันงู และสัตว์ที่ดุร้ายโดยมากมักกลัวไฟ ส่วนเรื่องการควบคุมงู อันที่จริงสัมผัสทางการได้ยินของงูแทบจะไม่มี ทั้งหมดล้วนอาศัยความเคลื่อนไหวในอากาศจากรอบทิศเท่านั้น ที่ว่าการควบคุมงูด้วยเสียงขลุ่ยนั้นก็เป็นเพียงการฝึกงูให้คุ้นชินกับคลื่นในอากาศประเภทหนึ่งเท่านั้น หากคลื่นในอากาศเหล่านั้นถูกรบกวน งูเหล่านั้นก็จะไม่อยู่ในการควบคุมอีก เมื่อเทียบกับประกายไฟที่พวกมันเกลียดแล้ว ดูพวกมันยินดีที่จะเลื้อยไปทางอื่นเสียมากกว่า

 

 

           “อ๊าๆ…ไม่นะ!” งูจำนวนหนึ่งที่เลื้อยถอยหลังไป เลื้อยไปถึงปลายเท้าของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าบนร่างกายชายหนุ่มผู้นั้นก็มียากันงูอยู่ งูจึงมิได้พุ่งเข้าไปกัดเขา แต่เขาก็ยังตกใจจนเสียขวัญไม่น้อย

 

 

องครักษ์ลับสามเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “คนหนานเจียงกลัวงูกันด้วยหรือขอรับ”

 

 

เยี่ยหลียักไหล่ยิ้มๆ “อย่างไรก็ต้องมีข้อยกเว้นสักคนสองคนมิใช่หรือ”

 

 

           นายท่านเหลียงเช็ดเหงื่อบนใบหน้าไปพลางหัวเราะไปพลาง “โชคดีจริงๆ ที่คุณชายฉู่คิดวิธีนี้ออก ทำให้งูกลุ่มนั้นล่าถอยไปได้”

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจยังรู้สึกร้อนใจอยู่ งูพวกนี้หนีไปแล้วพวกนางคงพอรอดพ้นจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปได้พักหนึ่ง แต่หากงูจำนวนมากนี้หนีไปได้ คงสร้างปัญหาให้กับคนที่เดินทางผ่านไปมาไม่น้อย นางเหลือบมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าร้อนรน แววตาเยี่ยหลีขรึมลง ก่อนหันไปสั่งองครักษ์ลับสามว่า “ฆ่าเขาเสีย!”

 

 

           กับคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังของเยี่ยหลีแล้ว องครักษ์ลับสามไม่เคยถามถึงเหตุผล เยี่ยหลียังไม่ทันพูดจบดี กระบี่ยาวในมือขององครักษ์ลับสามก็เป็นประกายขึ้น พร้อมพุ่งตัวผ่านอากาศราวกับลูกธนูอันแหลมคมพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้นั้นทันที ชายหนุ่มผู้นั้นตื่นตกใจจนเสียกิริยาไปนานแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นกระบี่ในมือองครักษ์ลับสามที่พุ่งทะยานมายังตนจึงยิ่งตื่นตะลึงนิ่งแข็งขึ้นไปอีก ลืมแม้กระทั่งจะหลบกระบี่นั้น ทำได้เพียงตาแข็งค้างมองปลายแหลมที่พุ่งเข้ามาหาตนเท่านั้น…

 

 

           “ไว้ชีวิตด้วย!” มีเสียงดังกังวานเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนที่ชายป่า

 

 

           …