ตอนที่ 78-2 เข้าเขตหนานเจียงครั้งแรก

ชายาเคียงหทัย

“คุณชายหานพูดถูกทีเดียว ฝีมือของน้องจั๋วนั้นคล่องแคล่วเสียจนแม้แต่ผู้คุ้มกันเก่าแก่ที่ทำอาชีพนี้มาหลายสิบปียังมิอาจเทียบได้” เจิ้งขุยมองปลาที่ยังปิ้งสุกไปเพียงครึ่งในมือของตน แล้วหันมองไก่ย่างที่ดูสามารถเป็นอาหารป่าขึ้นเหลาของภัตตาคารชั้นดีก็อดริษยาขึ้นไม่ได้ เพียงชั่วเวลาที่เขาไปจับปลาไม่กี่ตัวมาจากในแม่น้ำ น้องชายที่ไม่พูดจาปราศัยผู้นี้กลับทั้งจุดไฟ จับไก่ป่ามาจัดการจนเรียบร้อย พร้อมทั้งเอาตั้งไฟย่างแล้วอีกด้วย ระหว่างรอยังได้เข้าป่าไปเก็บเห็ดมาเตรียมต้มน้ำแกงเสียเสร็จสรรพอีกด้วย นายท่านของตนมองปลาในมือของตนด้วยสีหน้าไม่พอใจ ใบหน้าที่อวบอูมนั้นมีความรังเกียจเขียนอยู่เต็มใบหน้า

 

 

           เยี่ยหลีมองหน้าหานหมิงซีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตลอดทางมานี้ก็ได้จั๋วจิ้งคอยช่วยดูแลข้า เขาเป็นคนหัวไว เรียนรู้สักหน่อยก็เป็นแล้ว”

 

 

           หานหมิงซีสีหน้าไม่เชื่อ เขาต้องนอนกลางป่ากลางเขาอยู่บ่อยๆ แต่ของที่เขาย่างกินนั้นจนถึงตอนนี้ยังดำเมี่ยมจนแม้แต่ตนเองยังมิกล้ากิน

 

 

           องครักษ์ลับสามแบ่งของป่าออกเป็นสามส่วนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนส่งให้เยี่ยหลีและหานหมิงซี เสมือนไม่ได้ยินคำชื่นชมจากนายหญิงของตน เขาไม่มีทางบอกอีตาคุณชายเจ้าชู้นี้หรอกว่า นายหญิงของตนทำได้ดีกว่าเขาเสียอีก เมื่อได้เห็นสีหน้าของคุณชายเฟิงเย่ว์ที่มองอาหารป่าตรงหน้าด้วยความหลงไหลแล้วก็ทำให้องครักษ์ลับสามเกิดลางสังหรณ์ที่ดีอย่างประหลาด

 

 

           “คุณชายจั๋วเชี่ยวชาญด้านพิษหรือ” บัณฑิตขี้โรคที่นั่งกินน้ำให้หายไออยู่อีกด้านหนึ่งเงยหน้าขึ้นถามองครักษ์ลับสาม

 

 

องครักษ์ลับสามเหลือบมองเขา ก่อนตอนเสียงเรียบว่า “ข้าไม่มีความรู้เรื่องนี้”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคเลิกคิ้วขึ้น ด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ “หนานเจียงมีสิ่งมีชีวิตมีพิษอยู่มากมาย แม้แต่เห็ดในป่ามากกว่าครึ่งก็ล้วนมีพิษร้ายแรง แต่เท่าที่ข้าดู เห็ดที่ท่านเก็บมานั้นล้วนไม่มีพิษ”

 

 

           องครักษ์ลับสามเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนตอบเรียบๆ ว่า “ตามป่าตามเขายิ่งสีสดมากก็ยิ่งมีพิษมาก เรื่องเหล่านี้แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังรู้กระมัง”

 

 

บัณฑิตขี้โรคยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นคุณชายจั๋วอย่าได้เด็ดของมากินตามใจจะดีกว่า ในใต้หล้านี้มิใช่ว่าเห็ดมีพิษทุกชนิดจะมีสีสดทุกพันธุ์ไป”

 

 

           “ขอบคุณที่เอ่ยเตือน”

 

 

           พ่อค้าวาณิชผู้นั้นดูจะไม่พอใจปลาเผาที่องครักษ์ของตนย่างให้ เขากินไปเพียงไม่กี่คำแล้วโยนทิ้ง ก่อนหันมาชี้หน้าเจิ้งขุยแล้วกล่าวว่า “เจ้า! ไปหาของป่ามาให้ข้ากินเดี๋ยวนี้!”

 

 

           เจิ้งขุยเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มลง ดูมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ที่พวกเขาเลือกที่จะหาที่พักผ่อนอยู่นอกเขตป่าก็เพราะในป่าตอนกลางคืนนั้นไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนัก

 

 

บัณฑิตขี้โรคยืดตัวขึ้นนั่งก่อนหันไปพูดกับพ่อค้าวาณิชว่า “หากท่านอยากให้เขาตาย ท่านก็ให้เขาเข้าไปเถิด” พ่อค้าวาณิชดูมีท่าทีเกรงกลัวบัณฑิตขี้โรคอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นเขาพูดเช่นนี้จึงได้แต่ยอมนั่งปิดปากเงียบไป

 

 

           เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ หานหมิงซีก็ดูจะไม่มีกำลังวังชาเหมือนตอนฟ้าสว่าง เขาหาที่นั่งที่อยู่ใกล้กองไฟมากที่สุด แล้วเอนตัวพิงหินหลับตาพักผ่อนไป

 

 

องครักษ์ลับสามเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็กระโดดขึ้นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล นั่งลงบนง่ามไม้ฟังคนด้านล่างพูดคุยกัน ส่วนเยี่ยหลีกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางนั่งพูดคุยอยู่กับเจิ้งขุยข้างกองไฟ พลางโยนท่อนไม้เข้ากองไฟ จากที่สนทนากัน เจิ้งขุยบอกกับเยี่ยหลีว่า นายท่านที่เป็นพ่อข้าวาณิชท่านนั้นแซ่เหลียง เป็นพ่อค้าตัวยารายใหญ่ของทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฉู่ ร่ำรวยมหาศาล ที่มาหนานเจียงครานี้ก็ด้วยเพราะได้ยินมาว่าที่หนานเจียงมีตัวยาประหลาดที่มีมูลค่ามหาศาล และจะมีการเปิดแข่งราคาซื้อกันในเดือนหกนี้ที่เมืองหลวงของหนานจ้าว และแน่นอนว่าระหว่างที่พูดนายท่านเหลียงก็คอยพูดโอ้อวดไปด้วยไม่ขาด

 

 

ส่วนเยี่ยหลีก็เล่าให้เจิ้งขุยฟังว่าตนเองเป็นบุตรในบ้านของบัณฑิตครอบครัวหนึ่งจากอวิ๋นโจว ครั้งนี้ตั้งใจพาองครักษ์ออกมาท่องเที่ยว ส่วนหานหมิงซีนั้น เป็นสหายที่เพิ่งรู้จักกันที่กว่างหลิง แล้วเกิดนึกอยากติดตามตนไปเที่ยวเล่นที่หนานเจียงด้วย

 

 

ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ถึงฐานะของหานหมิงซีแล้ว เยี่ยหลีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดแทนเขาอีก เพียงพูดแค่ว่าเขาเป็นสหายใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ในเมืองกว่างหลิง เมื่อได้ยินชื่อหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังของนายท่านเหลียงก็เป็นประกายขึ้นทันที พร้อมหันมาจับมือเยี่ยหลีเอ่ยสิ่งที่ตนเคยพบเคยเห็นในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ให้นางฟัง

 

 

           “คุณชายฉู่เป็นคนอวิ๋นโจวหรือ” จู่ๆ บัณฑิตขี้โรคที่นั่งอยู่อีกด้านก็เอ่ยถามขึ้น “คุณชายฉู่รู้จักตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจวหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายท่านนี้ล้อเล่นหรือเปล่า คนต้าฉู่ที่เป็นคนอวิ๋นโจวคนใดบ้างที่ไม่รู้จักตระกูลสวี ถึงแม้ตัวข้าจะไม่มีวาสนาได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลีซาน แต่ข้าก็ชื่นชมคุณชายตระกูลสวีทุกท่านมานานแล้ว”

 

 

           “เช่นนั้นหรือ แค่กๆ…จะว่าไป ในเมื่อคุณชายฉู่ชื่นชมตระกูลสวี คงเคยได้ยินชื่อคุณชายชิงเฉินเป็นแน่ ใช่หรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีหันหน้าไปมอง น้ำเสียงมีความเลื่อมใสเพิ่มขึ้นหลายส่วน “คุณชายชิงเฉิน…คุณชายใหญ่ตระกูลสวี ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ที่น่าแค้นใจคือ ตอนนี้ข้าอายุอ่อนกว่าคุณชายสวีเมื่อยามนั้นอยู่เพียงครึ่งปี แต่กลับยังทำอันใดไม่สำเร็จสักอย่าง ช่างน่าละอายนัก”

 

 

บัณฑิตขี้โรคเงยหน้ามองนาง สายตามีแววทดสอบ เขายิ้มน้อยๆ แล้วถามว่า “เช่นนั้นหรือ ไม่แน่ว่าไปหนานเจียงครานี้คุณชายฉู่อาจได้พบท่านก็เป็นได้”

 

 

           ในใจเยี่ยหลีอึ้งไป สีหน้าสบายๆ มีแววยินดี “จริงหรือ ยามนี้คุณชายชิงเฉินอยู่ที่หนานเจียงหรือ”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคลุกยืนขึ้นกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ตอนนี้คุณชายชิงเฉินอยู่ที่หนานเจียง”

 

 

           “เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว หวังว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงหนานจ้าว ข้าจะมีโอกาสได้พบคุณชายชิงเฉิน จะได้ถือโอกาสขอคำแนะนำจากท่านสักเล็กน้อยด้วย” เยี่ยหลีก้มหัวลงใช้ความคิด พร้อมพูดตอบออกไปเสียงต่ำตามมารยาท

 

 

เยี่ยหลีมิได้สนใจสายตามองสำรวจของบัณฑิตขี้โรค ในหัวนางคิดไตร่ตรองเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว สวีชิงเฉินออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั้งตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ไหนแต่ไรมายากที่จะคาดเดาว่าเขาเดินทางไปที่ใด เยี่ยหลีไม่เชื่อว่าแม้แต่ร่องรายการเดินทางของตัวเขาเอง เขาจะยังไม่สามารถปกปิดให้มิดได้ แต่บัณฑิตขี้โรคที่ตัวอยู่ที่ซีหลิง กลับรู้ข่าวที่เขาอยู่หนานเจียง…ทั้งยังดูเหมือนเขาจะมั่นใจมากว่าเขาอยู่ที่ใด ซึ่งทำให้เยี่ยหลีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีสักเท่าไร ที่บัณฑิตขี้โรคไปหนานเจียงในครั้งนี้จะด้วยเพราะเหตุใดกัน และจะเกี่ยวกับสวีชิงเฉินหรือไม่

 

 

           กลางดึก กองไฟที่ลุกโชนอยู่บนพื้นค่อยๆ มอดลง บรรยากาศของป่ายามค่ำคืนนั้นดึกสงัด มีเพียงเสียงของนกและแมลงที่ดังลอยมาให้ได้ยิน องครักษ์ลับสามที่นั่งหลับอยู่บนง่ามไม้ขยับตัวเล็กน้อยพร้อมกับไอเบาๆ เยี่ยหลีที่เดิมนั่งเอนหลังหลับตาอยู่ข้างกองไฟค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตัวไม่มีร่องรอยของความง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย นางเอี้ยวตัวไปมองบนต้นไม้ด้วยความเคยชิน องครักษ์ลับสามที่อยู่สบนต้นไม้พยักหน้าให้นางน้อยๆ เยี่ยหลีจึงได้ค่อยหลับตาเข้าสู่นิทรารมณ์อีกครั้ง

 

 

           แล้วจู่ๆ ก็มีกลิ่นสาบลอยมาตามอากาศ พร้อมเสียงสวบสาบแปลกๆ และเสียงประหลาดบางอย่างที่ฟังดูไม่ชัดเจน ประหนึ่งมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตบางอย่างเคลื่อนไหวมาตามพื้นหญ้า องครักษ์ลับสามขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขานึกรังเกียจเป็นพิเศษ เขารีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกระโดดลงมาจากต้นไม้ เมื่อองครักษ์ลับสามเท้าแตะพื้น บัณฑิตขี้โรคที่กำลังหลับสนิทก็ลืมตาขึ้นทันที เมื่อเห็นเป็นองครักษ์ลับสามก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย องครักษ์ลับสามมิได้สนใจมองเขา รีบเดินเข้าไปหาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย มีความเคลื่อนไหวขอรับ”

 

 

           ยามที่เยี่ยหลีลืมตาขึ้น หานหมิงซีและเจิ้งขุยที่อยู่อีกด้านก็ลุกขึ้นนั่งทันที หานหมิงซีอ้าปากหาวด้วยความเกียจคร้าน ก่อนถามขึ้นว่า “มีอันใดหรือ”

 

 

           องครักษ์ลับสามตอบเรียบๆ ว่า “มีบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา”

 

 

           “บางอย่างหรือ อันใดกัน”

 

 

           องครักษ์ลับสามตอบเสียงขรึมว่า “ข้าเดาว่า…เป็นงู”

 

 

           “งู”

 

 

           “งู” เยี่ยหลีกับบัณฑิตขี้โรคพูดขึ้นพร้อมกัน 

 

 

บัณฑิตขี้โรคเหลือบมองเยี่ยหลี เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น “ข้าได้กลิ่นสาบงู งูหลายตัวมาก”

 

 

           หานหมิงซีพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าเกือบลืมไปว่าจวินเหวยชำนาญด้านการปรุงเครื่องหอม ย่อมไวต่อกลิ่นเป็นธรรมดา”

 

 

           เจิ้งขุยพูดด้วยความร้อนรนว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”

 

 

หานหมิงซีพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “จะทำอย่างไรได้ ก็หนีสิ” วิชาตัวเบาของคุณชายเฟิงเย่ว์ไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นไรก็มิต้องกลัวว่าจะหนีไม่รอด

 

 

องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “เกรงว่าคงจะหนีไม่ได้ พวกท่านลองฟังดู…มีเสียงมาจากรอบทิศทีเดียว” ทุกคนในที่นั้นนอกจากนายท่านเหลียงและพ่อบ้านแล้ว ทุกคนล้วนมีวิทยายุทธ์ติดตัว ย่อมฟังออกว่าที่องครักษ์ลับสามพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอก