ตอนที่ 78-1 เข้าเขตหนานเจียงครั้งแรก

ชายาเคียงหทัย

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเยี่ยหลีเก็บของลงมาด้านล่างก็เห็นหานหมิงซีนั่งอยู่ในจุดที่เห็นเด่นที่สุดในห้องโถง และกำลังส่งยิ้มเย้ายวนมาให้ตน เยี่ยหลีรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาทันที หานหมิงซีทำเหมือนไม่เห็นประกายความไม่พอใจในแววตาของเยี่ยหลี ยังคงโบกมือให้นางอย่างตื่นเต้นยินดี “จวินเหวย รีบมากินอาหารเช้ากันเร็ว”

 

 

เยี่ยหลีเดินเข้าไป ก็เห็นสารพัดอาหารเช้าวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ “อาหารเช้าของพี่หานนี่ช่างอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษจริงๆ”

 

 

หานหมิงซีโบกมือไปมา ไม่สนใจสายตาทุกคู่ในห้องโถงที่จับจ้องมาที่ตน เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “จวินเหวยกินมากหน่อยถึงจะดี หากเข้าไปยังเขตหนานเจียงแล้วเกิดนึกอยากกินอาหารเช้าที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้คงไม่ง่ายนัก”

 

 

           เยี่ยหลีเองก็ไม่เกรงใจ เรียกองครักษ์ลับสามที่เดินตามลงมาให้มากินข้าวด้วยกัน

 

 

           หานหมิงซีมององครักษ์ลับสามที่นั่งเงียบอยู่ แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้นถามว่า “ยังมิได้ถามชื่อแซ่ของพี่ชายท่านนี้เลย ผู้คุ้มครองจวินเหวยคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดาเลย” ในยามปกติ หานหมิงซีถือเป็นคนมีความรู้มากคนหนึ่ง เขาเป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของเจ้าของเทียนอี้เก๋อ โลกเขาย่อมไม่แคบ ถึงแม้วิชาตัวเบาของเขาจะไม่เป็นสองรองใคร แต่ในเรื่องการต่อสู้นั้นถือว่ายังขาดอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยๆ องครักษ์ข้างกายของสหายใหม่คนนี้ คงจะมีวิชาต่อสู้ดีกว่าเขาไม่น้อยทีเดียว

 

 

           เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสาม ก่อนตอบเรียบๆ ว่า “จั๋วจิ้ง”

 

 

           องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ จั๋วจิ้งเป็นชื่อจริงของเขา แต่เมื่อเขาได้มาเป็นองครักษ์ลับของพระชายาแล้ว ปกติจึงมิได้ใช้ชื่อนี้อีก เขาคาดไม่ถึงว่าพระชายาจะรู้เรื่องนี้

 

 

           หานหมิงซีหัวเราะ “ที่แท้ก็พี่จั๋วนี่เอง ต่อไปคงต้องลำบากพี่จั๋วแล้ว”

 

 

           องครักษ์ลับสามตอบเรียบๆ ว่า “มิกล้า คุณชายหานเกรงใจแล้ว”

 

 

           พอทั้งสามคนกินอาหารเสร็จ องครักษ์ลับสามก็ไปจัดการจ่ายเงิน ชายคนที่เข้ามาพูดคุยด้วยเมื่อวานก็เดินเข้ามาหาอีกครั้ง ข้างกายเขามีชายวัยกลางคนที่ท่าทางเหมือนพ่อบ้านเดินตามมาด้วย “คุณชายฉู่ ท่านวางแผนที่จะออกเดินทางแล้วหรือ ท่านนี้คือ…คนที่ท่านเชิญให้มาเป็นผู้นำทางหรือ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ มิได้พูดอันใด ทั้งสองต่างไม่มีใครคิดที่จะต่อบทสนทนาดังกล่าว ชายผู้นั้นก็ดูจะไม่รู้สึกประดักประเดิดเลยแม้แต่น้อย ยิ้มเองคนเดียวพร้อมพูดว่า “ในเมื่อคนของคุณชายก็มาพร้อมกันแล้ว มิรู้ว่าจะออกเดินทางกันวันนี้หรือไม่ หากใช่ พวกเรามาร่วมทางไปด้วยกันเลยดีไหม”

 

 

หานหมิงซีคีบอาหารเช้าบนโต๊ะเล่นด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เหตุใดพวกเราจึงต้องร่วมทางไปกับพวกท่านด้วย ต่างคนต่างไปไม่ดีอยู่แล้วหรือ”

 

 

           ชายผู้นั้นยิ้ม “ทุกคนต่างก็ไปหนานเจียงด้วยกัน ระหว่างทางมีคนคอยดูแลก็ปลอดภัยกว่ามิใช่หรือ เท่าที่ข้าน้อยรู้…หากพวกเราเดินทางพ้นด่านซุ่ยเสวี่ยไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเขตแดนของหลัวอีปู้ แล้วเมื่อวานท่านทั้งสอง…”

 

 

           เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้น มองหน้าชายผู้นั้นพร้อมถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้วว่าพวกเราได้ล่วงเกินผู้นำชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้ไป เหตุใดจึงยังยืนกรานที่จะเดินทางไปกับพวกเราอีกหรือ”

 

 

           ชายผู้นั้นเบ้ปาก “หลัวอีปู้แล้วอย่างไร ถึงแม้คนหนานจ้าวจะเชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษ แต่พวกหาจำเป็นที่จำต้องเกรงกลัวเขาไม่”

 

 

           เยี่ยหลีลอบพยักหน้าในใจ ข้างกายพวกเจ้ามีผู้ที่โด่งดังจากการใช้ยาพิษอย่างบัณฑิตขี้โรคอยู่ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกลัวพิษของหนานเจียง นางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น รบกวนท่านด้วย ข้ายังมิได้ถามชื่อของท่านเลย”

 

 

ชายผู้นั้นยิ้มแย้มด้วยความยินดี “ข้าน้อยชื่อเจิ้งขุย เดิมทีเคยเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกัน ยามนี้มาเป็นคนคอยอารักขาบ้านเรือนแลกข้าวกิน นี่คือพ่อบ้าน ส่วนทางด้านโน้นคือนายท่านบ้านข้า แล้วอีกท่านหนึ่ง…” ชายคนที่เรียกตนเองว่าเจิ้งขุย หันมองบัณฑิตท่าทางขี้โรคที่ยืนหลับตาพิงกำแพงอยู่ “ได้ยินว่าเขาเป็นผู้มีฝีมือดีที่นายท่านใช้เงินก้อนโตเชิญมา เพียงแต่…หึหึ ข้าดูไม่ออกว่าเขาฝีมือดีที่ตรงใด รู้เพียงสุขภาพเขาอ่อนแอมาก”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ผู้คุ้มกันเจิ้งเกรงใจแล้ว เช่นนั้น พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยหรือ”

 

 

           เมื่อเห็นเยี่ยหลีตบปากรับคำ เจิ้งขุยดูมีท่าทียินดีอย่างมาก หัวเราะเสียงใสก่อนกล่าวว่า “ข้าน้อยขอไปบอกนายท่านบ้านข้าเสียก่อน”

 

 

เยี่ยหลีผินหน้าไปมองเจิ้งขุยกับพ่อบ้านที่เดินกลับไปปรึกษากับพ่อค้าวาณิชผู้นั้น วาณิชผู้นั้นดูมิค่อยพอใจแต่สุดท้ายก็ได้ตอบตกลง จากนั้นทั้งสี่คนจึงได้แยกย้ายกลับไปเก็บข้าวของที่ห้องของตน เมื่อมองทั้งสี่หายขึ้นไปทางด้านบนแล้ว เยี่ยหลีจึงหันมาใช้สายตามองสำรวจหานหมิงซี หานหมิงซีทิ้งตัวลงบนโต๊ะมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “จวินเหวย ข้าทำอันใดผิดไปอีกหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนปรายตามองเขา “คุณชายหาน ท่านถ่อมตนกว่านี้อีกสักหน่อยได้หรือไม่”

 

 

           “ถ่อมตนหรือ” หานหมิงซีไม่เข้าใจ “ข้ามิใช่คนมีชื่อเสียงอันใด เหตุใดจึงต้องถ่อมตนด้วย” คนที่รู้ว่าเขาคือคุณชายเฟิงเย่ว์นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มิเช่นนั้นพวกเขาคงถูกพวกที่อ้างตนว่าเป็นศิษย์แห่งความยุติธรรมปิดล้อมหรือไล่ล่าไปแล้ว

 

 

เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ท่านถ่อมตนมากนั้นไม่ผิด เพียงแต่หน้าตาท่าทางท่านโดดเด่นมาก ท่านเดากว่าบัณฑิตขี้โรคจะเคยเจอคุณชายหมิงเย่ว์หรือไม่ ท่านลองเดาว่าเขารู้หรือไม่ว่าคุณชายหมิงเย่ว์คือเจ้าของเทียนอี้เก๋อ”

 

 

หานหมิงซีกะพริบตาปริบๆ มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องนั้น…พี่ใหญ่ข้ากับหัวหน้าสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นสหายกัน ดังนั้น…บัณฑิตขี้โรคน่าจะเคยพบข้ามาก่อน ดูท่าเขาคงรู้แล้วว่าพวกเราดูออกว่าเขาเป็นใคร”

 

 

           “เห็นชัดว่าคงเป็นเช่นนั้น” เยี่ยหลีตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

           “เหตุใดพวกเขาจึงต้องมาเชิญให้พวกเราร่วมทางไปด้วยกัน” หานหมิงซีเอ่ยถามเสียงเบา “หากด้วยเพราะฐานะของข้า เขาก็ควรเอ่ยทักทายกับข้าโดยตรง เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่กับหัวหน้าสำนักเยี่ยนอ๋องก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว”

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้า “คงมิใช่เช่นนั้น ก่อนที่ท่านจะมา พวกเขาก็ได้มาชักชวนข้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกข้าปฏิเสธไป”

 

 

           หานหมิงซีเอามือลูกคาง “บัณฑิตขี้โรคเดินทางไกลเป็นพันพันลี้เพื่อมายังหนานเจียง ย่อมมีจุดประสงค์ไม่ธรรมดา แต่เหตุใดเขาจึงมากับพ่อค้าวาณิชผู้นั้นได้ ปกติแล้วไม่ว่าพ่อค้าวาณิชคนได้ต่างก็เชิญเขามาไม่ได้ทั้งนั้น จะว่าเป็นเรื่องการทำการค้าเกี่ยวกับตัวยา…คนที่ทำการค้าเรื่องตัวยา ก็ไม่น่าเดินทางมาหนานเจียงด้วยตนเองในช่วงเดือนสามเดือนสี่เช่นนี้กระมัง”

 

 

การไปมาหาสู่ระหว่างต้าฉู่กับหนานเจียงนั้นโดยมากมักเป็นเรื่องตัวยาที่หายากของหนานเจียง แต่เพียงแค่มองดูเมืองหย่งหลินที่เงียบเชียบเช่นนี้ก็พอรู้ได้ว่าช่วงนี้มิใช่ช่วงที่คนทำการค้าขายเขามากัน เยี่ยหลียกมือตีหน้าผาก “ท่านคิดว่าคนที่กล้าอยู่กับบัณฑิตขี้โรคที่มีชื่อเสียงเช่นนั้น จะเป็นพ่อค้าวาณิชธรรมดาๆ หรือ”

 

 

           หานหมิงซีเลิกคิ้ว “มีปัญหาอันใดหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังดูไม่ออก” แต่ในเมื่อถูกทำให้ฉุกคิดแล้ว นางจะต้องรู้ให้ได้ว่านี่เป็นเหตุบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่

 

 

           ทั้งหมดมารวมตัวกันที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงขึ้นม้าออกนอกเมืองไปทางด่านซุ่ยเสวี่ย สิ่งที่ทำให้เยี่ยหลีประหลาดใจคือ พ่อค้าวาณิชที่ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์นั้น มีฝีมือขี่ม้าที่ไม่เลวเลยทีเดียว ติดเพียงแค่มองดูแล้วรู้สึกเป็นห่วงม้าที่เขาขี่อยู่เท่านั้น และตั้งแต่บัณฑิตขี้โรคขึ้นม้ามา เขาก็ไอแค่กๆ ไม่หยุด ดูว่าหากไม่ระวังเพียงนิดคงได้ไอเอาปอดออกมาด้วยเป็นแน่

 

 

เมื่อตอนผ่านด่านซุ่ยเสวี่ย เยี่ยหลีหันไปเห็นสีหน้าที่เป็นประกายสดใสของมู่หรงถิงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองพอดี นางกำลังพูดอันใดสักอย่างกับชายวัยกลางคนข้างกายด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี เชื่อว่าหลังจากนางเดินทางออกจากเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความแออัดวุ่นวายมาแล้ว ชีวิตของมู่หรงถิงคงเต็มไปด้วยเรื่องน่าสนุกเป็นแน่ เยี่ยหลีเองก็รู้สึกยินดีไปกับสหายรักของนางด้วย นางยิ้มน้อยๆ ก่อนหันกลับมาขี่ม้าตามคณะของตนไป

 

 

           “พักดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด” เมื่ออกจากด่านซุ่ยเสวี่ยมาแล้ว ทุกคนเดินทางด้วยความเร่งรีบ จนเมื่อฟ้าเริ่มมืดลงจึงได้หยุดพัก เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขาคงจะไม่มีที่นอนเสียแล้ว แต่ถึงแม้ป่าในเขตหนานเจียงจะอันตรายยิ่งนัก แต่การไปอาศัยอยู่ในบ้านชาวบ้านหรือโรงเตี๊ยมในหนานเจียง สำหรับคนภาคกลางแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยไปกว่ากัน

 

 

           องรักษ์ลับสามเดินเข้าไปในป่าอย่างคล่องแคล่ว พักหนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับท่อนไม้สำหรับทำฟืนและไก่ป่าอีกตัวหนึ่ง จากนั้นจึงก่อไฟพร้อมจัดการกับของป่านั้น เจิ้งขุยเองก็ไปจับปลามาสามสี่ตัวจากแม่น้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองบัณฑิตขี้โรคที่ไออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ใต้ต้นไม้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนยื่นน้ำส่งให้ บัณฑิตขี้โรคดูอึ้งไป ก่อนยื่นมือขวาออกมารับกระบอกน้ำจากเยี่ยหลีแล้วพูดเสียงต่ำว่า “ขอบคุณมาก”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วกลับลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง ถึงแม้บัณฑิตขี้โรคจะดูป่วยกระเสาะกระแสะจนดูเหมือนเหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง แต่เยี่ยหลีไม่มีทางประเมินเขาต่ำอย่างแน่นอน คนประเภทนี้อยู่ให้ห่างไว้เป็นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีความแค้นกับม่อซิวเหยาอยู่ด้วย

 

 

           หานหมิงซีนั่งพิงต้นไม้มององครักษ์ลับสามจัดการกับของป่าก่อนวางไว้บนไฟเตรียมย่างด้วยความเบื่อหน่าย แล้วจึงหันไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “จวินเหวย พี่จั๋วนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้มาก่อน แม้แต่คนพื้นที่ที่ต้องหลับนอนอยู่ในป่าบ่อยๆ อาจจะยังเก่งสู้เขามิได้เลย”

 

 

องครักษ์ลับสามที่นั่งอยู่ข้างกองไฟเพียงเลิกคิ้วขึ้นมิได้กล่าวอันใด เขาไม่มีทางบอกหานหมิงซีแน่ว่า เมื่อครึ่งปีของปีที่แล้ว พวกเขาพี่น้องสี่คนต้องผ่านการฝึกเช่นไรบ้างเมื่อตอนอยู่ที่ตีนเขาของยอดเขาเฮยอวิ๋น อันที่จริงจนถึงตอนนี้ พวกเขาพี่น้องก็ยังคิดไม่ตกว่าเหตุใดในสมองของนายตนถึงได้มีความคิดและวิธีการฝึกที่แปลกประหลาดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าเขา พวกเขาแต่ละคนถูกปล่อยทิ้งไว้กลางป่าลึกที่มองไม่เห็นแม้ขอบป่า ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแมลง หนู และงูมีพิษกันคนละหนึ่งเดือนเต็ม อาวุธที่ติดกายไปมีเพียงกริชเล่มหนึ่งกับธนูที่มีลูกธนูอยู่เพียงห้าดอก ในตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจว่า การฝึกประเภทนี้มีประโยชน์ต่อการต่อสู้ วิชาตัวเบา และกำลังภายในของพวกเขาที่ตรงใด แต่องครักษ์ลับสองที่ได้เข้าและออกจากป่ามาเป็นคนแรกด้วยสภาพเสื้อผ้ายับเยินกลับล้มองครักษ์ลับหนึ่ง สี่และตนเองได้ เดิมทีพวกเขาทั้งสี่คนฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ต่อให้รู้แพ้รู้ชนะบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้ แต่ในครั้งนั้น องครักษ์ลับสองได้แสดงความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของเขาออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงขนาดล้มองครักษ์ลับหนึ่ง และตัวเขาได้ สุดท้ายล้มองครักษ์ลับสี่ได้แต่ตนเองก็สะบักสะบอมไปไม่น้อย เขามิได้เรียนการต่อสู้อันใดอื่นๆ เลย แม้แต่กำลังภายในก็มิได้มีมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงขององครักษ์ลับสองนั้นทำให้พวกเขาทั้งตกใจและยินดีเป็นอย่างมาก

 

 

           จนเมื่อองครักษ์ลับสามได้เข้าไปด้วยตนเอง ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วองครักษ์ลับสองได้พบกับอันใดบ้าง ทั้งงูพิษ แมลงมีพิษ หญ้าพิษ หนองน้ำและสัตว์ดุร้าย

 

 

แรกๆ เขามิกล้าข่มตานอนแม้ในยามกลางคืน เพราะบางครั้งหากหลับตานอนลงเมื่อไร ตื่นขึ้นมาจะพบว่าตนเองถูกหมาป่าล้อมไว้ หรือไม่ก็พบว่ามีงูที่มีพิษร้ายกำลังแลบลิ้นพร้อมแผ่เม่เบี้ยส่งเสียงขู่ดังฟ่อๆ แล้วทุกวันยังต้องคอยหาอาหารให้ตนเองกิน ทั้งยังต้องเป็นของที่พระชายากำหนดอีกด้วย ครั้งที่โชคร้ายที่สุดคือ เขาติดอยู่ในหนองน้ำนานสามชั่วยาม จนเกือบคิดว่าตนเองคงใกล้เอาชีวิตไม่รอดแล้ว แต่เมื่อใกล้วันครบกำหนดหนึ่งเดือน เขากลับพบว่าตนเองค่อยๆ เคยชินกับสภาพความโชคร้ายเหล่านั้น ถึงไม่มีวิทยายุทธ์เขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างสบายๆ ถึงขั้นต่อให้ไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยตลอดวันร่างกายเขาก็ยังไม่รู้สึกทรมานมากนัก ซึ่งเรื่องเหล่านี้นั้นมีเพียงวิทยายุทธ์ไม่พอ หลังจากวันที่เขารอดชีวิตออกมาจากป่าได้ ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วตั้งแต่วันที่เขาเข้าป่าไป พระชายาคอยลอบตามสังเกตการณ์เขาอยู่ตลอด ซึ่งทำให้องครักษ์ลับสามนับถือพระชายาที่อายุยังน้อยผู้นี้ด้วยใจจริง ในใจพวกเขาต่างรู้ดี นายหญิงของพวกเขาเป็นพระชายาติ้งอ๋องที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ สิ่งเดียวที่องครักษ์ลับสามรู้สึกเสียดายก็คือ แผนการเดิมที่พระชายาเคยวางไว้ว่าจะสอนพวกตนนั้น มีอันต้องสะดุดลงกลางคันด้วยเพราะอาการป่วยของท่านอ๋อง