ตอนที่ 103.2 กลัดกลุ้มยิ่งแข็งแรง (2) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เห็นชัดว่าเธอเหยียบใส่น้ำหนักขนาดนี้ เจ้านั้นกลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยิ้มอย่างเหยียดหยามเช่นเดิม!

แปลกจริงๆ!

เล่อเหยาเหยาไม่เข้าใจและสงสัยในใจ จนอดกระพริบตาลงอย่างสงสัยไม่ได้ พลางคิดในใจว่าหรือเธอเหยียบไม่ถูกเท้าของเจ้านั้น!

แต่สิ่งที่เธอกำลังเหยียบอยู่นี้คือสิ่งใด!

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ มีคนคล้ายรู้ความในใจของเธอ จึงเอ่ยคลายความสงสัยของเธอขึ้น

“ที่เจ้าเหยียบอยู่ คือเท้าของข้า”

“เอ่อ”

เสียง‘ตูม’ดังขึ้น ครั้งนี้เล่อเหยาเหยาแข็งทื่อราวกับก้อนหิน

เมื่อขายหน้ามานับไม่ถ้วน ใบหน้าจึงหนาขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยเมื่อถึงฤดูหนาวจะได้อุ่นขึ้น!

เล่อเหยาเหยาที่สติกระเจิดกระเจิงอยู่นาน เอ่ยเช่นนี้ปลอบใจตนเอง

หลังกินอาหารเที่ยงมื้อที่ยากจะลืมนี้จบลง พวกพญายมเคลื่อนย้ายไปนั่งจิบชาสนทนากันที่สวนไผ่

เวลานี้เป็นฤดูร้อน อากาศด้านนอกจึงร้อนระอุจนสามารถเผาย่างคนได้

ใบไม้ที่เดิมเชียวชอุ่ม เวลานี้ก็ถูกพัดม้วนเข้าด้วยกัน

ต้นไม้โน้มลงต่ำอย่างอ่อนแรง

นอกจากจักจั่นบนต้นไม้ที่คล้ายสามารถซ่อนเร้นอยู่ได้อย่างไม่สิ้นสุด กำลังส่งเสียงร้องจากต้นไม้อย่างไม่รู้จบ

ทำให้คนที่ฟังนาน อดรู้สึกง่วงนอนอยากนอนไม่ได้

โดยเฉพาะภายในสวนไผ่

สวนไผ่ พอเห็นชื่อจะคิดไปถึงความหมายของมัน ภายในปลูกไผ่ไว้หลากหลายชนิด

มีไผ่เฟิ่งเหว่ย ไผ่ฉินซือ ไผ่ปี้อวี๋ เป็นต้น

เห็นเพียงไผ่พวกนี้ เขียวตลอดทั้งสี่ฤดู ตั้งตรงสวยงาม หลากหลายรูปแบบ

และยังเรียกลมเป็นพิเศษ

เวลานี้พวกเขาสามคน นั่งสนทนาบางอย่างอยู่ในเก๋งหยกสีขาวภายในสวนไผ่

ส่วนเล่อเหยาเหยาพิงเสาหยกขาวอยู่อย่างง่วงงุน

พักนี้เธอคล้ายนับวันยิ่งชอบงีบหลับ

ไม่รู้ว่าเพราะเป็นฤดูร้อนหรือไม่ เธอจึงรู้สึกเหนื่อยง่าย

หากปกติเวลานี้ พญายมจะเข้าวังหลวงไป เธอหลังจากทำงานในตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ จะแอบไปพักผ่อนและงีบหลับ

แต่ตอนนี้คุณชายทั้งหลายต่างอยู่ที่นี่ บ่าวเช่นเธอจึงทำได้เพียงพิงเสาก้มหน้าหลับตางีบหลับอยู่อย่างลำบาก

สายลมพัดเอื่อย ปุยเมฆบางเบา พัดโชยผ่านมา สดชื่นเย็นสบาย

หลังรั้วที่เล่อเหยาเหยายืนอยู่คือทะเลสาบที่ผิวน้ำแวววาวระยิบระยับ

สายลมพัดผ่านทะเลสาบ ทำให้เกิดระลอกคลื่น รวมทั้งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ทำให้ผิวน้ำบนทะเลสาบเกิดเป็นแสงดุจทองอันงดงาม!

แม้ทิวทัศน์ด้านนอกดุจภาพวาด ทว่ากลับไม่สู้ชายหนุ่มรูปงามสามคนสามบุคลิกในเก๋ง

เพียงสถานที่นั้นมีชายหนุ่มสามคนนี้ ทิวทัศน์ทุกอย่างคล้ายเปลี่ยนไปเป็นเพียงฉากหลัง

รวมทั้งสายลมที่พัดกระบอกไผ่นั้น ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ จมูกก็ได้กลิ่นหอมของชาจางๆ ลอยเข้ามา

นี่ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจหลังอาหารเที่ยงอย่างยิ่ง น่าเสียดายบรรยากาศรอบด้านที่มีชายรูปงาม ทิวทัศน์ดุจบทกวีในตอนนี้ พลันมีเสียงกรนที่แปลกประหลาดดังขึ้นมา

และเสียงกรนนี้ยังมีจังหวะอย่างยิ่งอีกด้วย เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชายหนุ่มสามคนที่กำลังหารือบางอย่างอยู่ในเก๋งต่างมีสีหน้าตกตะลึง

หนานกงจวิ้นซีได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาตะลึงชั่วขณะ พลันฉุกคิดขึ้นมา ก่อนเอ่ยปากโพล่งออกไป

“ศิษย์พี่ใหญ่ สวนไผ่ของท่านเลี้ยงหมูตั้งแต่เมื่อใด”

“เอ่อ”

สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงยิ้มมุมปาก แสดงท่าทางจนใจอย่างยิ่งออกไป

ดวงตาเย็นชาอดกวาดมองไปยังที่มาของเสียงกรนที่ดังออกมานั้นไม่ได้ พลันยิ้มมุมปากขึ้นอีกครั้ง

เพราะเขาโตมาอายุถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ามีคนสามารถยืนและหลับไปพร้อมกันได้

หรือ ‘เขา’ จะง่วงมากขนาดนั้น!

ขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดในใจ หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างตงฟางไป๋ก็มองไปยังที่มาของเสียงกรนนั้นเช่นกัน

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยายืนจนหลับไป ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางไป๋ก็ตะลึงเล็กน้อย พลันยิ้มที่มุมปากอย่างอ่อนโยนขึ้น

และนัยน์ตาเรียวที่มองไปยังเล่อเหยาเหยา ปรากฏความโปรดปรานและอบอุ่นแวบขึ้นมา กระทั่งเจ้าตัวเองก็ไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้

ทว่ากลับถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเข้า

เมื่อเห็นแววตาโปรดปรานของตงฟางไป๋ ทำให้ดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เบิกกว้าง ปรากฏความแปลกใจขึ้นมา

ในใจรู้สึกกังวล

หรือว่าไป๋เขาจะ…

พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดกัดกระพุ้งแก้มไม่ได้ แววตาปรากฎความเย็นชาออกมาอย่างอดไม่อยู่

ทุกคนต่างไม่รับรู้ถึงสายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋

แน่นอนว่าเล่อเหยาเหยาที่กำลังฝันหวาน ก็ไม่รับรู้ว่าขณะนี้เธอทำให้พญายมโมโหอีกครั้งแล้ว

ต้องเข้าใจว่าพญายมไม่เพียงมีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยโสโอหัง เขาไม่เข้าใจเรื่องความรัก แต่กลับมีความคิดอยากครอบครองเป็นที่สุด

ทุกคนต่างไม่สนใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ส่วนหนานกงจวิ้นซีนั้นหลังรู้ว่าเสียงกรนนั้นไม่ใช่หมูแต่เป็นเล่อเหยาเหยา ใบหน้าที่สดใสเด็ดเดี่ยว คางแทบหล่นลงมาเพราะตกใจ

“สวรรค์! ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจว่าบ่าวผู้นี้มิใช่หมูกลับชาติมาเกิดนะ”

“เจ้าหมายถึงสิ่งใด”

สำหรับคำพูดที่ดูเสื่อมเสียของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงขมวดคิ้ว ก่อนเอ่ยขึ้น

เมื่อหนานกงจวิ้นซีได้ยิน รีบแสดงความเห็นของตนออกมา เอ่ยอย่างเกินจริงว่า

“คนที่สามารถกิน และยืนหลับได้เช่นเขา ไม่ใช่หมูกลับชาติมาเกิดจะคือสิ่งใด! วันหน้าพวกเราไม่ควรเรียกเขาว่ากระต่ายน้อย ควรเรียกว่าหมูน้อย!”

หนานกงจวิ้นซีหากเวลาใดไม่ได้เหยียดหยามเล่อเหยาเหยาก็คงไม่สบายใจจริงๆ

และเล่อเหยาเหยาที่ถูกเรียกขานว่า ‘หมูน้อย’ อย่างไม่ปี่มีขลุ่ย เวลานี้กลับไม่รู้ว่าตนกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน กำลังส่งเสียงกรนพร้อมกับดูดริมฝีปากครู่หนึ่ง คล้ายกำลังสูดน้ำลาย

ท่าทางที่ไม่มีผู้ใดบนโลกเทียบได้นี้ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าเหนือศีรษะมีฝูงอีกาบินผ่านไป

บนโลกนี้คนที่ยืนหลับได้ มีเพียงไม่กี่คน…

เพียงแต่ขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับการยืนหลับของเล่อเหยาเหยา

เล่อเหยาเหยากลับไม่รับรู้เลยสักนิด

เธอรู้เพียงตอนนี้ตนเหนื่อยและง่วงอย่างมาก แม้ตอนนี้เธอจะหลับไปแล้ว แต่ภายในจิตใต้สำนึกของเธอก็อยากนอนลงแล้วหลับไป

ดังนั้นในจิตใต้สำนึก ร่างของกายเธอค่อยๆ ล้มตัวไปทางด้านหลัง

ทว่าเธอกลับไม่รู้ว่าด้านหลังเสาที่ตนพิงอยู่ คือทะเลสาบที่มีผืนน้ำแวววาวระยิบระยับ

เธอไม่รู้ว่าท่าทางนี้ของตน ทำให้ใจของทุกคนเต้นระรัวไปตามความเร็วของเธอ

เพราะท่าทางนี้ของเล่อเหยาเหยาเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีเกินไป หนานกงจวิ้นซีที่ห่างจากเธอใกล้ที่สุดยังไม่ทันได้สติ สายตาเห็นเล่อเหยาเหยากำลังจะตกลงไปในทะเลสาบ

หนานกงจวิ้นซีหลังได้สติ กำลังจะพุ่งทะยานเข้าไปรับตัวเล่อเหยาเหยาที่ล้มลง

แต่กลับมีเงาร่างสายหนึ่ง เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว

หนานกงจวิ้นซีรู้สึกเพียงมีเงาสีดำแวบผ่านด้านหน้าไป ตามมาด้วยลมอันรุนแรง คนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาหายไปแล้ว

สายตาเห็นภาพที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋รีบร้อนเข้าไปรับตัวเล่อเหยาเหยาไว้

“ศิษย์พี่ใหญ่”

หนานกงจวิ้นซีดวงตาเบิกกว้าง เผยอริมฝีปาก เอ่ยพึมพำขึ้น

เมื่อครู่ขณะเห็นภาพน่าตกใจที่เล่อเหยาเหยากำลังจะตกลงไปในทะเลสาบ ใจเขาเต้นระรัว แม้ตอนนี้จะเห็นว่าในที่สุด ‘เขา’ ปลอดภัยแล้ว ใจน่าตายของเขาควรวางใจลงถึงจะถูก

แต่เหตุใด เมื่อเห็น ‘เขา’ถูกศิษย์พี่ใหญ่กอด และมีท่าทางหลับฝันหวานเช่นเดิมอยู่ในอ้อมกอดของศิษย์พี่ใหญ่นั้น ในใจเขาถึงไม่สบายเช่นนี้!

หนานกงจวิ้นซีอึดอัดใจ คิ้วงามนั้นขมวดเป็นปมเพราะภาพตรงหน้า

ในใจรู้สึกผิดหวังเสียใจ และสับสนขึ้นมาไปพร้อมกัน

หากเมื่อครู่เขารู้สึกตัวเร็วกว่านี้ คนที่กอด ‘เขา’ในตอนนี้คงเป็นตน

ตรงข้ามกับหนานกงจวิ้นซีที่ผิดหวังและสับสน ทางตงฟางไป๋นั้น หลังเห็นเล่อเหยาเหยาปลอดภัย ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ความจริงเมื่อครู่ ขณะเห็น ‘เขา’จะตกลงไปในทะเลสาบ เขาก็สามารถพุ่งเข้าไปเช่นกัน

แต่เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของคนข้างกาย และความเร็วปานลมกรดนั้น เขาหยุดการเคลื่อนไหวลง

เพราะมีคนกังวลห่วงใย ‘เขา’มากกว่าเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องห่วงมิใช่หรือ!

ทว่าคนตัวเล็กนี้ ยังน่าสนใจจริงๆ!

แม้จะรู้จักกับ‘เขา’ไม่นาน แต่บนตัว‘เขา’มักมีความรู้สึกที่ทำให้คนประหลาดใจอย่างยิ่ง

ทำให้เขาอยากปกป้อง‘เขา’ทะนุถนอม‘เขา’

สำหรับความคิดเช่นนี้ ตงฟางไป๋ที่มีชีวิตมายี่สิบปี ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ปรากฎความคิดเช่นนี้ขึ้นมา

ไม่ว่าอย่างไร สามารถได้รู้จักน้องชายผู้นี้ เขายังคิดว่าน่าดีใจอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะ หากปีนั้นช่วงเกิดอุทกภัย เขาไม่ปล่อยน้องสาวในผ้าอ้อมนั้นไป ตอนนี้น้องสาวของเขาน่าจะอายุประมาณน้องชายตรงหน้านี้!

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋ถอนหายใจ และเศร้าเสียใจขึ้นมา

ส่วนทางเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ไม่รู้ความคิดภายในใจของสองคนตรงนั้น เขาเพียงกอดคนในอ้อมอกแน่น ใจที่เดิมทีวิตกกังวล หลังก้มมองคนที่หลับฝันหวานเช่นเดิมในอ้อมกอด ดวงตาเย็นชาที่แคบยาวคู่นั้น เป็นประกาย ในใจพลันอบอุ่น ก่อนถอนหายใจออกมา

ช่างเป็นคนที่ขี้เซาจริงๆ!

…………………………….