ภายในห้องของฮานชิวเยว่ นางกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าได้ยินว่ากิจการนี้ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ บรรดาตระกูลขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมและได้รับผลกำไรมาจำนวนไม่น้อยทีเดียว ครั้งก่อนไปบ้านท่านหวงรองเลขาธิการชั้นสอง ได้เห็นบ้านเขาซึ่งใหญ่โตและดูมีราศี ข้าล่ะอดรู้สึกอึดอัดใจมิได้ เขาเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ระดับห้าแต่เหตุใดถึงได้ร่ำรวยปานนั้น ที่แท้ตระกูลเขาก็ไปเปิดเหมืองถ่านหินแล้วนี่เอง”
แม่เจียงกล่าวขึ้นด้วยความลังเลใจ “กิจการนี้จะว่าดีมันก็ดีเจ้าค่ะ ทว่าเงินทุนก็มากเหลือเกินเช่นกันนะเจ้าคะ”
ฮานชิวเยว่ถอดถอนหายใจ “ข้าเองก็กังวลในประเด็นนี้เช่นกัน เกิดขาดทุนขึ้นมา นั่นคงเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวง”
แม่เจียงรำพึงรำพันภายในใจ คงมิได้เป็นเพียงแค่ความเสียหายอันใหญ่หลวง นั่นมันเป็นหมายถึงความเป็นอยู่ของตระกูลกันเลยทีเดียวเชียว
“ทว่าหากพลาดโอกาสนี้ไปก็คงน่าเสียดาย” ฮานชิวเยว่สับสนเป็นอย่างยิ่ง นายกู่ผู้นั้นเอ่ยว่าเพียงไม่ถึงครึ่งปีหรืออย่างช้าเพียงหนึ่งปีก็สามารถคืนทุนได้แล้ว หลังจากนั้นก็เป็นกำไรล้วนๆ หากเป็นเช่นนี้จริง นางยังต้องกังวลใจเรื่องพื้นที่ชานเมืองสองแห่งและห้องแถวร้านค้าที่นางเยี่ยทิ้งไว้อีกหรือ จะทำอันใดก็ต้องมัวยำเกรงเหล่าเหยียอีกหรือ และต่อให้หมิงเจ๋อสอบไม่ติดจิ้นซื่อก็ยังมีกิจการนี้ซึ่งช่วยให้สุขสบายไปทั้งชาติ
แม่เจียงกล่าว “เอาเป็นว่าถามไถ่ให้ชัดเจนอีกหน่อยจะดีกว่านะเจ้าคะ”
ไม่นานนักนายซุนก็กลับเข้ามา
“ฮูหยินขอรับ ท่านต้องรีบตัดสินใจหน่อยนะขอรับ นายกู่เอ่ยว่าเขารอได้มากสุดเพียงสองวันเท่านั้น หากช้าไปกว่านี้ ภูเขาเหมืองผืนนั้นจะถูกคนแย่งไปก่อนแล้วจะมาเสียใจภายหลังก็คงสายไปแล้วขอรับ” นายซุนกล่าวโน้มน้าว เมื่อเห็นนายหญิงมีสีหน้าลังเลใจ จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หากมิใช่ข้าน้อยบังเอิญไปได้ยินนายกู่เอ่ยถึงเรื่องนี้เข้าก็เลยร้องขอเอาไว้ นายกู่คงนำโอกาสนี้หยิบยื่นไปให้ตระกูลอื่นแล้วขอรับ…”
“นายซุน นายกู่ผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่” แม่เจียงเอ่ยถามความในใจของฮานชิวเยว่ออกมา
“เชื่อถือได้แน่นอน เขาครอบครองเหมืองที่มณฑลซานซีนั่นถึงห้าแห่งจนทำเงินเป็นกอบเป็นกำ ฮูหยินเมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้วมิใช่หรือขอรับ ตระกูลหวงรองเลขาธิการชั้นสองก็ไปร่วมลงทุนทำเหมืองโดยผ่านลู่ทางเขาแล้วแห่งหนึ่ง จนตอนนี้ทำเงินให้เป็นจำนวนมาก และภูเขาเหมืองลูกนี้ที่เตรียมจะครอบครอง นายกู่ก็ไปตรวจสอบด้วยตนเองมาแล้วซึ่งต้องเป็นเหมืองที่ดีแห่งหนึ่งอย่างแน่นอนและนั่นคงสามารถทำเงินได้มหาศาล” นายซุนกล่าวอย่างมั่นใจ “กิจการที่สามารถทำเงินมหาศาลเช่นนี้มิได้พบเจอกันได้ง่ายๆ นะขอรับ! ฮูหยิน!”
ฮานชิวเยว่เริ่มคล้อยตามอย่างเห็นได้ชัด “ทว่าตอนนี้เงินที่เรามีอยู่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี…” ในก้อนแรกต้องใช้เงินสามแสนเหลี่ยงเงิน แล้วยังเหลืออีกสองก้อนที่ต้องลงทุนซึ่งรวมกันก็มากถึงหกแสนเหลี่ยงเงิน รายรับผลกำไรจากแปลงไร่สวนและห้องแถวนำมาหักลบกับค่าใช้จ่ายประจำวันในบ้านแล้ว จะเหลือทั้งหมดก็ประมาณสี่แสนกว่าๆ เหลี่ยง ซึ่งยังขาดอีกตั้งหลายแสนเหลี่ยงเงินจะไปหาเอาจากแห่งหนใดได้
นายซุนกล่าว “ที่ดินไร่สวนและห้องแถวร้านค้าคงยังขายไม่ออกในเร็วๆ นี้ขอรับ แต่อย่างไรก็ตาม หากคืนทุนในช่วงครึ่งปีถึงหนึ่งปีได้ ฮูหยินขอรับ ข้าน้อยรู้จักคนปล่อยเงินกู้อยู่สองสามราย สามารถกู้เงินมาหมุนเวียนได้นะขอรับ ต่อให้ไม่หวังพึ่งพาทางด้านเหมืองนั่น ปีหน้าผลกำไรของพื้นที่ไร่สวนและห้องแถวร้านค้าก็มีจำนวนเงินที่ถัวเฉลี่ยแล้วพอๆ กันโดยมิต้องเกรงว่าจะจ่ายคืนมิไหวขอรับ”
แม่เจียงกล่าวด้วยความกังวล “เงินกู้ดอกเบี้ยสูงจะตายชัก วงจรพวกนี้ พอได้เข้าไปแล้วคงไม่ได้หลุดพ้นออกมากันง่ายๆ ”
ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างหนักใจ “เจ้าไปถามไถ่สหายผู้นั้นของเจ้าดูว่าดอกเบี้ยเท่าใด ข้าจะลองคำนวณวางแผนดูก่อน”
นางซุนกล่าวขึ้นทันควัน “ข้าน้อยจักรีบไปถามเดี๋ยวนี้ขอรับ”
แม่เจียงยังคงรู้สึกไม่เห็นด้วย “ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องนี้ท่านลองปรึกษาหารือกับเหล่าเหยียสักหน่อยดีกว่านะเจ้าคะ ลองดูว่าเหล่าเหยียท่านว่าอย่างไร” ในเมื่อต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากถึงเพียงนั้น จะทำเป็นเล่นไปก็คงไม่ใช่เรื่อง
ฮานชิวเยว่กล่าว “เหล่าเหยียรู้จักจัดการเรื่องเหล่านี้ที่ไหนกัน บอกเหล่าเหยีย ทางด้านเหล่าไท่ไทก็คงรับรู้ด้วยอย่างแน่นอน เจ้าก็รู้ดีว่าเหล่าไท่ไทผู้นี้ระมัดระวังอยู่เสมอ คงไม่เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแน่นอน มีคำกล่าวที่ว่าต้องยอมเสี่ยงถึงจะร่ำรวยขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนจำนวนมากถึงเพียงนี้ต่างก็ประสบความสำเร็จกันแล้ว นายกู่ก็ถือได้ว่ามีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ น่าจะไม่มีความเสี่ยงอันใดหรอก เอาเป็นว่าเรารอนายซุนกลับมาให้คำตอบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจแล้วกัน!”
แม่เจียงเห็นนายหญิงเคลิ้มตามไปเสียแล้วจะเอ่ยคัดค้านก็คงไม่ดีเท่าไหร่นัก อีกอย่างนายหญิงของตนเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ที่ไม่เลวมาแต่ไหนแต่ไรและยังมีความกล้าหาญอย่างมากด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจทำเงินให้มหาศาลขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้… เช่นนั้นนายหญิงและคุณชายใหญ่ก็จะตั้งตัวได้เสียที ดังนั้นแม่เจียงจึงไม่เอ่ยเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป
หลี่หมิงอวินเลิกงานมาพร้อมกับสีหน้าอันอ่อนล้าเล็กน้อย หลายวันมานี้เขาถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปปฏิบัติงานในพระราชวัง และด้วยบทกลอนครั้งก่อนที่เขาเขียนทำได้ดีทีเดียวทำให้ฮ่องเต้พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง จึงให้เขาไปปฏิบัติงานที่ฝ่ายตรวจสอบเลยยุ่งจนหันเป็นน็อตตัวเป็นเกลียว
ป๋ายฮุ่ยช่วยเขาปลดผ้าคลุมกันลม ตามด้วยยินหลิ่วที่ส่งผ้าขนหนูอุ่นๆ ให้ ส่วนหลินหลันรินน้ำชาให้แก่เขาด้วยตนเอง รอกระทั่งเขาหย่อนตัวลงนั่งจึงเข้าไปบีบนวดให้อย่างเอาใจ
หลี่หมิงอวินปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแล้วกล่าวขึ้น “ได้ภรรยาดีเช่นนี้ ก็เกินพอแล้วสำหรับชีวิตนี้!”
หยินหลิ่วปิดปากที่กำลังแอบหัวเราะ ก่อนจะดึงป๋ายฮุ่ยออกไป
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าประจบประแจงตอนอยู่ข้างนอกนั่นยังไม่พออีกหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสบายๆ “ฮูหยินพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้องกระมัง! กับฮ่องเต้นั่นเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน กับหัวหน้าฝ่ายนั่นเป็นการให้ความเคารพ กับสหายร่วมงานนั่นเป็นการจริงใจไม่เสแสร้ง อยู่ข้างนอกไม่ว่ากับผู้ใด ข้าหลี่หมิงอวินผู้นี้มิเคยประจบประแจงผู้ใดแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงอยู่ในบ้านเท่านั้น ทางด้านท่านพ่อนั่นขึ้นอยู่กับอารมณ์เป็นหลัก ส่วนต่อหน้าเจ้าทุกประโยคล้วนกลั่นกรองจากความรู้สึกที่แท้จริงทั้งสิ้น”
หลินหลันบีบเขาอย่างแรงเข้าไปหนึ่งที ทำให้หลี่หมิงอวินรู้สึกเจ็บจนร้องขอความเห็นใจ “เจ้าเบามือหน่อยสิ จะพรากชีวิตสามีของตนเองหรือไรกัน!”
หลินหลันกลั้นหัวเราะ “เจ้ากลั่นกรองออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงทั้งที เช่นนั้นข้าก็ต้องแสดงทักษะฝีมืออย่างแท้จริงถึงจะถูก”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้าทันทีก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าช่วยบีบนวดธรรมดาๆ ก็พอแล้ว”
ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่สักพัก หลี่หมิงอวินถึงได้เอ่ยถามขึ้น “ร้านค้าตกแต่งไปถึงไหนแล้วหรือ”
“งานไม้เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ พรุ่งนี้ช่างทาสีน้ำมันจะเข้ามาหน้างาน ข้าเห็นว่าเหล่าอู๋ค่อนข้างมีความสามารถทีเดียวเชียวล่ะ จัดการวางแผนงานได้อย่างรอบครอบ ช่วยเบาแรงข้าไปได้ไม่น้อยเลย” หลินหลันเอ่ยพลางบีบนวดให้แก่เขา
“ผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรมจากตระกูลเยี่ยต่างก็ทำงานได้ดีเยี่ยมทั้งนั้น” หลี่หมิงอวินเผยท่าทีภูมิใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสริม “น่าเสียดายที่ระยะนี้ข้ายุ่งมากจึงไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าได้”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เจ้าจดจ่อเรื่องงานของเจ้าก็พอแล้ว เรื่องเปิดร้านอะไรพวกนี้ เป็นเรื่องเล็กๆ อีกอย่างยังมีคนตั้งมากมายค่อยช่วยเหลือข้า ข้าสามารถรับมือได้สบายมาก”
หลี่หมิงอวินลูบคลำฝ่ามือเล็กๆ ของนาง “ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าเจ้าจะเหนื่อยเกินไปก็เท่านั้น”
หลินหลันมองบนอย่างอ่อนใจ แล้วทีตอนกลางคืนที่ทำกับนางเหตุใดถึงไม่รู้จักเป็นห่วงว่านางจะเหนื่อยบ้าง
“วันมะรืนนี้ข้าเรียนเชิญผู้จัดหาวัตถุดิบยาจำนวนหนึ่งมาเจรจาธุรกิจกันที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจู”
หลี่หมิงอวินหันมองนาง “หรือไม่ข้าลางานสักวันจะได้ไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“บอกแล้วไงว่ามิต้อง ข้าสามารถจัดการเองได้ หากเจ้าไปด้วย ข้ากลับรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจเวลาจะต่อรองราคากับพวกเขา” หลินหลันพำพึม
หลี่หมิงอวินหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แล้วดึงนางเข้าไปนั่งในอ้อมกอด ทุกๆ วันหลังเลิกงานกลับมา การได้พูดคุยขณะโอบกอดนางไว้เช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดก็ว่าได้
“เช่นนั้นเจ้าก็สนใจแค่ลงมือทำให้เต็มที่ ส่วนเรื่องเงินทุนไม่ต้องกังวลไป ของพวกเราเองมีเพียงพออย่างแน่นอน อีกทั้งทางด้านท่านลุงก็ช่วยเหลือได้เช่นกัน” หลี่หมิงอวินมองนางด้วยสายตาอันแสนอบอุ่นขณะเดียวกันฝ่ามือของเขาก็ลูบไล้อยู่บนเอวคอดของนาง
หลินหลันรีบจับมือของเขาไว้เพื่อไม่ให้มือของเขาซุกซนขึ้นไปเรื่อย ซึ่งทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ลูบๆ คลำอยู่ เสื้อผ้าของนางก็เป็นอันหลุดลุ่ยไปเสียแล้ว อีกประเดี๋ยวยังต้องไปน้อมทักทายยามเย็นหญิงชราก็ต้องมาจัดระเบียบเสื้อผ้าใหม่อีกครั้ง ซึ่งมันยุ่งยากเสียยิ่งกะไรดี
“เพียงพอแล้วล่ะ ความจริงวัตถุดิบยาตัวอื่นไม่ต้องนำเข้ามามากมาย ที่นำเข้ามาเยอะหน่อยก็จะเป็นสำหรับชนิดตัวยาหลักๆ ที่มีอยู่แล้ว และข้ายังเหลือเงินไว้เพียงพอสำหรับทำเออเจียวอีกด้วย! ข้าเพียงแค่กำลังคิดว่า เรื่องที่ข้าเปิดร้านยา จะพูดกับท่านย่าและท่านพ่อเมื่อใดดี เกิดพวกเขาไม่เห็นด้วยขึ้นมา…” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล ตอนนี้บรรยากาศภายในบ้านถือว่าเป็นไปอย่างชื่นมื่น แม่มดชราไม่มีปัญญาก่อเรื่องเลวๆ พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็สนใจแต่อนุภรรยาและดูเหมือนนิสัยใจคอจะดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากปัญหาอันใหญ่หลวงของหมิงเจ๋อครั้งก่อนที่เห็นเขาระเบิดอารมณ์ขึ้นมานั้น ส่วนมากพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็จะมีสีหน้าเบิกบานสำราญใจ ส่วนหญิงชราแม้ว่าปากจะพรำเอ่ยถึงกฎระเบียบ ทว่ากฎระเบียบพวกนั้นแทบไม่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมเสียแล้ว เพราะปัญหาของหมิงเจ๋อ สถานะที่นางอยู่ในบ้านหลังนี้ก็สูงขึ้นไปด้วย บรรดาข้ารับใช้ต่างไม่กล้ามองนางด้วยสายตาดูถูกเช่นแต่ก่อนอีก ภาพรวมจึงเป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น นางจึงไม่อยากให้หญิงชราและพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายรู้สึกไม่พึงพอใจในช่วงเวลาเช่นนี้
หลี่หมิงอวินบีบใบหน้าเรียวเล็กที่กำลังเศร้าสร้อยของนางอย่างเอ็นดูแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีข้าอยู่ทั้งคน! จะเกรงกลัวอันใดไป! ทางด้านท่านย่าและท่านพ่อไว้ข้าไปพูดคุยให้”
หลินหลันเมื่อได้ยินดังกล่าวก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที “เรื่องต่อกรกับท่านพ่อของเจ้า ต้องยกให้เจ้าแล้วล่ะ”
นัยน์ตาสีดำสนิทของหลี่หมิงอวินฉายให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ที่แฝงเอาไว้ซึ่งความอบอุ่น “หากมีรางวัล ข้าจักเต็มใจรับใช้ผู้ทรงอำนาจและทุ่มเทสุดความสามารถอย่างแน่นอน”
หลินหลันหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย “เจ้าช่างเป็นชายหนุ่มที่โลภมากไม่รู้จักพอ”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าเป็นเช่นนั้นหรือ”
หลินหลันยื่นมือขึ้นไปบิดใบหูของเขาอย่างหมั่นเคี้ยว “ก็ใช่น่ะสิๆๆ …”
หลังจากทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่สักพัก หลินหลันก็เอนกายสบลงบนแผงอกกว้างของเขาอย่างสงบนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้ข้าเห็นนายซุนพาคนผู้หนึ่งมา ดูเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องเหมืองถ่านหินของเจ้า”
หลี่หมิงอวินลูบเส้นผมสลวยของนางเป็นระยะๆ ด้วยสีหน้าพึงพอใจ “รอหน่อยแล้วกัน! ละครดีๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
ทันใดนั้นหลินหลันก็กระตือรือร้นขึ้นมา นางลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วมองไปที่เขาอย่างสนอกสนใจ “หมายความว่า เจ้าลงมือแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินมองนางอย่างเงียบๆ ก่อนจะเผยเสียงหัวเราะอันชวนหลงใหล
“แล้วเกิดแม่มดชราไม่ตกหลุมพรางจะทำอย่างไรหรือ” หลินหลันรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“เรือโจรสลัดนี้ ต่อให้นางไม่อยากขึ้นก็ต้องลากนางขึ้นไปให้ได้” หลี่หมิงอวินเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
ในคืนเดียวกันนายซุนก็กลับมาพร้อมคำตอบ
“สหายผู้นั้นของข้าเอ่ยว่าที่เขามีเงินก้อนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้ปล่อยกู้ออกไปอยู่พอดี ในเมื่อเป็นฮูหยินที่ต้องการกู้ยืม เขาจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำหน่อยขอรับ หากเป็นจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นเหลี่ยงเงิน ดอกเบี้ยต่อหนึ่งเดือนคือหกพันเหลี่ยง หากยืมผู้อื่น อย่างน้อยๆ ก็เป็นจำนวนนี้ขอรับ” นายซุนยกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว
ฮานชิวเยว่รีบคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว หากครึ่งปีคืนทุน ก็จะเป็นจำนวนดอกเบี้ยเพียงสามหมื่นหกพันเหลี่ยง หนึ่งปีก็แค่เจ็ดหมื่นสองพันเหลี่ยง ลำพังรายได้ของห้องแถวร้านค้าก็เพียงพอแล้วและยังเหลือกำไรอีก ทันใดนั้นนางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว
แม่เจียงซึ่งอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินกลับรู้สึกใจเต้นไม่เป็นสุข ผู้ปล่อยเงินกู้นี้ก็ช่างเคี้ยวเกินไปแล้วกระมัง ยังมีหน้ามาพูดว่าคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำ ลำพังหนึ่งปีก็เกือบจะเท่าครึ่งหนึ่งของเงินทุนกู้แล้วด้วยซ้ำ แม่เจียงมองไปยังฮูหยินด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วใช่หรือไม่ มิใช่ถึงเวลามากลับคำอีก” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
นายซุนเอ่ย “เรื่องเช่นนี้ต้องร่างเป็นลายลักษณ์อักษรขอรับ ไม่มีการกลับคำอะไรอย่างแน่นอน ทว่าก็ต้องเร่งรีบหน่อย มิเช่นนั้นวันพรุ่งนี้มีคนไปยืมเงินถึงที่บ้านเขา ดอกเบี้ยคงต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอนขอรับ ตอนนี้ผู้ที่อยากเปิดเหมืองถ่านหินในเมืองหลวงมิใช่น้อยๆ คนอย่างเช่นนายกู่ที่มีลู่ทางเช่นนี้ก็มิได้มีเพียงคนเดียวขอรับ”
ฮานชิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ นัยน์ตาของนางก็ฉายแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมา “พรุ่งนี้เชิญนายกู่มาที่จวนอีกครั้ง”
นายซุนแอบดีใจที่เรื่องนี้กำลังจะสำเร็จเสียที “ขอรับ ข้าน้อยจะไปนัดหมายเขาในคืนนี้เลยขอรับ” เขากล่าวขึ้นทันควัน
นายซุนจากไปด้วยความสำราญใจ เขาคิดคำนวณอยู่ตลอดทางว่าเมื่อเรื่องนี้สำเร็จแล้วเขาจะได้รับค่าตอบแทนมากมายเพียงใด หลังจากนี้ก็ไม่ต้องทำงานให้คนอื่นอีก จะได้หันไปสร้างกิจการเป็นของตนเสียที แค่นั้นก็คงเพียงพอที่จะเลี้ยงปากท้องไปชั่วชีวิตแล้ว