อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้านเหรินจยาที่ไม่ได้มืดและเงียบสงบ
เริ่นหลี่เจิ้ง เริ่นกงซิ่น ไม่ได้นอนหลับ
ชายสูงวัยผู้นี้กําลังเอนตัวอยู่บนตั่ง ข้างกายของเขามีภรรยาอายุน้อยที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งฮูหยินเมื่อสองปีก่อนนั่งอยู่ หญิงสาวคนนี้อายุน้อยกว่าเขายี่สิบกว่าปีและอายุน้อยกว่าลูกชายคนโตของเขาอีกหลายปี นางกําลังจุดไปป์จีนให้กับเขา
เริ่นกงซิ่นสูบไปป์จีนก่อนจะเงยหน้ามองลูกชายคนเล็ก “มากันสองร้อยกว่าคนหรือ? มีชายฉกรรจ์เยอะเลยสิ”
เขาไม่คาดคิดว่าลูกชายคนเล็กของเขาจะส่ายหัว เริ่นจื่อเฮ่าคิดว่า ธรรมดา
เขาตอบพ่อของเขาว่า “คาดว่ามีชายฉกรรจ์ประมาณสี่สิบถึงห้าสิบคน ถ้านับรวมเด็กหนุ่มด้วยแล้วเพิ่งจะเกินครึ่ง เด็กที่มีอายุต่ำกว่าสิบปีมีจํานวนเยอะมาก ผู้หญิงยิ่งมีเยอะกว่า อายุมากสุดคือสิบกว่าปี”
เริ่นจื่อจิ่วลูกชายคนที่สองของเริ่นหลี่เจิ้งถามน้องชายว่า “เด็กอายุน้อยที่สุดกี่ปี?”
“กอดอยู่ในอ้อมแขน? มองเห็นไม่ชัดเจน แต่ตอนมองผ่านไปเห็นมีเด็กตัวเล็กๆ อยู่หลายคน”
“กลุ่มคนพวกนี้ช่างแข็งแกร่งจริงๆ มีทั้งผู้หญิงและเด็กเล็ก ไม่ทิ้งกันไว้กลางทางบ้างเลยหรือ? ได้ยินมาว่าหมู่บ้านข้างเคียงรับมาหลายครอบครัว แต่เหลือเพียงแค่ชายฉกรรจ์เท่านั้น ภรรยาและลูกทั้งหมดไม่มีชีวิตรอด เพราะระหว่างทางมีทั้งหิวกระหายตายและถูกตีตายไป”
เมื่อเริ่นจื่อจิ่วพูดจบ เขาก็คิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเริ่นกงซิ่นว่า “ท่านพ่อ ในความคิดข้า พวกเขามีสิ่งของมากมาย อย่างน้อยก็น่าจะมีเงินเหลือเฟือ ในสถานการณ์ตอนนี้ป้ายแดงหนึ่งป้ายอย่างน้อยต้องใช้เงินสามสิบถึงห้าสิบตำลึงเงิน พวกเขายังสามารถหาป้ายมาได้ถึงสิบห้าป้ายเลยนะ”
เริ่นหลี่เจิ้งหรี่ตา “เพ้อเจ้อ”
เขาไม่คาดคิดว่ามีการแบ่งคนให้ไปอยู่หมู่บ้านอื่นแค่สามถึงห้าครอบครัว แต่กลับแบ่งคนมากมายมาให้เขา
สามถึงห้าครอบครัว สำหรับสมาชิกใหม่ที่เข้ามา สามารถดูถูกดูแคลนได้สบายๆ ไม่ต้องสนใจอะไร นี่เป็นกฎ
ไม่มีกฎก็ไม่สามารถเป็นกลุ่มเป็นก้อนเดียวกัน ไม่มีกฎก็วุ่นวาย
แต่นี่กลับมาทีเดียวสิบห้าครอบครัว ได้ฟังลูกชายพูด นี่เป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มเดียวกันที่อพยพมาด้วยกัน เมื่อก่อนอยู่หมู่บ้านเดียวกันและเดินทางลี้ภัยมาพร้อมกัน จึงสามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะมีความสามัคคีกลมเกลียวกันมากขนาดไหน ยุ่งยากแล้วสินะ ดูแล้วถ้าต้องตั้งกฎข้อบังคับให้กับพวกเขา ก็ต้องใช้เวลานานในการคิดหาวิธี
“กลับเข้าไปนอนกันทั้งหมดเถอะ”
เริ่นจื่อเฮ่าร้อนรน “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งนอนสิ เจ้าหน้าที่ให้ท่านไปลงทะเบียนบ้านให้กับพวกเขาที่ตำบลในวันพรุ่งนี้ บอกว่าทางนั้นมีข้อมูลเข้าระบบมาแล้ว ไม่ให้พวกเราทำการล่าช้า ท่านไม่วางแผนสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเขาแล้วหรือ? ถ้าลงทะเบียนไปแล้ว พวกเราจะพลาดโอกาสให้พวกเขาร้องขอบางสิ่งบางอย่างจากพวกเราได้นะ ถ้าไม่วางอำนาจก่อน ต่อไปจะจัดการอย่างไร พวกเขามีเงิน พวกเขา?”
เริ่นจื่อจิ่วตักเตือนน้องชาย “หุบปาก พูดแบบนี้ได้อย่างไร ท่านพ่อจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” พูดจบ เขาก็ดึงน้องชายออกจากห้อง “ท่านพ่อ ดึกมากแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ”
เมื่อมาอยู่ในเรือน เริ่นจื่อจิ่วถึงอธิบายความคิดของเริ่นหลี่เจิ้งอย่างละเอียดให้กับน้องชายฟัง
“ข้อหนึ่ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยรายละเอียดกัน คนพวกนั้นคงเห็นสภาพบ้านเรือนที่พังทลายลงแล้ว มิเช่นนั้นเดี๋ยวพวกเขาจะมาหาท่านพ่อ ให้จัดพื้นที่อยู่อาศัยใหม่อีกและขอยืมสถานที่พักอาศัยก่อน…
…ถ้าพวกเขามาเห็นว่าในห้องยังมีไฟส่องแสงสว่าง ทุกคนยังไม่นอน ท่านพ่อจะแกล้งทำเป็นนอนหลับแล้วก็ไม่ได้…
…รีบไปนอนซะ ถ้าทั้งหมู่บ้านมืดหมด ดูสิพวกเขาจะกล้ามาเคาะประตูเพื่อยืมห้องพักไหม…
…เริ่นจื่อเฮ่าพยักหน้า “อ้อ มิน่าท่านพ่อถึงให้ทุกคนเข้านอนกันเร็ว และให้ข้าจดจำคนที่ยื่นหน้าออกมา แล้วมาบอกกับเขา”
เริ่นจื่อจิ่วอธิบายต่อให้กับน้องชายที่ยังไม่ค่อยเข้าใจฟัง
“ส่วนข้อสองก็คือ เราต้องไปลงทะเบียนบ้านให้กับพวกเขา ถ้าไม่ลงทะเบียน จะได้รับข้าวสารอาหารแห้งที่ทางการส่งมาช่วยเหลือได้อย่างไร…
…เจ้าช่างโง่นัก พวกเขามีคนตั้งสองร้อยกว่าคน ผู้ใหญ่จะได้รับข้าวสารอาหารแห้งช่วยเหลือจำนวนเจ็ดกิโลครึ่งทุกเดือน เด็กอายุแปดขวบขึ้นไปได้สี่กิโล ส่วนอายุน้อยลงมาก็ได้สองกิโลครึ่ง ข้างบนบัญญัติไว้ว่าสามารถรับของเหล่านี้ได้ถึงครึ่งปี…
…เจ้าลองคำนวณดู หากเอาอาหารที่ทางการช่วยเหลือของสองร้อยกว่าคนมารวมกัน ทุกเดือนท่านพ่อจะสามารถไปรับกลับมาได้เท่าไร?”
เริ่นจื่อเฮ่านิ่งงัน “พี่รองหมายถึง? แต่ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมาว่าท่านพ่อของพวกเราไปรับของของพวกเขามา ต่อไปจะไม่โวยวายกันหรือ”
“พวกเขาจะไปรู้มาจากไหนได้เล่า? คนทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าคนสูงวัยหรือเด็ก ต่างก็เชื่อฟังท่านพ่อของเรา ไม่มีใครบอกและไม่มีใครพูดคุยกับพวกเขาหรอก อีกอย่าง คนในหมู่บ้านทั้งหมดก็รู้เรื่องนี้กันน้อยมาก…
…ใครจะบอกพวกเขา? พวกเขามาถึงที่นี่ก็ไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักในพื้นที่ พวกเขาจะไปเจอผู้ลี้ภัยที่มาจากถิ่นเดียวกันได้ที่ไหน? นอกจากนี้ ผู้ลี้ภัยพวกนั้นจะต้องรู้จักพวกเขาและไม่แน่ว่าผู้ลี้ภัยที่มาจากถิ่นเดียวกันนั้นจะสามารถรับอาหารที่ทางการให้การช่วยเหลือได้หรือไม่ หลี่เจิ้งของหมู่บ้านไหนจะปล่อยโอกาสนี้ไป? ท่านพ่อของพวกเรานี่นับว่าเป็นหลี่เจิ้งที่มีจิตใจดีที่สุดในบรรดาหมู่บ้านแถบนี้แล้ว”
“ใช่ พี่รองพูดเช่นนี้ ข้าก็เข้าใจ พรุ่งนี้ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านพ่อเพื่อไปลงทะเบียนให้กับพวกเขา”
……
หน้ากระท่อมมุงจากที่ใกล้จะถล่มลงมา ซ่งหลี่เจิ้ง พวกผู้หญิงกับเด็กๆ ต่างกําลังร้องไห้ครั้งนี้แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่เข้มแข็งขอบตาก็เริ่มแดงก่ำ
นี่คือสถานที่ที่พวกเขาพยายามจะมีชีวิตรอดเพื่อมาถึงเป้าหมายตามที่คาดหวังหรือ?
พวกเขาก็รู้อยู่ในใจ คนต่างถิ่นมา คนในท้องถิ่นก็ไม่ค่อยอยากจะต้อนรับนัก ไม่อยากจะสนใจพวกเขา
แต่พวกเขาไม่ได้มีความต้องการมากมายอะไร
จะไม่ขอร้องให้คนในหมู่บ้านเหรินจยายินดีต้อนรับพวกเขา แต่อย่างน้อยตอนนี้ หลังเที่ยงคืนแล้วก็น่าจะจัดหาบ้านดีๆ ให้พวกเขาสักหน่อย ถ้ามีเตาดีๆ จะได้ใช้ต้มน้ำกินกันได้
ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็จะสามารถก่อไฟต้มน้ำให้พวกเด็กๆ ดื่มน้ำอุ่น และสามารถนอนอย่างอบอุ่นได้ รีบเร่งเดินทางมาทั้งวัน พวกเด็กๆ ก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว
ท่านยายหวังร้องไห้คร่ำครวญเหมือนเด็กน้อยที่ถูกรังแก “ข้าคิดถึงบ้านแล้ว ข้าคิดถึงบ้านหลังนั้นของข้า”
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ที่นี่ต่อให้เจริญอย่างไรก็สู้กับบ้านหลังนั้นของข้าไม่ได้ บ้านของข้า ถึงแม้จะผุพังอย่างไร แต่ที่นั่นก็เป็นบ้าน”
ท่านยายกัวใช้มือตีน่องใหญ่ ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง “พวกเขาอยากจะให้พวกเราหนาวตาย!”
ท่านย่าหม่ายกมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้จนน้ำมูกไหล
“ท่านย่า” ซ่งฝูหลิงเห็นย่าของนางร้องไห้ นางก็ร้องไห้ตาม
ท่านย่าไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ ในความรู้สึกจากใจท่านย่าด่าทอระบายอารมณ์ออกมาจะดีกว่า อย่าร้องไห้น่าจนสงสารเช่นนี้ นางเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจมาก
“ท่านลุง?”
ซ่งฝูเซิงพยุงแขนของซ่งหลี่เจิ้ง เขากำลังจะปลอบโยนให้พวกเราอย่าใส่ใจเรื่องพวกนี้นัก ทำอะไรได้ก็ควรจะทำกันไปก่อน อย่ามามัวยืนงงกันอยู่แบบนี้
ซ่งหลี่เจิ้งน้ำตาไหลจนหยดลงมาโดนแขนของเขาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝูเซิง พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราไม่ควรจะร้องขอให้ทุกคนมาอยู่รวมกัน พวกเราทุกคนทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
เกาถูฮู่ยกมือขึ้นปิดตาที่แดงก่ำและพยักหน้าเห็นด้วย