บอกไปหลายครั้งแล้ว น้ำตาไม่ช่วยแก้ปัญหา ร้องให้แล้วจะแก้ปัญหาเรื่องที่นอนได้หรือ!

ซ่งฝูเซิงหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด ก่อนพยายามระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

เขาเหลือบตามองมือของซ่งหลี่เจิ้งที่กุมแขนของเขาไว้ ถอนหายใจยาวๆ พร้อมที่จะคายไฟแห่งความโกรธออกมา

ซ่งฝูเซิงสลัดมือที่กุมแขนเขาไม่หลุด เหลืออีกนิดจะระเบิดมันออกมา สมองของเขาต้องการแค่เพียงตะโกนออกมาดังๆ ด่าทุกคนสักชุดใหญ่ๆ แต่ในอารมณ์นั้นเขากลับทำได้เพียงเข้าใจและเข้าใจอย่างสุดซึ้ง

เพียงเพราะอยากไปให้ถึงที่หมายแล้ว ทุกคนจึงร้องไห้ระงมกันอยู่อย่างนี้

ไม่ว่าการเดินทางจะผ่านสถานที่ใด ไม่ว่าจะพบปัญหาอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สถานที่เหล่านั้นก็เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราวเท่านั้น ความหวังในก้นบึ้งของหัวใจจะบอกตัวเองเสมอว่า เดินไปข้างหน้า หวังให้ถึงที่หมายก็พอแล้ว

และแล้วสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าของพวกเราก็มาถึงแล้วจริงๆ มาถึงดินแดนของพวกเขา ดินแดนที่ต้องอยู่ไปจนชั่วชีวิต ในยามราตรีกลับถูกกระทำเช่นนี้ ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าอนาคตอีกครึ่งชีวิตที่เหลือคงจะไม่มีอาหารดีๆ ให้กินอีกแล้ว ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างว่างเปล่าไร้จุดหมายเหลือเกิน

ผู้คนในหมู่บ้านปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้ ทุกคนก็พอจะรู้สึกว่าได้ว่าวันดีๆ ในชีวิตของพวกกำลังจะหายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้แต่ความหวังอันน้อยนิดก็ไร้วี่แวว

เพราะอย่างนี้ ไม่ว่าจะต่อสู้ด้วยวาจา หรือรบราฆ่าฟัน ก็ไม่มีทางชนะได้ จะบุกเบิกดินแดน แบ่งเขตแดน เกณฑ์แรงงาน จ่ายภาษีประจำปีมากน้อยเพียงใด ทุกอย่างถูกกำไว้ในมือของเขาทั้งหมด

อย่าพูดเลยว่าจะไปต่อต้านกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ที่นี่มีตำแหน่งหลี่เจิ้งเหมือนกับที่หมู่บ้านเดิมของพวกเขา มีคนเหมือนท่านลุงซ่งที่มีตำแหน่งหลี่เจิ้ง แสดงให้เห็นว่า หมู่บ้านแห่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีสองร้อยกว่าครอบครัว จึงสามารถมีตำแหน่งหลี่เจิ้งได้ จากที่คาดการณ์ บ้านที่มีคนน้อยที่สุดก็มีสมาชิกประมาณยี่สิบกว่าคน รวมกันแล้วหมู่บ้านแห่งนี้น่าจะมีคนอยู่หลายพันคน

คนของเราสองร้อยกว่าคน จะต่อสู้กับคนหลายพันคน เราจะต่อสู้ไหวหรือ

ถึงบัดนี้ ซ่งฝูเซิงอยากจะต่อว่าด่าทอพวกเขา บางคนเสียใจร้องไห้เหมือนกับเสียดายที่เลือกแบบนี้ ก่อนเข้าเมืองยังพร้อมใจที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ทุกคนน่าจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าจะต้องเจอกับปัญหาที่ยากขนาดนี้เมื่ออยู่รวมกัน พวกเจ้าช่างโง่เขลาอะไรเยี่ยงนี้?

ซ่งฝูเซิงต่อว่าพวกเขาไม่ได้จริงๆ

เพียงเพราะว่า จากระยะทางที่ผ่านมา เขาพบว่าพวกนั้นโง่เขลาจริงๆ

ถ้าลองเปลี่ยนมาเป็นคนในยุคปัจจุบัน พวกเขาต้องถูกด่าว่าไม่มียาใดหรอกที่จะรักษาอาการเสียดายทีหลังได้ ก่อนหน้านี้เจ้าคิดอะไรอยู่? คำพูดแค่ลมผ่านปาก ไม่มีการเตรียมใจใดๆเลย

เพราะว่าคนในยุคปัจจุบันนี้ไม่ได้กินเนื้อหมูแต่ก็ยังเห็นหมูวิ่งได้ ไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวเองแต่ก็ยังสามารถหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตได้ หรือดูผู้คนได้จากโทรทัศน์ได้ ที่พวกเราฉลาดไม่ใช่ไปทำร้ายใครก่อน แต่อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีเกราะป้องกันจิตใจ มีสติ สองมือต้องพร้อม ทุกปัญหามีทางออกเสมอ หรือยังสามารถคาดเดาได้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้น คนยุคนี้มักจะมีการเตรียมใจ ไม่ว่าทำอะไรมักจะไม่โชคดีไปเสียทุกเรื่อง ตัวอย่างเช่น ตัวเขา ลูกสาว และภรรยา ก็ยังเป็นอย่างที่เห็น

แม้ซ่งฝูเซิงรู้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้โชคดีบ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ ตั้งแต่เรื่องที่พักหรือเรื่องที่ทุกคนจะต้องมาเจอปัญหายิ่งใหญ่ขนาดนี้

ถ้ารู้ว่าคนจะมาเยอะเยอะขนาดนี้ คนในหมู่บ้านจะจัดสรรอย่างไร? คนสมัยก่อนยากจนมาก บางคนสู่ขอภรรยายังไม่มีแม้กระทั่งห้องหอ ใครจะให้ยืมที่พักเยอะแยะมากมายขนาดนี้?

“แต่ว่า พวกเราพบท่านแม่ทัพเล็กแล้วไม่ใช่หรือ”

เขากำลังไตร่ตรองเรื่องที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่แอบอ้างบารมีกับใต้เท้าสวีที่เมืองโยวโจว และได้รับป้ายสีแดงสิบห้าป้าย คำพูดของผู้คุมเถิงที่สั่งไว้ก่อนไปด้วยความห่วงใย เขากำลังคิดว่า ถ้าใต้เท้าสวีสามารถนึกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาเชื่อมโยงกับแม่ทัพเล็กได้ ใต้เท้าสวีและใต้เท้าเสิ่นก็ยังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย จากเหตุการณ์ที่พวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตที่หน้าประตูเมืองนั้น ใต้เท้าเสิ่นยังถือว่ามีใจเมตตา ไม่จัดการอะไรกับพวกเขาเลย หรือว่าผู้คุมเถิงสั่งเสียอะไรไว้? ใต้เท้าเสิ่นอาจจะเห็นแก่ใต้เท้าสวีถึงไตร่ตรองอีกครั้ง?

ถ้าเป็นเช่นนั้น ใต้เท้าเสิ่นคงได้ไตร่ตรองมากขึ้น พวกเขาก็ยังอาศัยบารมีของท่านแม่ทัพเล็กอยู่? นอกจากจะถูกจัดให้มาอยู่ด้วยกันแล้ว ยังได้อยู่ในสถานที่ดีๆ แบบนี้อีก

โดยเฉพาะหนทางที่ผ่านมา เมืองเฟิ่งเทียนนี้ไม่ต้องกล่าวถึง อำเภอถงเหยาร่ำรวยมาก หมู่บ้านเหรินจยาที่ในเวลากลางคืนมองไม่เห็นแสงสว่าง แต่หมู่บ้านนี้ก็ใหญ่โตและยังไม่ไกลจากตัวอำเภอมากนัก แสดงให้เห็นว่ายังเป็นเรื่องที่ดีอยู่เหมือนกัน

จากเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าคนในยุคปัจจุบันอย่างซ่งฝูเซิงที่มีการเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจ ก็ยังถูกสายลมของความโชคร้ายพัดผ่าน แต่จากสิ่งที่มองเห็นก็ยังมีเรื่องที่โชคดีมากมาย ทันใดนั้น เมื่อเขามองไป อาการดีใจก่อนหน้านี้ก็ไม่เหลืออีกเลย

เขาอยากจะร้องไห้ออกมา ไม่ต้องพูดถึง”พวกคนโง่เขลา”เหล่านั้น

พวกคนโง่เขลาพวกนั้นอาจจะไม่คิดอะไรมากมาย หรือไม่คิดอะไรเลย

สิ่งที่สามารถแบ่งปันได้คือความดีใจ แต่ที่ไม่สามารถที่จะแบ่งปันได้คือความกังวลในก้นบึ้งของจิตใจ ตอนนี้ยังดีที่ยังรู้ว่าต้องร้องไห้กับเรื่องอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องร้องไห้กับเรื่องอะไรอีก

ใช่ ซ่งฝูเซิงเข้าใจทุกอย่างอย่างดี แต่พวกคนโง่เขลาเหล่านั้นไม่ได้คิดอะไรมากมายแน่นอน…แน่นอน…

จะเอาความหวังอะไรไปฝากไว้กับคนในหมู่บ้านที่ไม่เคยออกไปไหนเลยและไม่เคยรู้จัก ไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอก ไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนมากนัก

สิบกว่าปีที่แล้ว พวกคนโง่เขลารู้จักเพียงแค่เรื่องทำการเกษตร ปลูกพืชง่ายๆ ผลิตผลที่ได้ก็เพียงเล็กน้อย ปลูกอะไรที่สามารถไปแลกเป็นอาหารไม่ได้หรือไง? เมื่อเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทก็มีแต่เรื่องจำพวกว่า วัวใครมากินหญ้าในพื้นที่บ้านข้า ผู้ใดครอบครองที่ดินมากกว่าส่วนแบ่งที่ควรจะเป็น ไม่พอใจเรื่องสิทธิ์การตักน้ำก่อน-หลังในหมู่บ้าน

จะมีใครคอยชี้แนะแนวทางคนเหล่านี้ให้ใช้ปัญญาเมื่อเจอปัญหาบ้างไหม

ซ่งฝูเซิงมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังร้องไห้กระจองอแง ได้แต่กล่อมตนเองในใจ ต้องผ่านไปให้ได้ เมื่ออยู่ในกลุ่มคนโง่เขลา เขาคงจะต้องใช้ความคิดสติปัญญาให้มากยิ่งขึ้น

พลางปลอบใจตัวเอง

ถ้าไม่ใช่คนเหล่านี้ คงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาพูด คงไม่ทำในสิ่งที่เขาสั่ง

ทุกครั้งที่เกิดภัยอันตราย พวกเขาเหล่านี้เท่านั้นที่จะใช้ตัวเองเป็นเกราะเพื่อปกป้องตัวเขา

ก็มีแต่คนโง่เขลากลุ่มนี้ที่เชื่อใจซ่งฝูเซิงว่าสามารถสอบจวี่เหริน กลายเป็นซิ่วไฉจวี่เหริน เมื่อเวลานั้นมาถึง ต่อไปไม่ว่าครอบครัวของพวกเขาจะเป็นครอบครัวทหารหรือต้องอยู่ในคุก เขาจะต้องให้การช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน

อ๊ากกก…มันคือ…โชคชะตา ทุกอย่างเราต้องเป็นคนกำหนดเอง พวกเจ้าคิดได้บ้างไหม จะอาศัยคนอื่นตลอดไปหรือ ขนาดอาศัยบนภูเขา ภูเขาก็ยังมีวันพังทลายลงได้

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนในยุคปัจจุบัน ถึงจะโง่ขนาดไหนก็ไม่มีทางเชื่อใจผู้อื่น

เพราะอย่างนี้นั่นเอง เอาล่ะ ซ่งฝูเซิงรู้แล้วว่าเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าจะลำบากยากเข็ญเพียงใด เพียงแต่เขาไม่คิดที่จะย่อท้อ และต้องสู้ไปด้วยกันกับทุกคน

เขานั้นเข้าใจอย่างสุดซึ้งถึงสติปัญญาของคนเหล่านี้ น้ำตามักพรั่งพรูออกมาเมื่อเจอปัญหา คนโง่เขลาไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบไร้ปัญญาเสมอ เมื่อใดควรใช้ปัญญาก็ต้องใช้ปัญญา เมื่อใดควรใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ต้องใช้ แต่สำหรับพวกเขาเหล่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย…

ซ่งฝูเซิงใช้มือใหญ่ๆ ของเขาตบบนหลังซ่งหลี่เจิ้ง แล้วตะโกนเสียงดังออกไปว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งกังวลกับเรื่องภายภาคหน้า ไม่ใช่ว่าข้ายังอยู่ตรงนี้หรือ แล้วหัวสมองของข้าดีกว่าพวกเจ้า? ข้าจะทำให้พวกเจ้ามีวันที่ดีไม่ได้เลยหรือไง”

เสียงร้องไห้ที่ดังระงมหยุดลงทันที ก่อนหน้านี้หัวใจไม่มีแม้แต่ช่องว่าง แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ อ้ากกก…ใช่แล้ว ซ่งฝูเซิงสามารถคิดหาทางออกได้นี่

“ฝูเซิง” ซ่งหลี่เจิ้งกุมมือของซ่งฝูเซิงอีกครั้ง ภายในแววตามีไฟแห่งความหวังสว่างกลับมาอีกครั้ง

“ท่านลุง ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นฝูเซิงหรือไม่ฝูเซิงแล้ว คืนนี้ไม่นอนแล้วหรือ?”

ซ่งฝูเซิงสลัดมือท่านลุง ตะโกนร้องเรียก ”เกาเถี่ยโถว”

“ข้าอยู่นี่ ท่านลุงสาม ข้าจะพาคนออกไปหาพวกเขา ข้าจะถามให้ได้ความ”

“หยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าจะไปตามหาใคร?”

“อืม?” เกาเถี่ยโถวนิ่งอึ้งไป หรือว่าท่านลุงสามไม่ได้หมายความเยี่ยงนั้น

“ตั้งแต่เดินเข้ามาในหมู่บ้านมีเสียงเห่าของสุนัขตลอดทาง พวกเจ้าเห็นคนในหมู่บ้านบ้างไหม ไม่มีแม้แต่เงาของผี ความหมายของคนในหมู่บ้านเหรินจยาชัดเจนมาก จะหาไปทำไม! พาคนไปดูบ้านทีละหลัง และรายงานข้าว่าบ้านไหนที่ยังมีเตียงเตาที่ใช้งานได้”

“รับทราบ”

“แบ่งผู้ชายที่แข็งแรงกำยำเป็นสองกลุ่ม ครึ่งหนึ่งไปจับจอบขุดดิน อีกครึ่งหนึ่งไปขนไม้กระดานขึ้นเกวียน”

“เร็วเข้าพวกเรา!”

ซ่งฝูเซิงรู้สึกเหนื่อยใจ ไม่มีใครสักคนถามเลยว่าจะขนดินไปทำอะไร จะขนไม้กระดานไปทำสิ่งใด รู้จักเพียงแต่ว่าต้องใช้แรงงาน

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องร้อง…ไม่ต้องร้องไห้…ท่านกับอาสะใภ้หวัง ช่วยกันหาเตาไว้ก่อไฟต้มน้ำให้ทุกคน ถ้ามีบ้านที่มีเตียงเตาสามารถอาศัยหลับนอนได้ ให้ก่อไฟเตียงเตาไว้ ท่านเข้าใจไหม”

“เข้าใจ เข้าใจแล้ว” ท่านย่าหม่าพยักหน้าและไม่ลืมที่จะเรียกหญิงชราทั้งหลาย “ไป ไป ลงมือทำงานกันเถอะ”

“เฉียนซื่อ ลูกสาวข้า พวกเจ้าอยู่ที่ไหน”

“ข้าอยู่นี่ ท่านพ่อ” ซ่งฝูหลิงยกฟืนที่มีไฟแกว่งไปมา

“พวกเจ้าทั้งสองรับผิดชอบหาห้องพักที่สะอาด พาพวกเด็กๆ เข้าไปพักข้างใน หาผ้าห่มคลุมให้อบอุ่น ห้ามไม่ให้วิ่งออกมาเล่นเกะกะ ผู้หญิงที่เหลือไปช่วยกันหาฟืน หาไม้ฟืนที่แห้งแล้ว หรือไม่ก็ช่วยกันก่อไฟ”

“ลุงใหญ่”

“เอ้ยยย ข้าอยู่ตรงนี้” สิ้นเสียงลุงใหญ่เดินพรวดออกมาจากด้านหลัง ซ่งฝูเชิงตกใจจนสะดุ้งโหยง

“ลุงใหญ่ พาท่านลุงที่มีอายุมากหน่อย ให้ช่วยกันเอาถังไปตักน้ำในลำธาร”

“ได้สิ ไปกันเถอะ”

ซ่งฝูเซิงตะโกนออกคำสั่ง “สุดท้าย ทุกคนฟังให้ดี ที่นี่เป็นบริเวณชายเขา คนที่ออกไปเก็บฟืน ออกไปทำเตา ออกไปตักน้ำในลำธาร ต้องระวังให้ดี จะต้องออกไปเป็นกลุ่ม จำนวนสามถึงห้าคน และห้ามออกไปไกลจากบริเวณนี้ ถ้าเจอสัตว์ป่าให้ร้องตะโกนเรียกพวกข้า ร้องเรียกเสียงดังๆ เลยนะ”

เมื่อซ่งฝูเชิงจัดการแบ่งงานให้ทุกส่วนเสร็จแล้วทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว ไฟจากไต้ถูกจุดและเคลื่อนไหวไปตามเจ้าของที่ถือ บรรยากาศโดยรอบไม่เงียบเหมือนเดิมแล้ว ทุกคนช่วยกันออกไปทำงาน

ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น เสียงดังจากการทำงานทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง

ถ้าเจอปัญหา ไม่ใช่บอกให้ร้องเสียงดังๆ หรือ

เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน “อ้ากกก!” หนูตัวใหญ่กระโจนออกมาจากบ้านที่มุงด้วยหญ้า ซวบ ซวบ ซวบ หนูสองตัววิ่งวนซ้ายขวากลับไปกลับมาข้างซ่งฝูหลิง มันไม่เกรงกลัวผู้คนเลย!

แม่ลูกคู่นี้ตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมกัน พวกเด็กๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็พากันร้องตามกัน “อ้ากกก! อ้ากกก! อ้ากกก!”

เกาเถี่ยโถวรายงานสถานการณ์ “ท่านลุงสาม ห้องที่มุงด้วยหญ้า เตาเกือบทั้งหมดใช้การไม่ได้ มีแค่เตาในสองห้องใหญ่ที่พอก่อไฟใช้งานได้ เตาทำครัวก็เช่นกัน”

“กลับไปบอกท่านแม่ให้พาท่านป้าและผู้สูงอายุไปพักที่ห้องใหญ่ ให้ลองก่อไฟดูว่าติดไฟหรือไม่ เตียงเตาร้อนหรือไม่ “

“รับทราบ…”

“น้องสาม ไม้กระดานที่ถอดออกจากบนเกวียนรถสองคันจะให้เอาไปวางไว้ที่ไหน” ซ่งฝูไฉถามขึ้น

“วางไว้ในห้องใหญ่สองห้องนั่นแหละพี่ใหญ่ ถ้าก่อไฟในเตาแล้วไม่ร้อน ให้เอาไม้กระดานใหญ่สองท่อนวางบนเตียงเตา ทำให้พอเด็กๆ ได้นอนหลับก่อน แล้วใช้ดอกสนที่เหลืออยู่สุมไฟให้เด็กๆ ได้รับความอบอุ่น”

“โอ้ แม่เจ้า!”

ซ่งฝูเชิงและซ่งฝูไฉหันไปพร้อมกันตามเสียงร้อง ซ่งฝูเชิงพูดพร้อมกับยกมือขึ้นห้าม “พี่ใหญ่ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวข้าไปดูเอง”

พูดจบเขาหันกลับไปมองตามที่มาของเสียง พร้อมทั้งยกไฟเพื่อส่องแสงสว่าง จึงถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น มีใครเป็นอะไร?”

ซ่งฝูกุ้ยเป็นผู้โชคร้าย เขาเป็นคนป่วยที่มีอาการสมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย ตอนนี้ตกลงไปในห้องใต้ดินเสียแล้ว